Perfect Superstar - ตอนที่ 342 ผมรักคุณ
ตอนที่ 342 ผมรักคุณ
“นายดูสิฉันใส่กระโปรงตัวนี้พอได้ไหม”
ภายในห้องสวีทของโรงแรมลี่จิง เฉินเฟยเอ๋อร์ยืนอยู่หน้ากระจกเอามือเท้าเอวที่เพรียวบาง ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย
เธอสูงเกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ถึงแม้จะไม่ถึงระดับมาตรฐานของนางแบบ แต่ก็สูงสมส่วน ตรงไหนควรใหญ่ก็ใหญ่ควรเล็กก็เล็ก เป็นรูปร่างที่เรียกว่าไม่อ้วนไม่ผอม หุ่นกำลังดีของจริง กล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบตามมาตรฐาน
ดังนั้นไม่ว่าเธอจะสวมเสื้อผ้าสไตล์ไหน ก็เป็น ‘แบบ’ ได้เสมอ นับประสาอะไรกับชุดกระโปรงยาวของชาเนล
เฉินเฟยเอ๋อร์เป็นแฟนคลับตัวยงของชาเนล และเธอก็ยังเป็นหนึ่งในดาราพรีเซ็นเตอร์ของจีนให้กับแบรนด์ต่างประเทศนี้
ลู่เฉินยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าที่จนใจ “ดูดี คุณใส่อะไรก็เข้ากับคุณหมดครับ!”
เขาไม่มีทางเข้าใจความหลงใหลในเสื้อผ้าของผู้หญิงได้จริงๆ เฉินเฟยเอ๋อร์เนื่องจากเป็นดารา ดังนั้นจำเป็นต้องมีเสื้อผ้ามากมายเอาไว้เปลี่ยนก็พอเข้าใจได้ แต่พี่สาวลู่ซีมาอยู่เมืองหลวงครึ่งปีก็สะสมเสื้อผ้าใหม่เต็มตู้นั้นยากที่จะเข้าใจจริงๆ
คืนนี้ ลู่เฉินจัดงานเลี้ยงฉลองย้ายบ้านที่โรงแรมลี่จิง เฉินเฟยเอ๋อร์รีบรุดมาจากไห่จินกลับถึงเมืองหลวงในตอนพลบค่ำ ส่วนเสื้อผ้าที่เธอต้องสวมใส่มีคนนำมาส่งที่โรงแรมเมื่อตอนบ่าย ด้วยเหตุนี้จึงจองห้องไว้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นพิเศษ
ในบรรดาเสื้อผ้าที่ส่งมา แค่ชุดกระโปรงยาวก็มีถึงเจ็ดชุดแล้ว เมื่อครู่เธอเพิ่งลองไปสี่ชุดเท่านั้น!
ลู่เฉินยอมใจคุณผู้หญิงคนนี้จริงๆ “พวกเรารีบลงไปเถอะครับ ทุกคนมาถึงแล้ว”
“รีบร้อนทำไม!”
