Perfect Superstar - ตอนที่ 429 รุ่นน้องของซูจิ้ง
ตอนที่ 429 รุ่นน้องของซูจิ้ง
ซูจิ้งเป็นผู้จัดงานกาล่าดินเนอร์การกุศล แน่นอนว่าต้องเป็นตัวเอกของงาน
ลู่เฉินผู้ซึ่งเป็นแขกย่อมต้องเป็นเพียงตัวประกอบ ตัวเอกไม่อาจอยู่ดูแลตัวประกอบได้ตลอดเวลา เธอยังมีแขกคนอื่นที่ต้องต้อนรับขับสู้ ดังนั้นหลังจากพาลู่เฉินเดินทั่่วทั้งงานแล้ว จึงต้องขอโทษและ ‘ขอตัว’ ออกมาก่อน
ลู่เฉินทั้งเข้าใจและรู้สึกขอบคุณ คืนนี้เขาได้รับมามากพอแล้ว
“คุณกินอะไรสักหน่อยเถอะ…”
ลู่เฉินบอกกับผู้ช่วยของเขา “ไม่ต้องสนใจผม กินให้อิ่มก่อนค่อยว่ากัน”
หลีเจินยังรู้สึกผิด กล่าวคำขอโทษว่า “บอสคะ ครั้งหน้าถ้ามีคำเชิญแบบนี้อีก ฉันจะระวังให้มากขึ้น คุณวางใจได้เลยค่ะ”
ประโยคเหล่านี้เก็บอยู่ในใจเธอมานาน ตอนนี้มีโอกาสที่จะได้พูดออกไปแล้ว
หลีเจินรักงานตอนนี้มาก เจ้านายทั้งหนุ่มแน่น หล่อเหลา และใจป้ำ ค่าตอบแทนที่ทางสตูดิโอให้ก็ไม่เลว
หากเพราะความผิดพลาดของเธอทำให้ลู่เฉินเสียหน้า เธอคงไม่มีหน้าอยู่ทำงานต่อ
ลู่เฉินหัวเราะ “ครั้งนี้ไม่โทษคุณหรอก คุณรีบไปกินเถอะ ไม่อย่างนั้นของอร่อยจะถูกคนอื่นแย่งไปหมดนะ!”
งานกาล่าดินเนอร์การกุศลคืนนี้เลี้ยงอาหารบุฟเฟ่ต์ บนโต๊ะยาวที่ปูด้วยผ้าขาวสะอาดตามีอาหารฝรั่งและของว่างวางอยู่เรียงราย อาหารมีระดับมากมาย
แขกที่มาร่วมงานไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นเรื่องที่ของอร่อยจะถูกแย่งไปหมดนั้น ลู่เฉินล้อเล่น และหยอกเย้าให้หลีเจินยิ้มออก เพื่อคลายปมความเครียดในใจของเธอลง
ส่วนตัวลู่เฉินเองหันไปสั่งสเต็กเนื้อวัวกับบริกร รับประทานร่วมกับไวน์แดงและขนมปัง เลือกที่นั่งในมุมหนึ่งเตรียมจัดการกับอาหารอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะ ขอถามหน่อยค่ะ…”
เขาเพิ่งจะหยิบส้อมและมีดขึ้นมา ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอย่างเหนียมอาย เธอเอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “คุณคืออาจารยลู่เฉินใช่ไหมคะ”
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีครีมเหลืองคนนี้สวยมาก อายุประมาณยี่สิบกว่าปี ดวงหน้าเรียว ดวงตากลมใหญ่ ขนตายาวเป็นแพสวย ผิวขาวผ่องแสดงถึงความอ่อนเยาว์ ยังมีต่างหูกลมสีเงินดูสะดุดตา
เมื่อทักมาอย่างสุภาพก็ต้องตอบกลับอย่างสุภาพ ลู่เฉินไม่คุ้นหน้าเธอ ลุกขึ้นยืนถามว่า “ผมลู่เฉินครับ คุณคือ?”
