NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่715 ยัดเยียดความผิด
“ถ้าแกยังห้ามฉันอีก เชื่อไหมว่าแค่โทรศัพท์กริ๊งเดียว ตึกนี้ก็จะมีคนนับร้อยพากันกรูเข้ามา ตอนนั้นฉันจะถือซะว่าบุกรุกเลยก็แล้วกัน” แมงป่องพูดเสียงเย็น
ในความเป็นจริงแมงป่องก็ไม่ได้มาคนเดียว
ลูกน้องทั้งหลายของเขา กำลังรออยู่ที่ด้านล่างตึกนี่เอง
เพียงแต่ลูกน้องพวกนั้นไม่รู้ว่าแมงป่องอยู่ข้างในนี้ก็เท่านั้น
เลขาของหยิ่นเจิ้งพูด “ลูกพี่แมงป่องใจร้อนขนาดนั้นเลยหรอครับ? ไม่มีแม้แต่เวลาจะดื่มกาแฟเลยหรอครับ พอคุณดื่มกาแฟเสร็จ คุณหยิ่นก็คงจัดการเรื่องเสร็จพอดี”
“ทำไม จะให้ฉันดื่มกาแฟให้ได้ ในกาแฟใส่ยาอะไรหรือไง?” แมงป่องขมวดคิ้วถาม
เลขาหยิ่นเจิ้งหัวเราะ “ลูกพี่แมงป่องคิดมากไปแล้วครับ?”
“ลอบฆ่าไม่สำเร็จ เลยคิดจะใช้วิธีวางยา วิธีคลาสสิกชะมัด” แมงป่องหันไปส่งสายตากับลูกชายบุญธรรม จากนั้นลูกชายก็เดินเข้าไปหยิบกาแฟบนโต๊ะมาเทแก้วนึง
“เหอะๆ ในเมื่อไม่มียา ก็กินให้ดูหน่อยสิ” ฉ่างจื่อแสยะยิ้ม มือข้างนึงบีบปากของเลขา แล้วเทกาแฟกรอกลงไป
“พวกคุณไม่ต้องบังคับผมขนาดนี้ ผมดื่มเองได้”
เลขาของหยิ่นเจิ้งต่อต้านเล็กน้อย แต่เมื่อดื่มจนหมด ฉ่างจื่อถึงได้ปล่อยเขาออก
เลขาของหยิ่นเจิ้งพูด “เหอะๆ ลูกพี่แมงป่อง ผมรู้ว่าคุณเป็นพวกดิบเถื่อน แต่ไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้มั้งครับ? กาแฟเขาไม่ได้ดื่มกันแบบนี้”
เลขาพูดจบ ก็เดินไปรินกาแฟแก้วที่สองแล้วดื่ม
“ยังคิดว่ามีพิษอยู่อีกไหมครับ?” เลขามองหน้าแมงป่อง
แมงป่องหัวเราะเหอะ ยังคงไม่ไว้ใจ “พิษบางชนิดก็ฤทธิ์ช้า ตอนนี้ไม่แสดงอาการ แต่เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ก็ออกฤทธิ์จนเกือบตาย”
แมงป่องไม่กล้าดื่มกาแฟพวกนี้ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้เลขานี่ถึงดึงดันจะให้เขาดื่มกาแฟให้ได้?
นี่มันผิดปกติ!
เดิมทีแมงป่องก็ระแวงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แค่มองหน้าใครต่อใครก็เหมือนคนพวกนั้นกำลังจะฆ่าเขา
เพราะงั้น เมื่อใครสักคนพยายามยัดเยียดจะให้เขาดื่มกาแฟให้ได้ สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือในนั้นต้องมีพิษ
“ลูกพี่แมงป่อง ผมว่าคุณน่าจะไม่ปกติแล้วนะครับ” เลขาพูด
ตอนนี้เอง จู่ๆก็มีใครสักคนเดินขึ้นมา เขามีชื่อว่าจ้าวโหย่วฉาย
เมื่อแมงป่องเห็นจ้าวโหย่วฉาย เขาก็ขมวดคิ้วทันที “จ้าวโหย่วฉาย นายมาได้ยังไง?”
