Perfect Superstar - ตอนที่ 271 นักแสดงรับเชิญ
ตอนที่ 271 นักแสดงรับเชิญ
เกร๊งๆๆ
เสียงช้อนเงินที่สวยงามเคาะแก้วไวน์ใส ส่งเสียงดังกังวานไพเราะเสนาะหู
ภายในห้องจัดเลี้ยงที่สนุกสนานกันอยู่ เงียบสงบลงในไม่ช้า
จางเต๋อจื้อยืนขึ้นมาด้วยความพอใจ เขาวางช้อนลง ชูแก้วไวน์ขึ้นสูง แล้วเอ่ยพูดอย่างกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา “ผมขออนุญาตพูดตรงนี้สักสองประโยคนะครับ…”
“ขอบคุณทุกท่านที่ขยันและพยายามมาตลอดสองเดือนนี้ ทำให้งานถ่ายทำละครเรื่องนี้ของพวกเราเสร็จอย่างราบรื่น ผมขอเป็นตัวแทนกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อผู้ที่มีจิตใจดีทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้!”
“ชนแก้ว!”
ทุกคนชูแก้วตอบกลับผู้จัดการใหญ่คนนี้ ยามที่ทอดสายตามองไปรอบๆ ภายในห้องจัดเลี้ยงล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
วันนี้ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ปิดกล้องอย่างเป็นทางการ กานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สเหมาห้องจินหลันของโรงแรมแมริออท จัดงานเลี้ยงให้กับทีมงานทุกคนและนักแสดงที่ยังไม่ได้กลับ เพื่อให้กำลังใจและขอบคุณโดยการให้รางวัล
ตอนที่เริ่มงานเลี้ยง จางเต๋อให้เลขาไปหยิบกระเป๋า แล้วมอบอั่งเปาให้กับทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยง
แม้แต่ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ก็ได้
สำหรับทั้งสองคน เงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่สำคัญอะไร อย่างมากก็เพื่อความสนุกและเป็นสิริมงคลเท่านั้น
แต่สำหรับทีมงานที่ทำงานด้วยความยากลำบาก เป็นสวัสดิการที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
จางเต๋อมอบเงินอย่างปราศจากกังวลและมีความสุขเป็นพิเศษ
หลังจากผ่านการเจรจาตกลงมาสองสามวัน สิทธิ์ในการออกอากาศซ้ำของละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ได้ถูกขายให้กับสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งและสถานีโทรทัศน์เจ้อตงอย่างเป็นทางการแล้ว ราคาที่ตกลงสำหรับการส่งมอบลิขสิทธิ์มากถึงยี่สิบสามล้าน โดยให้ทั้งสองสถานีเฉลี่ยจ่ายเท่าๆ กัน
เนื่องจากเรตติ้งละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ สูงขึ้นตลอด เพราะฉะนั้นอาศัยเพียงสัญญาการพนันของสถานีโทรทัศน์ไห่จินอย่างเดียว ละครเรื่องนี้ก็สามารถเรียกต้นทุนกลับมาได้ทั้งหมดแถมยังได้กำไรล่วงหน้า
ดังนั้นเงินก้อนนี้จึงถือว่าเป็นกำไรสุทธิ คาดว่าผู้ลงทุนทั้งสามฝ่ายน่าจะได้กำไรนับสิบล้าน!
อารมณ์ของจางเต๋อแค่คิดดูก็รู้แล้ว
พวกเขาสองคนพี่น้องเข้ามาเมืองหลวงสร้างบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ ต่อสู้ในวงการนี้อย่างลำบากยากเข็ญมีทั้งได้เงิน ขาดทุน และเท่าทุน ไม่เคยมีโปรเจกต์ไหนที่ทำกำไรได้เยอะขนาดนี้มาก่อน
ที่สำคัญที่สุดคือ ผลประโยชน์ที่ได้จากความสำเร็จของละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้!
เดิมทีจางเต๋อมีความเป็นนักเลงนิดหน่อย ไม่ใช่คนที่ชอบเสแสร้งอะไร ดังนั้นเย็นนี้จึงสนุกสนานผ่อนคลายอย่างเต็มที่
พอดื่มแก้วนี้หมด เขาก็รินอีกแก้วแล้วดื่มให้ลู่เฉิน “อาจารย์ลู่ ผมเหล่าจางเป็นคนหยาบๆ ไม่ค่อยเข้าใจศิลปะอะไร รู้แค่ว่าคุณเป็นอัจฉริยะมีความสามารถ ไม่มีคุณก็คงไม่มีละครเรื่องนี้ ผมขอดื่มให้คุณหนึ่งแก้วครับ!”
ลู่เฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการจางเกรงใจเกินไปแล้วครับ ขอบคุณครับ!”
