Perfect Superstar - ตอนที่ 263 ความผิดพลาด
ตอนที่ 263 ความผิดพลาด
ข้าวเย็นมื้อนี้ ทั้งแขกทั้งเจ้าบ้านต่างอบอวลไปด้วยความสุข
ต่งอวี่กับซูชิงเหมยไม่เพียงแต่ได้สิ่งที่พวกเธอต้องการ แต่ยังถือโอกาสนี้ฟื้นคืนความสัมพันธ์การร่วมงานที่ดีกับลู่เฉิน
ศิลปินหน้าใหม่สามคนของชิงอวี่มีเดียก็ยิ้มแย้มใบหน้าชื่นบาน เพราะพวกเขาถือว่าโชคดีที่ได้จองบทบาทในละครเรื่องใหม่ของลู่เฉินเอาไว้แล้ว แม้ว่าจะเป็นบทธรรมดา แต่ก็เป็นโอกาสที่มีค่ามากที่สุด
ภารกิจของฉินฮั่นหยางสำเร็จแล้ว ทุกฝ่ายต่างไว้หน้ากัน
แต่ลู่เฉินก็ไม่ได้เสียเปรียบ และผู้หญิงสวยทั้งสองคนก็ได้ติดหนี้น้ำใจอันใหญ่หลวงของเขา
ถ้าหากเป็นผู้หญิงสวยธรรมดาทั่วไป หนี้น้ำใจนี้ไม่ได้มีค่าอะไรนัก ถึงแม้ต่งอวี่กับซูชิงเหมยเพิ่งจะวางรากฐานในวงการได้ไม่นาน แต่เบื้องหลังของทั้งสองคนกลับไม่ธรรมดา
ก็เหมือนกับหลี่มู่ไป๋และหลี่มู่ซือที่เป็นตัวแทนของตระกูลหลี่ ลู่เฉินมอบหุ้นส่วนใหญ่ของเว็บไซต์ระดมทุนออกไป ก็ได้รับมิตรภาพและการสนับสนุนจากฝ่ายแรกกลับมา
ความสัมพันธ์ระดับนี้ ทำให้พวกโจรและคนเลวทั้งในและนอกวงการไม่กล้าทำร้ายลู่เฉินง่ายๆ
ถ้าอยากจะทำงานในวงการให้ราบรื่น หากไม่มีเบื้องหลังที่ดีก็จะกลายเป็นก้อนหินให้คนอื่นเหยียบขึ้นไป
แต่ลู่เฉินจะอาศัยตระกูลหลี่ตลอดไปไม่ได้ เพราะน้ำใจต้องมียามที่ใช้หมด มิตรภาพระหว่างเขากับหลี่มู่ไป๋ไม่สามารถเป็นเบี้ยพนันที่ถูกใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายได้ตลอด จำเป็นต้องสะสมสายสัมพันธ์ให้กว้างขวางมากขึ้นถึงจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง
ดังนั้นลู่เฉินจึงยินดีให้ต่งอวี่และซูชิงเหมยติดหนี้บุญคุณตัวเขา โดยที่เขาไม่ต้องแลกอะไรมากมาย
ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็สี่ทุ่มแล้ว
ตอนที่ฉินฮั่นหยางเดินออกมาจากร้านอาหารหน้าแดงก่ำ เขายื่นมือไปตบไหล่ของลู่เฉินอย่างแรงแล้วเอ่ยว่า “ลู่เฉิน ฉันจะพานายไปสถานที่ที่สนุกมาก คืนนี้ไม่มีธุระใช่ไหม”
เย็นนี้เขาดื่มไปไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเมาแล้ว
ลู่เฉินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีครับ พี่ฉินบอกว่าสนุก ก็ต้องสนุกแน่นอน”
ฉินฮั่นหยางหัวเราะฮ่าๆๆ พลางโบกมือ “พวกเราไปกันเถอะ!”