จ้าวโหย่วฉายที่ว่า เป็นตำรวจ
ดังนั้นทันทีที่แมงป่องเห็นเขา จู่ๆก็รู้สึกเกร็งไปทั้งตัว
เพราะเมื่อจ้าวโหย่วฉายปรากฏตัวขึ้น แมงป่องย่อมไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ
“พี่จ้าวต้องคืนความเป็นธรรมให้ผมนะ เห็นเลือดที่ปากผมไหม? ไอ้นี่นี่แหละที่เป็นคนต่อย มันต่อยจนผมฟันหลุดไปตั้งสองซี่” เมื่อเลขาเห็นจ้าวโหย่วฉายก็รีบพุ่งเข้ามาหา
สีหน้าของจ้าวโหย่วฉายเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น “เขาเป็นคนทำหรอ?”
“ใช่ครับ เขานั่นแหละ ผมมีหลักฐาน ในนี้มีกล้องวงจรปิดเต็มไปหมด” เลขาฟ้องไม่หยุด พร้อมกับยกยิ้มร้าย
ในขณะที่ฉ่างจื่อมีสีหน้าดำทะมึน “ไอ้สารเลวนี่ แผนมึงหรอวะ?”
เมื่อกี๊เลขาตั้งใจจะยั่วให้ฉ่างจื่อโมโหอยู่แล้ว เพราะรู้ดีว่าหยิ่นเจิ้งกับแมงป่องกำลังจะเปิดศึกกัน
และข้างกายของแมงป่องก็มีคนที่ฝีมือดีที่สุดอยู่ นั่นก็คือฉ่างจื่อ
เวลาเดียวกัน ฉ่างจื่อก็เป็นคนที่สมควรที่จะให้แมงป่องพึ่งพาได้มากที่สุด หากดึงเขาออกจากเกมก่อนจะเปิดศึกสงคราม ก็เท่ากับเป็นการตัดแขนขาของแมงป่อง
“วางแผนอะไรกัน? ผมไปทำแบบนั้นกับคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่ามาซี้ซั้วพูดสิครับ” เลขาหยิ่นเจิ้งพูด “ทุกอย่างก็อ้างอิงจากหลักฐานทั้งนั้น”
“พี่จ้าว ฟันผมหลุดไปสองซี่ถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายสถานเบาหรือเปล่า?” เลขาพูด
จ้าวโหย่วฉายพยักหน้า “แน่นอนว่าใช่ แต่เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง จริงสิ คุณหยิ่นรีบร้อนเรียกฉันมามีเรื่องอะไรกันแน่”
“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ ก็แค่ได้ยินว่าวันนี้คุณหยุด ก็เลยเชิญคุณมาดื่มชา เหอะๆ คุณหยิ่นรอคุณตั้งนานแล้ว เชิญด้านในเลยครับ” เลขายิ้มตาหยี
วินาทีนี้สีหน้าของแมงป่องเริ่มจะดุดันขึ้นเรื่อย
เขารู้ตัวว่าตัวเองตกหลุมพรางของหยิ่นเจิ้งเข้าให้แล้ว ถ้าจ้าวโหย่วฉายอยู่ ต่อให้หยิ่นเหล่ยอยู่ในห้อง ตัวเองก็พาตัวเขาไปไม่ได้อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะทำร้ายอะไรเขา
ดังนั้นรอบนี้แมงป่องมาเสียเที่ยวเปล่าก็ไม่ปาน
แมงป่องมองจ้าวโหย่วฉาย ในใจรู้สึกโกรธ “พี่จ้าว ถ้าชอบชาล่ะก็ ผมให้คนเอาชาดีๆมาให้สองกาเลยก็ยังได้ ทำไมต้องเที่ยวมาถึงนี่ด้วยล่ะ?”
จ้าวโหย่วฉายไม่เล่นตามบทของแมงป่อง เขาพูดด้วยเสียงเรียบๆ “ฉันว่าเราสองคนรักษาระยะห่างหน่อยดีกว่านะ ดีไม่ดีชาของนายราคาแพงหรือมีที่มาไม่ถูกต้อง ฉันก็แย่สิ?”