เขากับจางเต๋อดื่มหมดแก้ว
จางเต๋อหน้าแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกาย และก็รินเหล้าดื่มให้กับเฉินเฟยเอ๋อร์อีก
เฉินเฟยเอ๋อร์ไว้หน้าเขา จึงดื่มไวน์แดงแก้วเล็กไปหนึ่งแก้ว
จางเต๋อรู้สึกได้หน้ามาก จากนั้นก็หันไปหาฟางฮุ่ยแล้วดื่มอีกครั้ง
ฟางฮุ่ยก็เป็นคนตรงไปตรงมา ไวน์แดงเต็มแก้วเธอดื่มจนหมดเกลี้ยง เกิดเสียงโห่ร้องดังไปทั่วโต๊ะ
บรรยากาศงานเลี้ยงยิ่งสนุกสนานมากขึ้น
จางเต๋อดื่มกับทุกคนแล้วถึงนั่งลง จากนั้นก็ส่งสายตาให้ลูกน้อง
มีคนรีบออกมาดื่มคารวะลู่เฉินทันที ต่างเรียกเขาว่า “พี่ลู่” “พี่ลู่” อย่างสนิทสนมเป็นพิเศษ
ลู่เฉินไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงดื่มติดต่อกันสองสามแก้ว
เฉินเฟยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็สงสารเขา แต่ไม่กล้าที่จะห้ามปราม
แต่ฟางฮุ่ยมองออก จึงยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “พวกคุณอย่ามอมเหล้าลู่เฉินเลย มีคงสงสารเขาอยู่!”
ทุกคนจึงหัวเราะขึ้นมาทันที
เรื่องนั้นของเฉินเฟยเอ๋อร์กับลู่เฉิน แท้จริงแล้วคนในกองจะรู้เป็นส่วนใหญ่
ทว่ารู้ก็ส่วนรู้ ไม่มีใครเอาไปพูดซี้ซั้ว มิฉะนั้นคงยากที่จะอยู่ในวงการนี้ต่อไป ไม่มีกองถ่ายไหนชอบคนที่ปากโป้ง โดยเฉพาะคนที่ชอบแอบขายข่าวให้กับปาปารัสซี่
คนที่มีคุณสมบัติพูดแซวทั้งสองคนได้ ก็มีแค่ฟางฮุ่ยที่เป็นผู้กำกับคนนี้นี่แหละ
แน่นอนว่ามีเฉินเฟยเอ๋อร์คอยปกป้อง ทุกคนจึงไม่กล้ามอมเหล้าลู่เฉินอีก ทำให้เขาหนีรอดไปได้
รอดก็ส่วนรอด รอจนถึงงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ลู่เฉินก็ดื่มไวน์แดงไปเกือบสองขวดแล้ว
หลังจากกลับไปที่ห้อง ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า
เขาไม่ได้ดื่มจนเมา แต่พออาบน้ำออกมา ก็เห็นเฉินเฟยเอ๋อร์นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้ว
มาอยู่เป็นเพื่อนจริงๆ เหรอ!
ลู่เฉินรู้สึกหัวใจร้อนรุ่ม รีบวิ่งด้วยความดีใจไปสวมกอดสาวงามไว้ในอ้อมกอดอย่างคุ้นชิน
เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ปล่อยให้เขากอดแล้วเอ่ยว่า “นายอย่าคิดมากเกินไป อีกสักพักฉันก็กลับแล้ว”
“อ้าว”
ลู่เฉินทำสีหน้าไม่พอใจทันที “ไม่ใช่มั้ง”
เฉินเฟยเอ๋อร์กลั้นหัวเราะ ยื่นมือไปลูบใบหน้าของเขา พูดเบาๆ อย่างเขินอายเล็กน้อย “ฉันรู้ว่านายต้องการอะไร แต่ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อม ให้เวลาฉันอีกหน่อยได้ไหม”
แม้ว่าเธอจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็เป็นคนรักนวลสงวนตัวมาก แม้ว่าหัวใจจะยินยอม แต่จะไม่สะเพร่าเด็ดขาด
ลู่เฉินพยักหน้า
คนสองคนรักกันยืนยาว เหตุใดจะต้องอยู่เคียงข้างกันทุกวันเล่า เขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่พิจารณาแต่ส่วนล่างอย่างเดียวเสียหน่อย แน่นอนว่าเขาเคารพความคิดของเฉินเฟยเอ๋อร์ ถึงแม้จะมีอารมณ์หุนหันพลันแล่นไปบ้างแต่ก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี
ของที่เป็นของเขา ช้าเร็วก็หนีไม่พ้น
เฉินเฟยเอ๋อร์สัมผัสได้ เธอจึงดีใจขึ้นมา ยื่นมือคล้องคอของลู่เฉิน ส่งจูบที่หอมหวานให้ก่อน
จูบนี้นานหลายนาที จูบจนทั้งสองคนหน้าแดงหูแดง