ลู่เฉินบอกลาคนของชิงอวี่มีเดีย จากนั้นเขากับหลี่เฟยอวี่ ก็ออกไปพร้อมกับฉินฮั่นหยาง
ฉินฮั่นหยางพาลู่เฉินไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่าบล็อก 1912 ที่นั่นคือถนนบาร์เหล้าของเมืองจินหลิง
ที่นี่ห่างจากทำเนียบประธานาธิบดีแค่กำแพงกั้น สถาปัตยกรรมโดยรอบล้วนมีมนต์เสน่ห์ของประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยแสงสีของสถานบันเทิงยามค่ำคืน ผู้คนที่เดินอยู่ในนั้นราวกับเดินอยู่ในเวลากลางวัน รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันทันที
ฉินฮั่นหยางไม่ได้มาที่บล็อก 1912 เป็นครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด เขาคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างมาก หลังจากลงจากรถแท็กซี่ก็พาพวกลู่เฉินทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าอีกสองร้อยกว่าเมตร จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในซอยที่ค่อนข้างเงียบซอยหนึ่ง
ทางในซอยสั้นมาก มีความยาวเพียงสิบกว่าเมตร และยังเป็นซอยตัน
ท้ายซอยมีกล่องไฟแอลอีดีวางอยู่ การออกแบบเป็นสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตัวอักษรภาษาอังกฤษคำว่า Crow ฉลุลายสวยงามโปร่งแสงสะดุดตาเป็นอย่างมาก สามารถมองเห็นได้แต่ไกล
ตลอดทางที่เดินมา ฉินฮั่นหยางสร่างเมาไม่น้อย เขาชี้ไปที่ป้ายไฟแล้วกล่าวว่า “นี่คือบาร์อีกาดำ ตอนแรกวงเดอะแบล็กโครว์เคยร้องเพลงประจำอยู่ที่นี่ และชื่อนี้ก็เปลี่ยนหลังจากที่พวกเขามา จนกระทั่งถึงตอนนี้”
“เพื่อนร่วมวงของฉันอยู่ด้านในแล้ว ที่นี่มีเพื่อนหลายคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ทั้งหมดร้องเพลงร็อก!”
ลู่เฉินเข้าใจแล้ว
บาร์อีกาดำเป็นสถานที่รวมตัวของคนดนตรีในจินหลิงอย่างไม่ต้องสงสัย และบาร์ลักษณะนี้ก็มีในปักกิ่งเช่นกัน
บาร์ประเภทนี้ซ่อนตัวลึกลับมาก โดยทั่วไปจะไม่ต้อนรับแขกธรรมดา คนที่มาล้วนเป็นคนวงในหรือไม่ก็แฟนเพลงที่มีประสบการณ์สูง เมื่อเทียบกันแล้วบรรยากาศทางธุรกิจเบาบางมาก แต่กลิ่นอายของศิลปะนั้นเข้มข้น คล้ายกับสถานที่รวมตัวของศิลปินอินดี้
เขานึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง จึงถามว่า “กลุ่มจินหลิง?”
ฉินฮั่นหยางพยักหน้า “ใช่!”