“ต่อให้เป็นแค่ใบชาธรรมดา แต่ถ้าคนนอกมาเห็นเข้าเขาจะคิดยังไงลล่ะ?” คำพูดของจ้าวโหย่วฉายไม่เป็นมิตรอย่างมาก มิหนำซ้ำยังปฏิเสธแมงป่องอย่างชัดเจน
หลายปีมานี้จ้าวโหย่วฉายรักษาระยะห่างกับแมงป่องมาโดยตลอด
สีหน้าของแมงป่องนิ่งขรึมไป เขาเหลือบมองฉ่างจื่อเตรียมจะกลับ แต่พอคิดไปคิดมาในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าจะให้กลับก็คงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
แมงป่องยังคงรั้นต่อไป เดินเข้าไปในห้องทำงานพร้อมกับจ้าวโหย่วฉาย
ส่วนหยิ่นเจิ้งในเวลานี้กำลังชงชาอย่างตั้งใจ แม่งป่องเปลี่ยนเป็นมีสีหน้าเย็นชา หันกลับไปพูดกับเลขา “นี่สินะเรื่องสำคัญที่นายพูด?”
“ใช่ครับ ประธานหยิ่นกำลังชงชาให้พี่จ้าว จะบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญงั้นหรอครับ?”
เลขาของหยิ่นเจิ้งหัวเราะแห้งๆ “ประธานหยิ่นกับพี่จ้าวเป็นเพื่อร่วมชั้นเรียนกัน พวกเขาดื่มชาด้วยกันบ่อย”
แมงป่องแค่นหัวเราะ “ไม่ต้องเอาเขามาข่มฉัน หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครหน้าไหนข่มฉันได้”
เมื่อเห็นแมงป่องม่าทียียวนท้าทาย จ้าวโหย่วฉายรู้สึกไม่สบอารมณ์หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา แต่พูดว่า “เพื่อนเก่า ทำไมนายไม่บอกฉันก่อนล่ะว่าเขาก็จะมาดื่มชาด้วย ถ้าบอกกันก่อน ฉันจะได้ไม่มา”
ความจริงแล้วจ้าวโหย่วฉายรู้เป้าหมายในการมาของตัวเองในครั้งนี้ดี เพราะหยิ่นเจิ้งโทรมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดแล้ว
หยิ่นเจิ้งไม่ใช่คนโง่ จ้าวโหย่วฉายเองก็ไม่โง่ ถ้าหยิ่นเจิ้งไม่เล่ารายละเอียดให้ฟัง แต่หลอกให้จ้าวโหย่วฉายมาเฉยๆ งั้นเมื่อจบเรื่องจ้าวโหย่วฉายก็คงรู้สึกไม่พอใจ
ครั้งหน้าจะขอให้จ้าวโหย่วฉายช่วยอะไรก็คงยากแล้ว
และจ้าวโหย่วฉายก็ไม่ได้ปฏิเสธหยิ่นเจิ้ง ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องปฏิเสธ อย่างแรกทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเรียน สองหยิ่นเจิ้งเป็นนักธุรกิจใหญ่ในอำเภอหลิน จ้าวโหย่วฉายมีหน้าที่คอยคุ้มกันความปลอดภัยให้เขา
หรือจะพูดให้ถูก หยิ่นเจิ้งติดหนี้ธนาคารอยู่ก้อน ย่อมไม่มีใครเกิดเรื่องอะไรกับเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว หนี้ก้อนนั้นใครจะรับผิดชอบ?