อาศัยตอนที่ยังมีสติอยู่ เฉินเฟยเอ๋อร์ดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของลู่เฉิน แล้วกล่าวว่า “ฉันต้องกลับแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็จะกลับปักกิ่งแล้ว งานที่สตูดิโอมีไม่น้อย ตารางออกรายการวางทับเป็นกอง”
ลู่เฉินเสียใจมากแต่ก็เข้าใจ “อีกสองสามวันผมค่อยกลับ ถึงแล้วจะติดต่อพี่อีกทีนะครับ”
ถึงแม้ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ จะถ่ายทำเสร็จแล้ว แต่ยังมีการตัดต่อเบื้องหลังและใส่เสียงประกอบ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องอยู่ที่จินหลิงอีกระยะหนึ่ง หลังจากรอให้เสร็จงานทั้งหมดแล้วถึงจะกลับปักกิ่ง
เฉินเฟยเอ๋อร์ซบเข้าไปที่อ้อมอกของเขาอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “สองเดือนนี้ ฉันมีความสุขมากที่สุด”
ดาราศิลปินที่คบกันมีเวลาได้อยู่ด้วยกันน้อยมากจริงๆ ถ้าหากอยู่ในวงการบันเทิงทั้งคู่ โอกาสที่จะได้เจอหน้ากันมีน้อยมาก พบกันน้อยแยกจากกันเยอะถึงแม้จะแต่งงานแล้วก็ยากที่จะอยู่ด้วยกันได้ยืนยาว
ทั้งสองคนถ่ายละครเรื่องเดียวกันในจินหลิง อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ ความรู้สึกจึงลึกซึ้งมากจริงๆ
เสียดายที่วันเวลาแบบนี้มักจะสั้นเสมอ เผลอแป๊บเดียวก็ต้องแยกย้ายไปทำงานของใครของมัน
เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่อยากกลับไปเลยจริงๆ
ลู่เฉินจะไม่รู้สึกเหมือนกันได้อย่างไร
ทั้งสองคนคลอเคลียเอาใจกันพักหนึ่ง จากนั้นลู่เฉินก็ส่งเฉินเฟยเอ๋อร์กลับห้องของเธออย่างอาลัยอาวรณ์
ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่ถึงสองสามนาที ตอนที่เขากำลังจะพักผ่อน ประตูห้องก็ถูกคนเคาะอีกแล้ว
ลู่เฉินคิดว่าเฉินเฟยเอ๋อร์เปลี่ยนใจ จึงเปิดประตูด้วยความตื่นเต้น แต่กลับพบว่าคนที่มาคือจางเต๋อ
แล้วก็ยังมีเลขาของเขา
จางเต๋อยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มพลางถามว่า “อาจารย์ลู่ มีธุระอยากคุยกับคุณนิดหน่อย ตอนนี้สะดวกไหมครับ”
ลู่เฉินหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ทั้งสองคนเชิญเข้ามาสิครับ”
เขาเชิญจางเต๋อไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น เลขาสาวของคนหลังก็ไปชงน้ำชาให้ทั้งสองอย่างรู้งาน
จางเต๋อกล่าวว่า “อาจารย์ลู่ เรื่องเป็นอย่างนี้ ผมมีเพื่อนที่ลงทุนทำหนังคนหนึ่ง เขามาถ่ายทำที่นี่พอดี อยากจะเชิญคุณไปเป็นนักแสดงรับเชิญ คุณพอจะเจียดเวลาได้ไหมครับ”
รับบทนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์?
ลู่เฉินพลันตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าจางเต๋อมาหาตัวเอง เพื่อจะคุยเรื่องการร่วมงานกันต่อในอนาคต อย่างเช่นละครเรื่องถัดไป
หลังจากละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ถ่ายทำจบแล้ว ลู่เฉินเตรียมตัวเปิดละครเรื่องใหม่ในปีหน้าซึ่งไม่ใช่ความลับอะไรถึงแม้จะไม่รู้ ก็พอที่จะเดาออก
เรตติ้งละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ทำลายสถิติได้ ธงของเขาในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์จึงตั้งขึ้น บริษัทเอเจนซี่ในวงการบันเทิงและนักโฆษณาที่อยากลงทุนจะต้องกรูเข้ามาราวฝูงผึ้งแน่นอน
อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่โฆษณาที่เข้ามาในละครอย่างเดียวก็สามารถทำกำไรได้ก้อนโต!