ลู่เฉินเข้าใจในทันที
สิ่งที่เรียกว่ากลุ่มจินหลิง คือหนึ่งในสามกลุ่มใหญ่ของวงการเพลงร็อกภายในประเทศ อีกสองกลุ่มนอกจากนี้แบ่งออกเป็นกลุ่มฮ่องกง-มาเก๊าและกลุ่มปักกิ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มดนตรีร็อกระดับชาติเหมือนกันแต่มีสไตล์ที่แตกต่างกัน
การสร้างสไตล์ของกลุ่มใหญ่ทั้งสาม เกี่ยวพันกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด
ดนตรีร็อกของกลุ่มปักกิ่ง มักจะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับรูปแบบทางการเมืองและสังคม เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโกรธ
กลุ่มฮ่องกง-มาเก๊าได้รับอิทธิพลจากดนตรีร็อกในยุโรปและอเมริกาอย่างลึกซึ้งที่สุด ชอบศึกษาลักษณะความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ความเสื่อมทรุดและแย่ลงภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ของสังคม
ส่วนกลุ่มจินหลิง มีกลิ่นอายของศิลปะและวรรณกรรมที่เข้มข้น ไม่มีความบ้าคลั่งและรุนแรงสุดขีด เน้นไปทางดนตรีซอฟต์ร็อก
หลังจากเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ดนตรีร็อกของประเทศก็เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ร็อกสตาร์อาวุโสถ้าไม่ตายก็ออกจากวงการ หรือไม่ก็เปลี่ยนอาชีพ กลุ่มใหญ่ทั้งสามจึงค่อยๆ หมดสภาพไปเรื่อยๆ จนถึงป่านนี้ก็ไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อวงการเพลงป็อปมากเท่าไร
หนุ่มสาวหลายคนไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากสไตล์ที่แตกต่างกัน เมื่อเทียบกับกลุ่มฮ่องกง-มาเก๊าและกลุ่มปักกิ่ง ความมีตัวตนของกลุ่มจินหลิงถือว่าแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย มีวงท้องถิ่นสองสามวงที่ยังคงมีผลงานโลดแล่นอยู่ในวงการเพลง
เห็นได้ชัดว่าบาร์อีกาดำคือรังของกลุ่มจินหลิง ดังนั้นฉินฮั่นหยางถึงบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่สนุกมาก
ลู่เฉินก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
บาร์อีกาดำตั้งอยู่ในบ้านที่เก่ามาก ดูแล้วน่าจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบร้อยปี ถ้าหากไม่มีป้ายไฟก็ยากจะมองออกว่ามันคือบาร์ดนตรีแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนบ้านของครอบครัวใหญ่ธรรมดาทั่วไปมากกว่า
หน้าประตูก็ไม่มีพนักงานเสิร์ฟหรือยามอะไร หลังจากผลักประตูเข้าไปด้วยตัวเอง กลิ่นอายเฉพาะตัวของบาร์ก็ปะทะเข้ามาปะหน้า พร้อมกับเสียงเพลงดังกระหึ่ม
บาร์แห่งนี้ใหญ่มากกว่าที่ลู่เฉินคิดไว้ มีลูกค้ามากมาย ผู้ชายและผู้หญิงหลายคนนั่งล้อมรอบโต๊ะบาร์ที่ออกแบบสวยงามและแปลกใหม่ พูดคุย ดื่มเหล้า และฟังเพลงกัน เสียงดังโหวกเหวกมากกว่าบาร์ที่โฮ่วไห่ แต่ไม่วุ่นวายเหมือนย่านซานหลี่ถุน
บนเวที มีวงร็อกวงหนึ่งกำลังร้องเพลง และเพลงที่กำลังร้องโชว์ก็คือเพลง ‘หอนาฬิกาโบราณ’ ของวงเดอะแบล็กโครว์
นักร้องนำกอดเบสสยายผมยุ่งๆ แผดเสียงต่ำใส่ไมค์ ราวกับใช้พลังทั้งหมดของร่างกายตะโกนออกมา รู้สึกบ้าคลั่งอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
แต่อันที่จริง เพลง ‘หอนาฬิกาโบราณ’ เป็นผลงานเพลงรำลึกความหลังที่มีอยู่น้อยมากของวงเดอะแบล็กโครว์ ทำนองดนตรีไม่มีความฮึกเหิมเท่าไร ให้ความรู้สึกของเพลงโฟล์กซองนิดๆ
เห็นได้ชัดว่าวงนี้นำเพลงระดับตำนานเพลงนี้มาเรียบเรียงใหม่ ใช้สไตล์ของตัวเองและเพิ่มการแสดงเข้าไป
ส่วนผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ก็นานาจิตตัง
มีความเป็นไปได้ว่าการแสดงของพวกเขาดึงดูดความสนใจของลูกค้าหลายคน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นพวกฉินฮั่นหยางกับลู่เฉินทั้งสามคน
ฉินฮั่นหยางพาลู่เฉินไปหาที่นั่งว่างตรงมุมหนึ่ง
สมาชิกทั้งสี่คนของวงเฮสิเทชั่นก็อยู่กันครบ นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ชายกับผู้หญิงอย่างละหนึ่งคนซึ่งลู่เฉินไม่รู้จัก พวกเขานั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวสองตัวที่เอามาต่อกัน มีขวดเบียร์และขนมต่างๆ วางอยู่บนโต๊ะ สภาพรกดูไม่ได้มากๆ
“พี่ฉิน!” “พี่เฉิน!”