“ลูกพี่แมงป่องก็เห็นแล้วว่าลูกชายผมไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ”
หยิ่นเจิ้งยิ้มบางๆ “ถ้าคุณมาหาเขาละก็เห็นทีจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ”
แมงป่องรู้ดีว่าหยิ่นเจิ้งซ่อนหยิ่นเหล่ยเอาไว้
หรือต่อให้ไม่ได้ซ่อนไว้ แมงป่องเองก็คงทำอะไรหยิ่นเหล่ยไม่ได้แล้ว
แมงป่องล้มเลิกความคิดที่จะตามหาหยิ่นเหล่ย แต่เปลี่ยนหัวข้อ “หยิ่นเหล่ยก็อยู่พอดี ฉันก็อยากจะท้วงความยุติธรรมเหมือนกัน เมื่อกี๊ตอนกำลังจะขึ้นมา คุณหยิ่นพนักงานของคุณเอามีดมาแทงฉัน โชคยังดีที่ฉันไหวตัวทัน ไม่งั้นเกรงว่าป่านนี้ผมคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้”
“ประธานหยิ่นว่าเรื่องจะจัดการยังไงดีครับ?” แมงป่องมองหน้าหยิ่นเจิ้งด้วยความเย็นยะเยือก
“ลูกพี่แมงป่อง แน่ใจหรอว่าเห็นชัด? แน่ใจว่าคนๆนั้นเป็นพนักงานของบริษัทผม ไม่ใช่สวมรอย?” ลึกๆหยิ่นเจิ้งก็ตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ยังคงสงบอารมณ์ได้
หรือจะให้พูดอีกอย่าง พนักงานของเขาไม่ได้หมายความว่าเป็นตัวเขาที่ทำ
เรื่องนี้เขาสามารถผลักพ้นตัวได้
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง? ถึงยังไงในลิฟต์ของพวกนายก็มีกล้อง ทำไมไม่ลองเช็คดูล่ะเดี๋ยวก็รู้”
แมงป่องหัวเราะเย็นชา “อย่ามาพูดเชียวนะว่าจู่ๆกล้องก็พัง ถ้าเป็นแบบนั้น กลางค่ำกลางคืนลุกเดินไปไหนต้องระวังตัวให้ดีล่ะ เดี๋ยวจะได้วูบไม่รู้ตัว”
“แมงป่อง พูดจาอะไรระวังปากหน่อย” จ้าวโหย่วฉายเริ่มโมโหนิดๆ
“เหอะๆ ผมพูดอะไรหรอ? ผมก็แค่ให้หยิ่นเจิ้งระวังตัว จะทำอะไรผมหรือไง?” แมงป่องอ้าแขนสองข้างเผยรอยยิ้ม แล้วนั่งลงบนโซฟาไม่กล้าขยับ
ยิ่งเขายืน เลือดก็ยิ่งไหลไม่หยุด
แต่ถ้านั่งจะช่วยให้เลือดไหลช้าลง
“กล้องอยู่ในห้องผมเอง เดี๋ยวผมจะเช็คให้เดี๋ยวนี้” หยิ่นเจิ้งเอ่ยเสียงเรียบ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน จากนั้นจึงหยิบรีโมทขึ้น
เมื่อกดไปทีนึง ภาพของกล้องวงจรปิดก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางทุกสายตา
แล้วใบหน้าขของไอ้หน้าหนวดก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉ่างจื่อชี้ไปที่ไอ้หน้าหนวด “มันนั่นแหละ”
หยิ่นเจิ้งเหลือบมองเลขา แล้วพูด “ไอ้หมอนั่นเป็นพนักงานของบริษัทเราหรือเปล่า?”