เฉินเฟยเอ๋อร์กลอกตาใส่เขาหนึ่งทีอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันใส่ชุดสวยๆ หน่อย ก็เพื่อหน้าตาของนายนะ”
ลู่เฉินโอบเธอจากด้านหลัง แล้วยิ้มเอ่ยว่า “คุณสวยมากแล้ว ถ้าสวยกว่านี้ไม่คิดจะให้คนอื่นสวยบ้างเหรอ ใส่ชุดนี้แหละ ผมว่าเหมาะสมมาก”
เฉินเฟยเอ๋อร์ถูกเอาใจจึงยิ้มพราย พลางเอ่ยว่า “เชื่อนายก็ได้ ไม่เสียแรงที่ฉันลำบากลำบนกลับมาจากไห่จิน”
ลู่เฉินจูบที่ลำคอของเธอหนึ่งที
ในความทรงจำของคนอื่นโดยเฉพาะพวกแฟนๆ เฉินเฟยเอ๋อร์เป็นสาวงามเพริศพริ้ง งดงามเฉิดฉายตลอดกาล ดุจดั่งเทพธิดาในโลกมนุษย์ เป็นซูเปอร์สตาร์ เป็นราชินีตัวแม่ที่ใครๆ ต่างก็อิจฉา
ลู่เฉินก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน แต่หลังจากที่ทั้งสองคนเป็นแฟนกัน เขาเพิ่งรู้ว่าเบื้องหลังความงดงามของเฉินเฟยเอ๋อร์ เก็บซ่อนความลำบากและความพยายามของเธอเอาไว้
ก็เหมือนกับลู่เฉินที่ออกกำลังกายฝึกศิลปะการต่อสู้ตอนเช้าทุกวัน เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ออกกำลังกายเล่นโยคะอยู่เสมอ ดังนั้นถึงรักษาหุ่นให้สวยสมบูรณ์แบบได้ถึงเพียงนี้ ด้านการบำรุงดูแลผิวพรรณก็ยิ่งยอมเสียเงินและเวลา ดังนั้นเธอไม่ต้องแต่งหน้าก็ยังสวยงามน่าประทับใจเช่นเคย
และเธอก็ไม่เคยทำงานสะเพร่ามาก่อน งานในชีวิตประจำวันอย่างออกรายการโชว์ งานคอนเสิร์ต งานพรีเซ็นเตอร์ การสัมภาษณ์ของสื่อ เป็นต้น เธอก็จัดตารางจนเต็มแน่น
แม้ว่างานของเธอจะยุ่งมาก แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่เคยละเลยความรักระหว่างเธอกับลู่เฉิน อย่างเช่นวันนี้ตอนเช้าเธอเดินทางไปไห่จินเพื่อโปรโมตอัลบั้มใหม่ ตอนเย็นก็รีบกลับมาร่วมงานเลี้ยงฉลองย้ายบ้านของสตูดิโอลู่เฉิน
มาในฐานะเจ้าของงานฝ่ายหญิง!
อันที่จริง หากปราศจากหัวใจที่เข้มแข็งและจิตใจที่ยืนหยัด คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถแบกรับการทำงานที่หนักหนาและเข้มข้นเช่นนี้ได้ แต่เฉินเฟยเอ๋อร์กลับสนุกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มุมานะเพื่อผลักดันอาชีพของตัวเองให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
ความจริงเธอไม่ขาดอะไรทั้งนั้น ที่เธอทวีการต่อสู้ดิ้นรนเช่นนี้ล้วนมาจากความเชื่อมั่นและศรัทธา
และด้วยความดึงดันของจิตศรัทธานี้ เธอจึงมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร ดึงดูดลู่เฉินอย่างลึกซึ้ง
ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ ลู่เฉินจึงพูดกระซิบข้างหูเธอเบาๆ “ผมรักคุณ”
แค่คำว่า ‘ผมรักคุณ’ ที่เรียบง่าย กลับทำให้ใบหน้าของเฉินเฟยเอ๋อร์แดงระเรื่อขึ้นมา เธอหมุนตัวเข้าไปซบในอ้อมอกของลู่เฉิน เขย่งปลายเท้าส่งจูบที่หอมหวาน
พอจูบก็เคลิบเคลิ้มหลงใหล ไฟรักลุกไหม้อย่างไร้สุ้มเสียง
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์พลันดังขึ้นภายในห้องทั้งสองคนจึงตกใจตื่นขึ้นมา
ริมฝีปากที่นัวเนียกันอยู่นานแยกออกจากกัน เฉินเฟยเอ๋อร์แลบลิ้นออกมาอย่างร้อนตัว แล้วเอ่ยว่า “ต้องโทรมาเร่งแน่นอน…”
ลู่เฉินหัวเราะฮิๆ ปล่อยเธอแล้วกดรับสาย
คนที่โทรมาคือลู่ซีนั่นเอง ตำหนิเขาที่งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว แต่ทำไมยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของงาน จะทิ้งแขกไว้ในห้องจัดเลี้ยงแบบนั้นรึ
ลู่เฉินไม่ตอบโต้ ได้แต่ขานรับ เฉินเฟยเอ๋อร์อาศัยจังหวะนี้แต่งหน้าและทาลิปสติกอีกครั้ง