คนของวงเฮสิเทชั่นที่กำลังดื่มกันอย่างสนุก พอเห็นฉินฮั่นหยางกับลู่เฉิน พวกเขาจึงรีบลุกขึ้นทักทายทันที
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เจอกันนานเลย”
เขากับวงเฮสิเทชั่นไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้ว ทุกคนต่างก็ยุ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่สายเดียวกัน
ฉินฮั่นหยางแนะนำให้ลู่เฉินรู้จัก “นี่คือต้าเจียงเถ้าแก่ของบาร์อีกาดำ เจียงที่เขียนเหมือนเจียงจื่อหยา”
ต้าเจียงเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ดำและผอม เขาสวมกางเกงยีนส์และเสื้อยืดแขนยาว ใบหน้าเหมือนคนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ไม่เหมือนเถ้าแก่บาร์ แต่เหมือนแรงงานเกษตรที่ทำงานก่อสร้าง หยาบกร้านอย่างแท้จริง
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีครับพี่เจียง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ฉินฮั่นหยางแนะนำลู่เฉินต่อ “คนนี้คือลู่เฉิน ผมคงไม่ต้องแนะนำแล้วใช่ไหม”
“ยินดีที่ได้พบคุณครับ!”
ต้าเจียงยื่นมือไปหาลู่เฉินก่อน สายตาแฝงไปด้วยความยินดี “ผมอยากรู้จักคุณมานานแล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสเลย คราวที่แล้วไปปักกิ่งก็พลาด วันนี้สมความปรารถนาสักที!”
ฉินฮั่นหยางเอ่ยว่า “ต้าเจียงเคยร้องเพลงร็อกมาก่อน พลังในการร้องเพลงของเขาแข็งแกร่งกว่าการเปิดบาร์มาก!”
ลู่เฉินยิ้มและจับมือกับอีกฝ่าย “ยินดีที่ได้พบคุณครับ”
“นั่งๆๆ…”
ต้าเจียงบอกให้ทุกคนนั่งลง และผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขาคนนั้นก็เก็บถาดอาหารกับขวดเปล่าไปอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว
ต้าเจียงเรียกพนักงานให้มาช่วยอีกแรง ไม่ช้าก็เก็บจนสะอาดสะอ้าน แล้วสั่งให้เอาเบียร์ใหม่มาส่ง
ลู่เฉินรับเบียร์ขวดหนึ่งแล้วดื่มหนึ่งที ไม่ได้ดื่มเยอะมาก
คืนนี้เขาดื่มเหล้าไปไม่น้อยแล้ว
ต้าเจียงค่อนข้างดีใจ เขาคุยกับทุกคนสองสามประโยคก่อนและดื่มเล็กน้อย หลังจากรอให้วงดนตรีที่อยู่บนเวทีร้องเพลงนี้จบ เขาก็รีบวิ่งไปบนเวที รับไมค์มา
“สวัสดียามค่ำคืนทุกท่านครับ…”
เถ้าแก่บาร์คนนี้พูดไปยิ้มไป “ผมมีเรื่องยินดีอยากจะบอกทุกคนที่นี่ นั่นก็คือคืนนี้วงเฮสิเทชั่นที่มีชื่อเสียง แล้วก็ยังมีฉินฮั่นหยาง หรือต้าฉินของพวกเราได้มาเยือนบาร์อีกาดำ ทุกคนช่วยกันต้อนรับหน่อยครับ!”
