NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่944 หวางซีหมิงมาที่เมืองเอกแล้ว
“ตามความสามารถของตระกูลหวางแล้ว จัดการกับตระกูลฉินนั้นง่ายนิดเดียว ในวันนี้ห่วงโซ่เงินทุนของตระกูลฉินได้ขาดสะบั้น ฝ่ายพันธมิตรภายใต้การกดดันของตระกูลหวาง ยินยอมที่จะผิดสัญญายังไงก็ไม่ยอมร่วมมือกับตระกูลฉิน ทางธนาคารก็ไม่ยินดีให้ตระกูลฉินกู้เงิน เป็นแบบนี้ต่อไป ตระกูลฉินคงทนได้อีกไม่นาน”
ตระกูลหวางเป็นตระกูลใหญ่มีธุรกิจกว้างขวาง คิดจะจัดการตระกูลฉินไม่ต้องลงมือเองเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่แสดงความต้องการนั้นออกมา ก็จะมีบริษัทมากมายที่ต้องการประจบประแจงตระกูลหวางรวมกลุ่มโจมตีตระกูลฉินแล้ว
“บริษัทที่ร่วมมือกับตระกูลฉินพวกนั้นกล้าผิดสัญญาง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ? เห็นหนังสือสัญญาเป็นเพียงกระดาษเปล่าหหรือยัง?” หลี่ฝางขมวดคิ้ว
“พี่หลี่ แน่นอนว่าหนังสือสัญญาไม่ใช่กระดาษเปล่า แต่ต่อให้ผิดสัญญา ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล” ลู่เผิงเฟยยิ้มอย่างขมขื่น: “ต่อให้ตระกูลหวางไม่ยื่นมือเข้ามา คดีความพวกนี้ก็สามารถทำให้ล่าช้าออกไปหลายเดือนได้อย่างง่าย ๆ พอถึงตอนนั้นตระกูลฉินคงแย่ไปนานแล้ว เกรงว่าแม้แต่คดีความยังไม่สามารถฟ้องร้องต่อไปได้”
กล่าวไป จู่ ๆ ลู่เผิงเฟยก็เอ่ยถามหลี่ฝางขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น: “พี่หลี่ เป็นยังไง จะให้ผมร่วมมือกับคุณเล่นงานหวางซีหมิงด้วยกันไหม?”
หลี่ฝางชะงักงัน เขาเอ่ยถามเหมือนกับจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม: “ครอบครัวของคุณจะยอมให้คุณเข้ามามีส่วนร่วม ต่อกรกับตระกูลหวางด้วยกันกับผมเหรอ?”
“ฮ่า ๆ ๆ” ลู่เผิงเฟยหัวเราะเสียงดัง: “พี่หลี่คุณเดาผิดแล้ว ตระกูลหวางใหญ่โตก็จริง แต่หวางซีหมิงจะนับเป็นตัวอะไร?”
“ถ้าพูดถึงที่มาที่ไป ตระกูลหวางลึกล้ำกว่าพวกเราอยู่บ้างก็จริง ทั้งยังมีประวัติในการพัฒนามายาวนานกว่าพวกเรา แต่ว่านี่ก็ทำให้คนในตระกูลหวางมีจำนวนมาก จนกลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่สลับซับซ้อนไปแล้ว หวางซีหมิงอยู่ที่ตระกูลหวาง เป็นเพียงแค่ลูกหลานตระกูลหวางที่ค่อนข้างจะมีความสำคัญอยู่บ้างเท่านั้นเอง ต่อกรกับมัน ไม่ใช่เรื่องยากอะไร!”
“ยิ่งไปกว่านั้น มันกล้ามาหาเรื่องถึงหัวพี่หลี่ ผมพึ่งจะรู้เรื่องนี้เมื่อกี้นี้เอง ไม่อย่างนั้นละก็ไม่ต้องให้ถึงมือพี่หลี่หรอก ผมจะจัดการมันให้ราบก่อนเอง!”
หลี่ฝางมองดูลู่เผิงเฟยอย่างครุ่นคิด เขาเข้าใจว่าลู่เผิงเฟยน่าจะรู้เรื่องของเขาอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยลู่เผิงเฟยก็เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและตระกูลฉินดี
“ทำไมผมดูเหมือนว่าคุณจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ? รู้สึกว่าคุณอยากจะจัดการหวางซีหมิงมากกว่าผมซะอีก” มองดูท่าทางกระตือรือร้นของลู่เผิงเฟย หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“ฮ่า ๆ จะบอกพี่หลี่ก็ได้ ผมอยากประมือกับลูกหลานตระกูลหวางมานานแล้ว วงการธุรกิจก็เหมือนกับสนามรบ อาศัยชื่อเสียงของตระกูลลู่เรา อยู่ในแวดวงธุรกิจก็พอจะราบรื่นอยู่บ้าง ไม่ได้รู้สึกกดดันมาโดยตลอด ผมอยากจะใช้โอกาสนี้ประมือกับตระกูลหวางดูสักตั้งจริง ๆ นะ ดูซิว่าเป็นลูกหลานในตระกูลระดับสูงเหมือนกัน ตระกูลลู่ของเราและตระกูลหวาง ใครจะโดดเด่นกว่ากัน!”