เธอยิ้มหน้าบานพลางคล้องแขนของลู่เฉิน “พวกเรารีบลงไปกันเถอะ”
ลงลิฟต์มาถึงห้องจัดเลี้ยง ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินถึงประตู จู่ๆ ก็มีหนุ่มสวมเสื้อกั๊กแขนสั้นโผล่พรวดออกมาจากประตูบันไดหนีไฟ ถือกล้องเอสแอลอาร์อยู่ในมือกดถ่ายรูป ‘แชะๆ’ ไปที่คนทั้งสองติดต่อกันหลายรูป
ทั้งสองคนตกใจ ลู่เฉินป้องกันเฉินเฟยเอ๋อร์ให้ไปอยู่ด้านหลังโดยสัญชาตญาณ
ครั้นพบว่าอีกฝ่ายคือปาปารัสซี่ ลู่เฉินพูดไม่ออกจริงๆ และไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มที่รู้ข่าวไวคนนี้มานั่งรออยู่ตรงนี้นานเท่าใดแล้ว แถมยังไม่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมจับได้อีกต่างหาก
ตอนกลางวันย้ายบ้านและจัดงานเลี้ยงฉลองตอนเย็น สตูดิโอลู่เฉินไม่ได้เชิญนักข่าวและสื่อใดๆ เนื่องจากลู่เฉินในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น หรือหากจะพูดแบบไม่เกรงใจก็คือไม่จำเป็นต้องอาศัยข่าวเล็กๆ แบบนี้มาสร้างกระแสโปรโมตด้วยซ้ำ
แต่ก็ยังมีนักข่าวที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
“คุณทำอะไรน่ะ”
ทว่าหน้าประตูห้องจัดเลี้ยงก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงโกรธจัด รีบพุ่งเข้ามาจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้เป็นบทเรียน
ลู่เฉินรีบห้ามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทันที แล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรครับ ช่างเถอะ”
ถ้าหากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่อยปาปารัสซี่ขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ข่าวบันเทิงวันพรุ่งนี้อาจจะมีข่าวด้านลบของเขาออกมา และเย็นนี้ก็คืองานเลี้ยงฉลองย้ายบ้าน จึงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
เขาหันไปพยักหน้าให้ปาปารัสซี่ จากนั้นก็พาเฉินเฟยเอ๋อร์เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงด้วยกัน
แขกเหรื่อมาพร้อมกันหมดแล้ว
เนื่องจากเชิญแขกมาเยอะ และเป็นบุคคลในวงการเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นงานเลี้ยงเย็นนี้จึงจัดในรูปแบบบุฟเฟ่ต์สไตล์ตะวันตก เพื่อความเป็นกันเองและความสะดวกในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ตอนที่ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ปรากฏตัว สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ตัวของคนทั้งสอง
จะว่าไปแล้ว หลังจากที่ทั้งสองคนประกาศว่าเป็นแฟนกันต่อสาธารณชน นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาปรากฏตัวในที่สาธารณะในฐานะคู่รัก
เฉินเฟยเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย แต่ยังคงคล้องแขนของลู่เฉินอย่างเปิดเผย และเข้าไปทักทายแขกเหรื่อด้วยกัน
หลังจากทักทายกันตามมารยาทแล้ว ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์จึงแยกกันครู่หนึ่ง เขาหยิบแก้วไวน์แดง จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวทีของงานเลี้ยง และสั่งให้พนักงานบริการเอาไมค์มาส่ง
พวกแขกเดินมารวมตัวกันโดยอัตโนมัติ
หลังจากได้ไมค์แล้ว ลู่เฉินจึงเอ่ยว่า “ขอบคุณผู้บริหารทุกท่าน เพื่อนทั้งหลายและเพื่อนในสายอาชีพเดียวกันที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ ขอบคุณพวกคุณที่สนับสนุนสตูดิโอลู่เฉิน อย่างอื่นผมคงไม่พูดแล้วนะครับ ขอให้ทุกคนกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญนะครับ!”
