Perfect Superstar - ตอนที่ 365 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ตอนที่ 365 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
อุตสาหกรรมบันเทิงในประเทศจีนได้รับการพัฒนาถึงขีดสุดเมื่อยี่สิบปีก่อน ส่วนแบ่งของตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้อิทธิพลของศิลปินดาราในหมู่ประชาชนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออินเทอร์เน็ตกำเนิดขึ้น การส่งข้อมูลมีความเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก ไซเบอร์สเปซอย่างเช่นบล็อก ฟอรัม เป็นต้น ล้วนกลายเป็นจุดรวบรวมข้อมูล คนธรรมดาทั่วไปจึงสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการบันเทิงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ศิลปินดาราจำนวนมากและบริษัทเอเจนซี่บันเทิงต่างๆ ได้ใช้ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างกระแสขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่ใช้สนามรบของวงการบันเทิงที่สำคัญแห่งนี้โจมตีและใส่ร้ายป้ายสีคู่ต่อสู้
ลู่เฉินประสบเหตุที่เกาะเชจูเกาหลีใต้ สามารถสร้างผลกระทบขนาดใหญ่ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้ เบื้องหลังจะต้องมีคนคอยขับเคลื่อนอย่างไม่ต้องสงสัย!
วงการบันเทิงทุกวันนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ร้อยพ่อพันแม่ การแข่งขันทางธุรกิจจึงดุเดือดผิดปกตินักแสดง ศิลปิน นักร้องสามารถดังเพียงชั่วข้ามคืน และก็อาจจะหายไปอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน
ศิลปินจำนวนไม่น้อยหลังจากที่ดังแล้วก็ลืมตัวหลงระเริง เสพยา นอกใจ เมาแล้วขับ ทะเลาะวิวาท…สร้างผลกระทบที่เลวร้ายแก่สาธารณชน
แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศ ก็มีบทลงโทษสำหรับศิลปินดาราที่ทำผิดกฎหมายเช่นกัน
นั่นก็คือถูกแบน!
สำหรับศิลปินคนหนึ่ง ผลเสียของการถูกแบนมีความรุนแรงมาก เมื่อเจอการลงโทษเช่นนี้ ก็จะไม่สามารถถ่ายภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ไม่สามารถเล่นคอนเสิร์ต ไม่สามารถรับงานโฆษณาเป็นพรีเซ็นเตอร์และออกรายการได้เส้นทางดาราถึงแม้จะไม่ได้พังทั้งหมด แต่ถ้าอยากกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้งก็ยากมากจริงๆ
โดยเฉพาะดาราไอดอลรุ่นใหม่ แม้ว่าช่วงที่ถูกแบนจะเพียงหนึ่งปีกว่าเท่านั้น แต่ความนิยมได้ถูกโจมตีทำลายล้างไปหมดแล้ว เพราะในวงการมีคนที่รอเสียบตำแหน่งอยู่มากมาย
ด้วยเหตุนี้ การปั่นกระแสความคิดเห็นของประชาชนเพื่อเล่นงานคู่แข่งจึงเป็นเรื่องที่ปกติมากบนอินเทอร์เน็ต เดิมทีไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เมื่อผ่านการสร้างกระแสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงขั้นใส่ร้ายป้ายสีอย่างชั่วร้าย ก็มักจะทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกรังเกียจอย่างหนัก
เหมือนอย่างลู่เฉินครั้งนี้ที่ถูกตำรวจเกาหลีคุมตัวไป ในขณะที่ความจริงยังไม่กระจ่างแจ้ง บนอินเทอร์เน็ตก็เกิดการแสดงความเห็นโจมตีขึ้นมาเต็มไปหมด เจตนาไม่ต้องพูดก็รู้
อย่างแรกคือเรื่องที่ลู่เฉินทำผิดไม่อาจปิดบังได้แน่นอน ถ้าหากคลื่นความคิดเห็นของประชาชนโหมขึ้นมา เช่นนั้นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียอยากจะประชาสัมพันธ์เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องราวก็ยากยิ่งขึ้นและใช้ต้นทุนที่สูงมาก สุดท้ายแล้วถ้าลู่เฉินต้องถูกแบนจริงๆ คาดว่าหลายคนคงแสยะยิ้มกันถ้วนหน้า