……
บทสนทนาระหว่างหลี่ฝางและลู่เผิงเฟยกินเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง ทั้งสองวางแผนลับอะไรบางอย่าง เพื่อใช้ในการต่อกรกับหวางซีหมิง อีกทั้งใช้เขาเป็นสะพานในการขุดหลุมพรางที่ใหญ่กว่าเดิมให้ตระกูลหวาง
ในขณะที่ทั้งสองหาลือกันเสร็จแล้ว และหลี่ฝางกำลังจะจากไปนั้นเอง ลู่เผิงเฟยก็ได้รับสายโทรเข้าสายหนึ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากที่วางโทรศัพท์ไป ลู่เผิงเฟยก็ยิ้มอย่างขมขื่นให้กับหลี่ฝาง
“พี่หลี่ แผนการของพวกเราคงต้องปรับเปลี่ยนหน่อยแล้ว”
“ทำไมเหรอ?” หลี่ฝางเอ่ยถาม
“หวางซีหมิงได้มาที่เมืองเอกแล้ว นอกจากนี้มันยังได้ติดต่อไปหาฉินวี่เฟยแห่งตระกูลฉิน เอ่อ พี่สะใภ้ และนัดพบกับเธอที่โรงแรมฟู่โชวพรุ่งนี้ ทั้งยังข่มขู่พี่สะใภ้ว่าถ้าไม่ไปจะจัดการตระกูลฉินให้สิ้นซาก ไอ้หมอนั่น ดูแล้วท่าจะมีแผนร้ายอะไรบางอย่างแน่”
ในตอนที่ได้รับข่าวนี้ ลู่เผิงเฟยก็รู้ทันทีว่าแผนการที่เขาได้วางไว้กับหลี่ฝางเมื่อกี้ต้องเป็นโมฆะแล้ว
เพราะว่าไอ้คนปัญญาอ่อนหวางซีหมิงนั่นได้แย่โดนเกล็ดมังกรของหลี่ฝางเข้าให้แล้ว และบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างหลี่ฝาง ไม่มีทางที่จะยอมทนกับเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน!
สิ่งที่หวางซีหมิงจะต้องรับมือหลังจากนี้ นั่นก็คือแรงโกรธที่มีอำนาจทำลายล้างของหลี่ฝาง!
จริงอย่างที่คิด หลังจากที่ลู่เผิงเฟยกล่าวจบนั้นเอง แววตาของหลี่ฝางก็เยือกเย็นลงทันที ไออาฆาตอันเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา: “มันรนหาที่ตาย!”
……
วันถัดมา ณ โรงแรมฟู่โชว
ที่ด้านหน้าประตูของโรงแรม ณ เวลานี้มีผู้คนยืนเรียงแถวอยู่สองฟากฝั่ง ที่ตรงกลางมีเถ้าแก่โรงแรมออกมายืนต้อนรับด้วยตัวเอง เหมือนกับว่ากำลังรอการมาถึงของใครบางคนอยู่
ภายในใจของพนักงานที่ยืนเรียงอยู่สองฟากฝั่งนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติประเภทไหนที่สามารถทำให้เถ้าแก่ของตัวเองจัดขบวนต้อนรับแบบนี้ได้
ในขณะที่ทุกคนต่างก็คาดเดาอยู่นั่นเอง เสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์ก็ได้ดังกระหึ่มมาลอยมา จากนั้นก็เห็นรถหรูสองคันขับมาจากไม่ไกลนัก และจอดลงที่หน้าประตูโรงแรมอย่างช้า ๆ
เถ้าแก่โรงแรมรีบเข้าไปต้อนรับอย่างนอบน้อมทันที เขาลงมือเปิดประตูรถด้วยตัวเอง พร้อมกล่าว: “คุณชายมู่หรง ยินดีต้อนรับครับ”
ชายหนุ่มสี่คนเดินลงมาจากรถ คนแรกที่เดินลงมานั้นคือมู่หรงฉางเฟิงนั่นเอง ดูแล้วเขาในเวลานี้นอกเหนือจากใบหน้าขาวซีดเพียงเล็กน้อยแล้ว ก็ขยับเขยื้อนได้ตามปกติ เหมือนกับว่าร่างกายของเขาได้หายดีแล้ว
หลังจากที่เถ้าแก่โรงแรมทักทายมู่หรงฉางเฟิงเสร็จ จากนั้นก็หันแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อมไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลาง
เพราะว่าในชายหนุ่มทั้งสี่คนนี้ พวกมู่หรงฉางเฟิงทั้งสามคนต่างก็นั่งอัดกันอยู่บนรถคันที่สอง มีเพียงชายหนุ่มคนนี้ที่นั่งอยู่บนรถคันแรกเพียงคนเดียว
สถานการณ์เช่นนี้หมายถึงอะไรนั้น เป็นธรรมดาที่เถ้าแก่โรงแรมจะเข้าใจดี
“ท่านนี้คือคุณชายหวาง”
มู่หรงฉางเฟิงเดินขึ้นมาด้านหน้า จากนั้นก็แนะนำฐานะของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น
คนคนนั้น ก็คือหวางซีหมิงแห่งตระกูลหวางนั่นเอง
เถ้าแก่โรงแรมรีบนำพาคนเหล่านั้นเข้าไปข้างในทันที ในขณะเดียวกันนั้นก็กล่าวอย่างประจบประแจง: “เมื่อวานได้ยินว่าคุณชายมู่หรงต้องต้อนรับบุคคลสำคัญ ผมได้จัดเตรียมห้องที่ดีที่สุดเพื่อการต้อนรับคุณชายหวางเป็นพิเศษ ลูกค้าเก่าหลายท่านต้องการห้องนั้น ต่างถูกผมปฏิเสธไป”
ถึงแม้จะยังคาดเดาไม่ออกว่าคุณชายหวางคนนี้เป็นใครมาจากไหน แต่นั่นมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรต่อการประจบสอพลอของเถ้าแก่