เลขาของหยิ่นเจิ้งพยักหน้านิดๆ “เจ้านาย เขาเป็นพนักงานของเราจริงๆ ทำงานมาได้สองปีแล้วครับ เขาเป็นคนซื่อสัตย์มาก”
“แต่ช่วงนี้เขาค่อนข้างแปลกๆ ผมเองก็เตรียมจะไล่เขาออกอยู่” เลขาพูด
“เหอะๆ พอเกิดเรื่องขึ้นก็เตรียมจะไล่ออก ช่างเป็นเนื้อเรื่องที่เหมาะเจาะซะจริง พอได้ละ เลิกเล่นละครลิงสักที คนที่แทงฉันเป็นพนักงานของพวกนาย หยิ่นเจิ้ง มีอะไรจะพูดไหม?” แมงป่องมองหน้าหยิ่นเจิ้ง แล้วถามอย่างเย็นชา
“นี่…นี่มันเกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่ได้สั่งให้เขาทำสักหน่อย” หยิ่นเจิ้งยกมือขึ้น สีหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่
แต่ในความจริงหยิ่นเจ้งก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ เขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าพนักงานในองค์กรของตัวเองจะกล้าแทงแมงป่อง
เรื่องนี้มันค่อนข้างผิดปกติ หยิ่นเจิ้งตัดสินใจจะสืบประวัติไอ้หน้าหนวดดู
“แต่ค่ารักษาของพี่แมงป่อง ผมจะรับผิดชอบให้เอง”
หยิ่นเจิ้งพูดเสียงเรียบ “ลูกพี่แมงป่อง จะให้ผมเรียกรถพยาบาลให้ไหมครับ”
“หยิ่นเจิ้ง นายจะล้อเล่นกับฉันเหมือนเห็นฉันเป็นลิงตัวนึงจริงๆใช่ไหม? ถ้าไม่ลากตัวไอ้เวรนั่นมาให้ฉัน ก็…”
แมงป่องยังไม่ทันพูดจบ จ้าวโหย่วฉายก็กระแอมออกมา ทำให้แมงป่องต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ
“รับผิดชอบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดแมงป่องก็ทนไม่ไหว
“มีเบอร์มันไหม? ติดต่อมันสิ” หยิ่นเจิ้งเงยหน้าพูดกับเลขา
เลขาของหยิ่นเจิ้งพยักหน้านิดๆ หลังจากได้เบอร์โทรของไอ้หน้าหนวดมาก็กดโทรไปทันที แต่ปลายสายไม่มีคนรับ
“ไม่มีคนรับครับ ผมจะลองติดต่อเมียเขาดู”
เลขาพูด “บริษัทเรามีเบอร์ติดต่อของคนในครอบครัวหมด”
เมื่อเบอร์เมียของไอ้หน้าหนวดโทรติด เลขาของหยิ่นเจิ้งก็รีบพูดทันที “พี่สะใภ้ ไอ้หน้าหนวดล่ะครับ? ทำไมผมติดต่อเขาไม่ได้”
“ไอ้หน้าหนวด? เมื่อกี๊คุณเพิ่งโทรหาเขาเองไม่ใช่หรอ เห็นบอกจะให้เขาทำภารกิจสำคัญอะไรสักอย่าง แถมยังบอกว่าหลังจากจัดการเรื่องเสร็จก็ไม่ต้องมาทำงานอีก แล้วจะให้เงินก้อนใหญ่กับเรา” เมียของไอ้หน้าหนวดพูด
ตอนที่เลขากดโทรออก เขาได้เปิดลำโพงเอาไว้เพราะเป็นคำสั่งของแมงป่อง
แต่เขาไม่คิดเลยว่าปลายสายจะพูดจาใส่ความกันแบบนี้
วินาทีนี้ทั้งหยิ่นเจิ้งและเลขาต่างก็หน้าซีดพะอืดพะอม
“พี่สะใภ้พูดบ้าอะไร ผมไปโทรหาไอ้หน้าหนวดบอกให้เขาทำภารกิจตอนไหนไม่ทราบ” เลขาขบกรามแน่น
“เอาเถอะ ข้างๆนายมีใครอยู่หรือเปล่า เหมือนนายจะไม่สะดวกคุย ถ้าเป็นแบบนั้นก็วางสายเถอะ แต่นายฟังให้ดีล่ะ ไอ้หน้าหนวดเป็นคนซื่อๆ อย่าให้เขาทำเรื่องอะไรไม่ดีล่ะ” เมียขของไอ้หน้าหนวดพูดจบก็วางสายไป
เวลานี้ ภายในรถออร์ดี้ ไอ้หน้าหนวดกดรับสายโทรศัพท์จากเมีย
จากนั้น หลี่ฝางก็ยื่นโทรศัพท์เบอร์ใหม่ให้ไอ้หน้าหนวด “ใช้โทรศัพท์นี่โทรหาหยิ่นเจิ้งซะ”