ลู่เฉินเพิ่งเดบิวต์เพียงหนึ่งปีเท่านั้น ความรวดเร็วในการเจริญเติบโตของเขาทำให้คนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ถึงแม้เขาจะระมัดระวังเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ในหลายๆ ด้าน มีสายสัมพันธ์ที่มั่นคงระดับหนึ่งในวงการ แต่ในเวลาเดียวกันก็ก่อให้เกิดคู่แข่งขึ้นมาไม่น้อย
ไม่มีศิลปินดาราคนไหนสามารถเอาใจใครได้ทุกคน โดยเฉพาะคนอย่างเขาที่เปิดสตูดิโอขึ้นมาด้วยตัวเอง ขณะที่เพลิดเพลินกับความอิสระของตัวเองนั้น ก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่มากขึ้น
หากเขาถูกแบน อย่างนั้นละครเรื่องใหม่ที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็จะเผชิญหน้ากับวิกฤตอย่างหนัก ต่อให้เปลี่ยนพระเอกกะทันหัน ก็ไม่อาจลบล้างผลกระทบด้านลบที่รุนแรงได้
เช่นนั้นละครเรื่องใหม่ของบรรดาคู่แข่งที่จะออกอากาศในช่วงฤดูร้อน จะไม่ดีใจได้อย่างไร
พวกเขาไม่ถือสาที่จะช่วยกระตุ้นอย่างลับๆ แน่นอน
ดังนั้นแม้ว่าข่าวใหม่จะออกมาทำให้ทิศทางของการแสดงความคิดเห็นเกิดความเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีบางคนที่โจมตีลู่เฉินอย่างเต็มที่ อยากจะเหยียบเขาลงหลุมให้ได้
ในบล็อกล่างฉาวมีบัญชีวีไอพีใหญ่ที่ใช้ชื่อว่า ‘สรรพสิ่งล้วนมีสามอย่าง’ โพสต์บล็อกติดต่อกันสามโพสต์ มีพฤติกรรมโจมตีลู่เฉินอย่างหนักหน่วง คิดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะดำเนินการแบนลู่เฉิน
“วงการบันเทิงต้องทำอะไรสักอย่าง สำหรับดาราที่มีพฤติกรรมเลวร้ายแบบนี้ควรจะได้รับการลงโทษที่สาสม!”
“สังคมต้องการพลังบวก ในฐานะดาราที่เป็นบุคคลสาธารณะควรจะทำตัวเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ทำตรงกันข้าม!”
“การให้อภัยและเข้าข้างของพวกแฟนคลับ คือต้นเหตุให้ดาราดังทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”
“ต่อยคนก็ต่อยคน ไม่ว่าจะเป็นคนจีน คนญี่ปุ่น หรือคนเกาหลี ก็เป็นการกระทำที่ไม่ควรให้อภัยทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดในต่างประเทศ หน้าตาที่เสียไปคือหน้าตาของคนจีนอย่างพวกเรา!”
“ผมแนะนำว่า…”
ในบล็อกนั้น ‘สรรพสิ่งล้วนมีสามอย่าง’ แปลงร่างเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมและกฎหมาย สวมกระทงใบใหญ่ให้ลู่เฉินอย่างอดใจรอไม่ไหว พูดฉอดๆ แสดงความชอบธรรม
บัญชีวีไอพีนี้มีแฟนคลับในบล็อกล่างฉาวมากกว่าแปดล้านคน โพสต์ของเขาเน้นวิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นหลัก แต่งตั้งตัวเองเป็นนักวิจารณ์สังคม โพสต์บทความที่มอบพลังบวกให้แก่ผู้คนอยู่เสมอ จึงมีผู้สนับสนุนกลุ่มหนึ่งในอินเทอร์เน็ต
โพสต์ของเขาได้รับการสนับสนุนและมีคนเห็นด้วยไม่น้อย ถูกแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก ผู้ที่แชร์นั้นก็รวมถึงบัญชีวีไอพีในบล็อกอีกมากมาย ฉะนั้นจึงสร้างโมเมนตัมเบี่ยงเบนได้ไม่น้อย
แต่ชาวเน็ตอีกจำนวนมากและแฟนคลับของลู่เฉินกลับไม่ชอบบทวิจารณ์ใส่ความของเขาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหลังจากที่เผยแพร่ว่าลู่เฉินต่อยคนญี่ปุ่นไปแล้ว ดังนั้นจึงมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นโจมตีในบล็อกของ‘สรรพสิ่งล้วนมีสามอย่าง’ มากขึ้นเรื่อยๆ
และก็ยังมีชาวเน็ตอีกมากมายที่เข้าไปในบล็อกของลู่เฉิน เพื่อสนับสนุนเขา
ชาวเน็ตพวกนี้ส่วนใหญ่เดิมทีไม่ใช่แฟนคลับของลู่เฉิน ทว่าตอนนี้พวกเขากลายเป็นแฟนคลับของลู่เฉินไปแล้ว
ดังนั้นบนอินเทอร์เน็ตจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือผู้สนับสนุนลู่กับผู้โจมตีลู่ ในบล็อก ฟอรัม และหน้าเว็บต่างๆ มีการทะเลาะและวิจารณ์โต้เถียงกันอย่างดุเดือด เกิดความวุ่นวายโกลาหล