เสียงปรบมือ เสียงผิวปากดังขึ้น แขกทุกคนมองซ้ายแลขวา เพื่อหาเงาร่างของฉินฮั่นหยาง
ฉินฮั่นหยางรีบลุกขึ้น โบกมือให้ทุกคนเพื่อแสดงความขอบคุณ
เสียงปรบมือยิ่งดังขึ้นอีก
ต้าเจียงพูดต่อว่า “นอกจากนี้ยังมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มากับต้าฉิน ทุกคนคงคาดไม่ถึงแน่นอน…”
“เขาก็คือผู้แต่งเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ‘เดอะบลูโลตัส’ และ ‘วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์’ ลู่เฉิน!”
ลู่เฉิน?
เสียงฮือฮาดังไปทั่วทั้งบาร์ เสียงปรบมืออ่อนลงไม่น้อย แต่เสียงพูดคุยดังขึ้นโดยรอบระคนกับเสียงกรี๊ดสองสามที
เป็นเสียงกรี๊ดของผู้หญิง
ลู่เฉินก็ลุกขึ้นมาโบกมือเช่นกัน
เมื่อหลายคนมองเห็นเขา เสียงพูดก็ดังยิ่งขึ้น
ส่วนใหญ่จะพูดว่า ‘นี่คือลู่เฉินเหรอ’ ‘เขามาที่อีกาดำได้ยังไง’ ‘เหอะๆ!’
บาร์อีกาดำเป็นบาร์ของชนหมู่น้อย ลูกค้าของมันอยู่ในวงสังคมแคบๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนวงในกับแฟนดนตรีร็อก มีแฟนดนตรีทั่วไปจำนวนน้อย หรือไม่ก็เป็นคนที่ถูกเพื่อนลากเข้ามาเพื่อดูชีวิตที่มีสีสันแปลกใหม่
ภายในวงสังคมแคบๆ แห่งนี้ ชื่อเสียงของฉินฮั่นหยางกับวงเฮสิเทชั่นดังมากกว่าลู่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
ลูกค้าของบาร์อีกาดำรู้สึกยอมรับฉินฮั่นหยางมากกว่า
แต่ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของลู่เฉิน แม้ว่าจะเป็นคนที่ดูถูกความเป็นเด็กหรือสไตล์การแต่งเพลงของเขา ก็เคยฟังเพลง‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ‘เดอะบลูโลตัส’ ‘วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์’ ‘บินให้สูงขึ้น’…
ความจริงเพลงของเขาสองสามเพลงนี้มักจะถูกคนเอาไปร้องบนเวทีบ่อยๆ
ในสถานการณ์โดยทั่วไปแล้ว ลู่เฉินกับบาร์อีกาดำที่มีวงสังคมแคบแบบนี้ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ใครก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่ บ้างก็รู้สึกดีใจ บ้างก็ไม่คาดฝัน บ้างก็สงสัย บ้างก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ดูซับซ้อนไปหมด
และไม่ใช่ทุกคนที่จะต้อนรับเขา
ลู่เฉินรู้สึกถึงบรรยากาศผิดปกติที่อยู่ในบาร์ เขานั่งลงอีกครั้งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เขารู้สึกว่าตัวเองเข้ากับคนที่นี่ไม่ค่อยได้
ฉินฮั่นหยางขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองพาลู่เฉินมาที่บาร์อีกาดำ ดูเหมือนจะเป็นความผิดพลาด
ที่นี่ไม่ค่อยมีแฟนคลับของลู่เฉิน แม้ว่าเขาจะเขียนผลงานเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ก็ตาม
…………………………………………………………………………