เขาชูแก้วไวน์ขึ้น “ขอบคุณครับ!”
กลุ่มผู้คนหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ทุกคนชูแก้วไวน์ขึ้นพร้อมกัน “ชนแก้ว!”
เดิมทีก็ไม่ใช่งานเลี้ยงฉลองที่สำคัญอะไร เป็นแค่คนรู้จักที่ไปมาหาสู่กันล้วนๆ ดังนั้นบรรยากาศในงานเลี้ยงจึงผ่อนคลายมาก ลู่เฉินพูดจบก็ลงจากเวที จากนั้นวงดนตรีของทางโรงแรมก็เริ่มบรรเลงเพลงอย่างมีชีวิตชีวา
“ลู่เฉิน!”
ผู้ชายและผู้หญิงสองสามคนเดินเข้ามา ซึ่งก็คือหลี่มู่ไป๋ หลี่มู่ซือ เฉินเชี่ยน และซูไต้หว่าน!
และคนที่กำลังทักทายลู่เฉินก็คือซูไต้หว่าน
ลู่เฉินดีใจมาก “พี่สะใภ้ พี่มาได้ยังไงครับ”
ลู่เฉินส่งบัตรเชิญไปให้หลี่มู่ไป๋กับหลี่มู่ซือ คนหลังเป็นตัวแทนของบริษัทระดมทุนมู่เฉินมาส่งกระเช้าดอกไม้ใบใหญ่ให้แก่สตูดิโอลู่เฉิน เดิมทีเขาคิดว่าเย็นนี้จะมีเพียงหลี่มู่ไป๋เท่านั้นที่มา
บริษัทระดมทุนมู่เฉินในตอนนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว เนื่องจากอาศัยสายสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลหลี่และการระดมทุนรูปแบบใหม่ เว็บไซต์จึงเติบโตขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง มีโครงการระดมทุนออนไลน์ใหม่ๆ มากมายทุกวัน และได้ผลกำไรล่วงหน้าไปแล้ว
การประเมินมูลค่าของเว็บไซต์ระดมทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนสิบเท่า อีกทั้งบริษัทที่ต่างประเทศและเว็บไซต์เวอร์ชันต่างประเทศก็ลงทุนดำเนินการแล้ว หลี่มู่ซือกำลังเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์สำหรับวิสาหกิจที่เติบโตในปีหน้าด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ ความรวดเร็วของการเติบโตเป็นที่สะดุดตาแก่คนในแวดวงธุรกิจ
หลี่มู่ซือผูกขาดอำนาจบริหารบริษัทเอาไว้ บวกกับการเปิดบริษัทสาขาอเมริกา ดังนั้นเธอจึงบินข้ามประเทศไปมาบ่อยครั้ง การปรากฏตัวของเธอที่นี่ในคืนนี้ ลู่เฉินรู้สึกประหลาดใจมาก
“ขอแสดงความยินดีกับนายที่ย้ายสตูดิโอใหม่นะ…” ซูไต้หว่านยิ้มและเอ่ยพูดไปพลาง “ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง!”