คำเรียกว่า ‘อาจารย์’ ไม่ใช่คำที่นิยมใช้ในเซียงเจียง ฟังแล้วคุ้นหูเป็นพิเศษ แม้เขาจะไม่รู้จักฝ่ายนั้น แต่ยังคงรักษามารยาทเอาไว้อย่างดี
หญิงสาวยิ้มแย้ม ยื่นมือออกไปให้ลู่เฉิน “เป็นคุณจริงๆ ด้วย ไม่คิดว่าจะได้เจอพระเอกละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ที่เซียงเจียง ฉันชื่อสวี่ฮุ่ยเป็นแฟนคลับของคุณ ดีใจที่ได้พบคุณค่ะ!”
“สวัสดีครับ”
ลู่เฉินจับมือกับเธอ ถามอย่างสงสัยว่า “คุณเคยดู ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ด้วยเหรอครับ”
ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ แม้จะออกอากาศในจีนแผ่นดินใหญ่ไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน แต่กระแสจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังมาไม่ถึงเซียงเจียงกับไต้หวันเลย
“ฉันดูมาสามรอบแล้วค่ะ!”
สวี่ฮุ่ยยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า “ดูรอบหนึ่งก็ร้องไห้รอบหนึ่ง คุณกับเฉินเฟยเอ๋อร์แสดงได้ดีมากเลยค่ะ ละครเรื่องนี้ซาบซึ้งสะเทือนใจจริงๆ ฉันดูทางออนไลน์ อยากให้นำมาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นด้วย”
“ออกอากาศทางสถานีท้องถิ่น น่าจะเร็วๆ นี้ครับ”
ลู่เฉินไม่แน่ใจนัก เพราะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์และการออกอากาศ ลู่ซีเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด
สวี่ฮุ่ยถามว่า “อาจารย์ลู่เฉินคะ ขอถามหน่อยได้ไหมคะ คุณมาเที่ยวที่เซียงเจียงหรือเตรียมจะมาขยายธุรกิจคะ”
เธอเสริมว่า “ฉันอยากจะเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ มีหลายเรื่องที่อยากจะขอคำชี้แนะจากคุณค่ะ”
ท่าทีของสวี่ฮุ่ยคนนี้ดูซื่อตรง แต่ลู่เฉินไม่รู้ที่มาที่ไปของเธอก็ยังไม่ควรรับปากอะไรไป ได้แต่ยิ้มและตอบว่า “ไม่ต้องถึงขนาดเลี้ยงข้าวหรอกครับ ผมให้นามบัตรคุณไว้แล้วกันครับ”
เขายื่นนามบัตรใบหนึ่งให้เธอ
สวี่ฮุ่ยกวาดตาอ่านอย่างละเอียด ก่อนจะพูดอย่างดีใจว่า “สตูดิโอลู่เฉินฟิล์มแอนด์ทีวีเหรอคะ? อ๊า คุณจะมาขยายธุรกิจในเซียงเจียงจริงๆ ด้วย ดีจังเลยค่ะ!”
ลู่เฉินถาม “ผมยังไม่รู้เลยครับว่าคุณคือ?”
“โอ๊ย!”
สวีฮุ่ยแลบลิ้น หยิบนามบัตรออกมาให้เขาอย่างเก้ๆ กังๆ “ฉันเป็นศิลปินคนหนึ่งเหมือนกันค่ะ ฉันเป็นรุ่นน้องของพี่ซูจิ้ง ยังไงก็ขอให้อาจารย์ลู่เฉินช่วยชี้แนะด้วยค่ะ!”