ขณะที่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างฮือฮาในประเทศ ลู่เฉินยังอยู่ที่สถานีตำรวจในเขตการท่องเที่ยวจุดชมวิวทะเลที่เกาะเชจูของเกาหลีอยู่ เพื่อรับการสอบถามจากทางตำรวจเกาหลี
เนื่องจากจำนวนคนที่ร่วมต่อยตีกันมีเยอะมาก และยังเกี่ยวเนื่องกับคนสองประเทศ ทางตำรวจเกาหลีจึงจัดการเรื่องนี้อย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ทนายที่ทางเอสพีจีเชิญมารีบรุดมาถึงสถานีตำรวจ เพื่อช่วยตอบคำถามของทางตำรวจเป็นเพื่อนกับลู่เฉิน
ลู่เฉินไม่รู้สึกละอายใจในสิ่งที่ทำลงไป และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังอีกหนึ่งรอบ
เนื่องจากมีทนายเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นเวลาจึงล่าช้าออกไปมาก
และที่น่าสนใจคือ ตอนที่ลู่เฉินบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบเรื่องนี้ว่า เขาคนเดียวจัดการบอดี้การ์ดของอีกฝ่ายถึงหกคน ตำรวจเกาหลีคนนั้นแสดงสีหน้าที่มีความหลากหลาย…นายโม้เก่งจริงๆ!
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อเลย และยังถามซ้ำอยู่หลายรอบ
อันที่จริงลู่เฉินสามารถจัดการบอดี้การ์ดที่ถูกฝึกมาอย่างดีด้วยพลังของตัวเองคนเดียวได้อย่างสบายนั้น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นซูเปอร์แมน แต่เขาใช้วิธีที่ชาญฉลาด ใช้ความเร็ว กำลัง และทักษะต่างๆ ในการโจมตีต่างหาก
ถ้าหากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทั้งหกคนซึ่งๆ หน้า ลู่เฉินก็คงได้แต่หนีหัวซุกหัวซุน!
หลังจากการสอบถามสิ้นสุดลง เรื่องก็ยังไม่จบ
ภายใต้การควบคุมของตำรวจเกาหลี ทั้งสองฝ่ายนั่งลงในสถานีตำรวจเพื่อดำเนินการไกล่เกลี่ย
คนญี่ปุ่นก็มีล่ามเหมือนกัน และก็เชิญทนายมาด้วยอีกหนึ่งคน
ครั้งนี้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทที่จุดชมวิวทะเล ถึงแม้จำนวนผู้ที่เกี่ยวข้องจะมีไม่น้อย แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับไม่รุนแรงนัก คนที่บาดเจ็บเยอะที่สุดคือเจียงฟาง หน้าผากของเธอถูกกระแทก แต่ก็เป็นแค่แผลภายนอกเท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆ ที่ถูกต่อยหน้าฟกช้ำดำเขียวก็มีไม่กี่คน มากสุดก็เป็นแผลเล็กน้อย ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ตำรวจเกาหลีจึงแสดงท่าทีให้ไกล่เกลี่ยประนีประนอมกัน หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะให้อภัยซึ่งกันและกัน
ไม่อย่างนั้นเรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่ และสำหรับพวกเขาก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเช่นกัน
ทว่าคนญี่ปุ่นได้เสนอเงื่อนไขการปรองดอง ที่ทำให้ลู่เฉินไม่สามารถตกลงได้
คนญี่ปุ่นไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายลงมือก่อน แต่เป็นฝ่ายลู่เฉินที่จงใจหาเรื่อง เจียงฟางได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ เธอเจตนาเข้ามาชนบอดี้การ์ดก่อน ดังนั้นถึงถูกห้ามปราม
คนญี่ปุ่นขอให้ลู่เฉินเป็นฝ่ายขอโทษ และเป็นผู้รับผิดชอบหลักสำหรับเหตุการณ์นี้!
วิธีการพูดจากผิดเป็นถูกแบบนี้ทำให้ลู่เฉินโกรธมาก
“ผมไม่มีทางยอมรับเงื่อนไขบ้าบอไร้สาระแบบนี้เด็ดขาด ผมขอพูดอีกครั้ง ความรับผิดชอบไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายของพวกเรา!”
เขาโต้กลับอย่างรวดเร็ว “ผมขอให้พวกคุณขอโทษ และชดใช้ค่าเสียหายที่ทำร้ายทุกคนทั้งหมด!”
“ไม่อย่างนั้นก็เจอกันที่ศาล!”