เนื่องจากละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ถูกหลายคนมองข้ามก่อนออกอากาศ และเรตติ้งเพิ่มสูงขึ้นหลังจากถ่ายทำใกล้เสร็จแล้ว จึงไม่มีโฆษณาใดๆ เข้ามา แต่ละครเรื่องใหม่กลับไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนทำทุกอย่างเพื่อผลกำไร ด้วยเหตุนี้ เดิมทีบริษัทกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สที่มีกำลังและเบื้องหลังที่ธรรมดา ไม่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในวงการ จึงต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันทางการแข่งขันอย่างใหญ่หลวงจากคนในสายอาชีพเดียวกัน
กานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สที่ได้ลิ้มรสผลประโยชน์อันหอมหวานแล้ว แน่นอนว่าอยากร่วมงานกับลู่เฉินต่อร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ ณ ตอนนี้ มิตรภาพของทั้งสองฝ่ายยังไม่ถึงขั้นให้ลู่เฉินยอมรับกานเต๋อได้ทั้งหมด
ลู่เฉินได้สติกลับมาในไม่ช้า จางเต๋อเป็นฝ่ายมาแสดงไมตรีจิตกับเขาครั้งนี้ คงพยายามหาโอกาสมาด้วยความยากลำบาก
ในวงการบันเทิง ระดับของภาพยนตร์สูงกว่าละครโทรทัศน์ตลอดกาล นักแสดงที่ไม่เคยถ่ายภาพยนตร์มาก่อนต่างเคอะเขินที่จะพูดว่าตัวเองคือนักแสดงอย่างแท้จริง เพราะดาราตัวท็อปที่แท้จริงคือราชาภาพยนตร์และราชินีภาพยนตร์!
การก้าวเข้าสู่จอเงิน ก็คือหนึ่งในแผนการของลู่เฉิน
เขาอดสนใจขึ้นมาไม่ได้ จึงถามว่า “หนังเรื่องอะไรครับ”
จางเต๋ออธิบาย “เป็นหนังประวัติศาสตร์ยุคโบราณ ชื่อว่า ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ ตอนนี้ถ่ายทำไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ในนั้นมีนักแสดงประกอบคนหนึ่งเกิดเรื่องนิดหน่อยเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนคน”
“เพื่อนผมคนนั้นรู้จักคุณ จึงอยากเชิญคุณไปเป็นนักแสดงรับเชิญสักครั้ง ฉากไม่ค่อยเยอะมาก”
เขายิ้มเอ่ยว่า “เพื่อนผมคนนั้นนับถือคุณมาก คิดว่าคุณเหมาะสมกับบทนี้ที่สุด จึงแนะนำคุณให้ผู้กำกับ”
ลู่เฉินหัวเราะ “ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นผมก็จะลองดูครับ”
ครั้งนี้เขาถ่ายทำละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ กับกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส การร่วมงานกันของทั้งสองฝ่ายมีความสุขมาก ฝ่ายหลังวางตำแหน่งได้เหมาะสม ให้ความร่วมมือกับนักแสดงนำทั้งสองคนและผู้กำกับอย่างเต็มที่
จางเต๋อในฐานะผู้จัดการใหญ่ คอยดูแลงานถ่ายทำและอยู่ที่จินหลิงตลอดเวลา ดูแลทุกด้านอย่างรอบคอบละเอียดครบถ้วน
ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ สามารถถ่ายทำเสร็จล่วงหน้า เขาก็มีความดีความชอบเช่นกัน
ดังนั้นละครใหม่ในปีหน้า ลู่เฉินจะพิจารณากานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์สก่อนเป็นอันดับแรก อย่างน้อยฝ่ายหลังก็เคยร่วมงานกันมาก่อน ส่วนจะถือหุ้นเป็นสัดส่วนเท่าไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้จางเต๋อมาประจบเอาใจมองตาปริบๆ ถึงที่ แน่นอนว่าลู่เฉินต้องไว้หน้าเขา
นอกจากนี้การถ่ายทำภาพยนตร์ก็เย้ายวนดึงดูดความสนใจของเขาไม่น้อย
ถึงแม้จะเป็นแค่นักแสดงรับเชิญก็ตาม
จางเต๋อดีใจ “งั้นก็ดีครับ ผมจะกลับไปติดต่อกับเพื่อน รีบให้คุณไปแคสติ้งโดยเร็วที่สุด”
ดูจากตอนนี้แล้ว เขายังเป็นเด็กหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ จำเป็นต้องทำตามกฎ
ลู่เฉินเข้าใจกฎเกณฑ์ดี “ครับ งั้นต้องขอบคุณผู้จัดการจางด้วยนะครับ!”
จางเต๋อยิ้มพูดว่า “ผมต้องขอบคุณคุณมากกว่าถึงจะถูก หนังของเขาสามารถเชิญคุณไปเป็นนักแสดงรับเชิญได้ถือว่าโชคดีจริงๆ!”
คำพูดของเขาไม่ได้เป็นการเยินยอเสียทีเดียว
นักแสดงที่เติบโตเร็วเหมือนอย่างลู่เฉิน มีให้เห็นน้อยมากจริงๆ!
…………………………………………………………………………