ลู่เฉินยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณครับ พี่มู่หรงล่ะครับ”
หลี่มู่ไป๋ชิงตอบก่อน “พี่ชายของฉันอยู่อเมริกาน่ะ มีธุรกิจร่วมลงทุนที่วอลล์สตรีทอยากลงทุนในเว็บไซต์ระดมทุน”
ตอนแรก หลี่มู่หรงเป็นตัวแทนของตระกูลหลี่ซื้อกิจการเว็บไซต์ระดมทุนต่อจากลู่เฉิน จากนั้นก็ให้หลี่มู่ซือที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศประลองฝีมือตัวเองก่อน แล้วก็หางานให้หลี่มู่ไป๋ทำ เพื่อไม่ให้เขาว่างงานทั้งวัน
แต่หลี่มู่หรงกับหลี่มู่ซือประเมินศักยภาพของการระดมทุนรูปแบบใหม่นี้ต่ำไป โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ความคิดสร้างสรรค์ทั้งในประเทศจีน ยุโรป และอเมริกาแล้ว กลุ่มตลาดทุนก็ได้กลิ่นผลประโยชน์ที่อยู่ในนั้นไวมาก
หลังจากประสบความสำเร็จในโครงการระดมทุนหลายรายการ กองทุนที่ต้องการลงทุนในบริษัทระดมทุนมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นกะทันหัน เป็นผลทำให้การประเมินมูลค่าของเว็บไซต์ระดมทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้หลี่มู่หรงจึงละเลยไม่ได้อีกต่อไป
พี่ใหญ่ตระกูลหลี่ตอนนี้อยู่ที่อเมริกากำลังช่วยดูแลจัดการเว็บไซต์ระดมทุนของบริษัทสาขาต่างประเทศ
เงินลงทุนก้อนนี้ของตระกูลหลี่ได้กำไรเหนาะๆ อย่างไม่ต้องสงสัย และในฐานะผู้คิดค้นเว็บไซต์ระดมทุน ลู่เฉินขายหุ้นส่วนใหญ่ออกไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบอะไรมากมาย
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนคิดเว็บไซต์ระดมทุนขึ้นมา แต่ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนและการบริหารของตระกูลหลี่ ก็ไม่มีทางสำเร็จเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างแน่นอน
ความเป็นไปได้ที่ใหญ่มากที่สุดคือ แม้แต่การขอคุ้มครองลิขสิทธิ์ในตอนแรก เขาก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ และความคิดสร้างสรรค์ก็ถูกคนลอกเลียนแบบอย่างเหนือกว่า สุดท้ายทุ่มเงินลงไปแต่ก็ไม่ได้คืนมามากนัก และยังทำให้ธุรกิจหลักต้องล่าช้า
ตอนนี้มูลค่าของเว็บไซต์ระดมทุนยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะลู่เฉินยังคงรักษาหุ้นเดิมอยู่สิบเปอร์เซ็นต์ หากเข้าตลาดหุ้นได้สำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐีในทันที…แล้วยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก
เกิดเป็นคนต้องรู้จักพอ และข้อห้ามที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดคือความโลภไม่รู้จักพอ ถ้าหากเขาไม่พอใจกับสิ่งนี้นอกจากจะแตกความสามัคคีกับคนของตระกูลหลี่แล้ว ยังจะมีข้อดีอะไรอีกเล่า
แบบนั้นมันโง่เกินไปแล้ว!
ระหว่างที่พูดอยู่ หลี่มู่ซือก็ยื่นซองเอกสารที่ห่ออย่างสวยงามออกมาซองหนึ่ง “นี่คือของขวัญที่พวกเรามอบให้นาย”
ของขวัญ
ลู่เฉินตกตะลึง และยื่นมือไปรับด้วยสัญชาตญาณ “ขอบคุณครับ”
หลี่มู่ไป๋ก็ส่งสายตาให้เขา “เปิดดูสิ”
ลู่เฉินรู้ว่าจะต้องเป็นของขวัญที่พิเศษมากชิ้นหนึ่งแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่เกรงใจแกะออกทันที
เขาพบว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในซองเอกสาร คือเอกสารหนึ่งฉบับและใบรับรองอีกสองใบ
…………………………………………………………………………