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ลู่เฉินไม่กลัวการฟ้องคดี เขายอมให้ตัวเองยุ่งยากถึงขนาดยอมเสียหาย และก็ยืนกรานที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมกลับคืนมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นในใจของเขาคงรู้สึกไม่ดี!
ล่ามแปลคำตอบของลู่เฉินอีกหนึ่งรอบ
คนญี่ปุ่นเหล่านั้นได้ฟังแล้วต่างเอะอะโวยวายเสียงดัง มีคนหนึ่งลุกขึ้นพรวดตะโกนเสียงดังใส่ลู่เฉิน สีหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกับลู่เฉินเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อของเขา
ล่ามบอกลู่เฉินว่า “เขาบอกว่าอยากจะสู้กับคุณตัวต่อตัวครับ!”
ลู่เฉินจำอีกฝ่ายได้เขาเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดชายชุดสูทที่ถูกลู่เฉินซัดจนล้ม ดังนั้นจึงแค่นหัวเราะพูดอย่างดูถูก “อยากจะสู้กับผมเรอะ เขาจ่ายค่าตัวของผมไหวไหม”
ตอนนี้ค่าออกงานของลู่เฉินเพิ่มเป็นห้าแสนถึงเจ็ดแสนหยวน ค่าพรีเซ็นเตอร์โฆษณาก็เกือบห้าล้าน ส่วนค่าตัวสู้กันตัวต่อตัว ยากที่จะพูดได้จริงๆ…ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเพิ่มถึงสิบเท่ากระมัง
บอดี้การ์ดญี่ปุ่นคนนั้นเดาว่าเป็นเงินจำนวนน้อย จึงคิดเอาจริงเอาจัง “นายอยากได้ค่าตัวเท่าไร”
เขาใช้สายตาดูถูกมองไปที่ลู่เฉิน
จากนั้นลู่เฉินไม่ต้องตอบเอง คนของเอสพีจีช่วยตอบแทนเขาโดยตรง “ถ้าอยากจะให้คุณลู่เฉินสู้กับคุณ บริษัทของคุณจะต้องเตรียมเงินหนึ่งร้อยล้านเยนครับ!”
หนึ่งร้อยล้านเยน!
สีหน้าของอีกฝ่ายแดงขึ้นทันที เขาไม่เชื่อคำพูดของเอสพีจีเลยด้วยซ้ำ คิดว่าเป็นการดูหมิ่น
คนของเอสพีจีหัวเราะเยาะเย็นชา “คุณลู่เฉินเป็นดาราที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน ละครโทรทัศน์ที่เขาเป็นคนเขียนบทและแสดงนำนั้น ไม่เพียงแต่สร้างสถิติเรตติ้งในประเทศจีน แต่ยังประสบความสำเร็จมากที่ประเทศเกาหลีของพวกเราอีกด้วย ถ้าจ่ายหนึ่งร้อยล้านเยนไม่ได้ คุณจะมีสิทธิ์อะไรให้เขาลงมือ”
คนจีนไม่ชอบคนญี่ปุ่น คนเกาหลีก็ไม่ชอบคนญี่ปุ่นเหมือนกัน ดังนั้นโอกาสแบบนี้ ตัวแทนของเอสพีจีจึงไม่ถือสาที่จะพูดจาเย้ยหยันอีกฝ่ายอย่างรุนแรงสักสองสามประโยค ให้พวกเขาได้รู้ว่าตัวเองน่าตลกแค่ไหน!
หนึ่งร้อยล้านเยนเท่ากับหกล้านห้าแสนหยวน อยากจะให้ลู่เฉินสู้ตัวต่อตัวถือว่าไม่เยอะเลย
คนญี่ปุ่นแม้แต่ฝันก็คาดไม่ถึงว่า ลู่เฉินจะเป็นศิลปินดาราคนหนึ่ง อยากจะตอบโต้แต่ก็พูดไม่ออก ความหยิ่งผยองถูกกดทับลงไปทันที
และในตอนนี้ ตำรวจเกาหลีคนหนึ่งก็เข้ามาในห้องประชุม พร้อมกับนำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งมาด้วย
เขาพูดกับหัวหน้าตำรวจที่รับผิดชอบไกล่เกลี่ยเบาๆ แล้วจึงเปิดโน้ตบุ๊กให้อีกฝ่ายดู
เจ้าหน้าที่ตำรวจดูอยู่นานสี่ห้านาทีเต็ม จากนั้นเขาจึงหันโน้ตบุ๊กเครื่องนี้แล้วผลักไปอยู่ตรงหน้าทนายของคนญี่ปุ่น เพื่อให้คนหลังได้ดูคลิปวิดีโออันหนึ่ง
เมื่อดูคลิปจบแล้ว คนญี่ปุ่นพวกนั้นหน้าหงอยไปเลย!
…………………………………………………………………………