หาได้ยากที่ได้พบคนแปลกหน้าที่รู้จักตัวเอง แล้วยังเป็นศิลปินอีกด้วย ลู่เฉินจึงพูดคุยกับสวี่ฮุ่ยนานหน่อย
ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน สวี่ฮุ่ยรู้จักละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ทุกแง่มุมราวกับเป็นหลังมือของตัวเอง เธอยังมีซีดีอัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ที่ซื้อมาจากอินเทอร์เน็ตด้วย
สวี่ฮุ่ยรู้มารยาทเป็นอย่างดี ไม่ได้รบกวนเวลาของลู่เฉินนานเกินไป เธอรีบขอตัวจากมา
เธอเพิ่งจากไป ซูจิ้งก็ปรากฏตัวขึ้น
นางเอกของงานกาล่าดินเนอร์การกุศลคืนนี้ใช้สายตาอันแหลมคมมองประเมินเบื้องหลังของสวี่ฮุ่ย ก่อนจะนั่งลงข้างลู่เฉิน แล้วพูดว่า “คุณดูเข้ากันได้ดีกับสวี่ฮุ่ยนะคะ?”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ก็พอได้ครับ เธอบอกว่าเป็นรุ่นน้องของคุณ?”
“เธอเป็นคนของตระกูลสวี่”
ซูจิ้งกล่าวต่อว่า “พวกเรามีอาจารย์ท่านเดียวกัน เซ็นสัญญาในบริษัทเดียวกัน มีคนบอกว่าเธอเหมือนฉันในสมัยก่อนมาก แต่เธอไม่โง่เหมือนฉันหรอก”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของซูจิ้งเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
แต่เธอก็กลบเกลื่อนมันอย่างรวดเร็ว พูดกับลู่เฉินด้วยท่าทางปกติว่า “รุ่นน้องของฉันคนนี้อย่าไปข้องเกี่ยวด้วยดีกว่า เธอมักมีข่าวกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ ดังนั้น…ฉันต้องระมัดระวังแทนเฟยเอ๋อร์ด้วย”
ลู่เฉินพยักหน้า “ขอบคุณนะครับที่เตือน”
เขาเข้าใจความหมายของซูจิ้ง
เขามาที่นี่เพื่อขยายธุรกิจของตัวเอง ไม่ได้อยากให้เกิดข่าวฉาวลงหน้าหนึ่งกับใคร เขาย่อมรู้ดีถึงความเหมาะสม
สวี่ฮุ่ยเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์เย้ายวน แต่ไม่ใช่สเปกของลู่เฉิน
ซูจิ้งหัวเราะ “คุณไม่รังเกียจที่ฉันวุ่นวายก็ดีแล้ว รีบกินเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวงานประมูลจะเริ่มขึ้นแล้ว”
ส่งซูจิ้งจากไปอีกครั้ง สเต็กเนื้อวัวที่ลู่เฉินสั่งไปเกือบจะเย็นแล้ว
เขาไม่ได้รังเกียจ โบกสะบัดส้อมและมีดจัดการอาหารจนเกลี้ยงกริบไม่เหลือให้เสียดายของ
หลังจากเติมท้องจนอิ่มแล้ว ก็ใกล้เวลาเต็มที
แขกเหรื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว บริกรยกชุดรับประทานอาหารออกไปจนหมด แล้วเปลี่ยนผ้าปูโต๊ะผืนใหม่ ทำนองเพลงรื่นหูุดังไปทั่วทั้งห้องจัดงาน
บนเวที ซูจิ้งค่อยๆ ก้าวย่างขึ้นไป
เธอแสดงความขอบคุณต่อแขกผู้มีเกียรติ จากนั้นแจกแจงความเป็นไปของมูลนิธิการกุศลของตัวเอง สุดท้ายประกาศให้เริ่มการประมูล
ลู่เฉินรับบัตรหมายเลขจากบริกร หมายเลขของเขาคือ 39
บนเวทีมีพิธีกรชายใส่สูทหางยาวสีดำขึ้นมาแทนที่
“ของประมูลชิ้นแรกในงานประมูลการกุศลของคุณซูจิ้งได้แก่…”
พิธีกรประมูลไม่ยอมเสียเวลาเข้าเรื่องโดยทันที เขาตะโกนเสียงดังว่า “เป็นของบริจาคจากท่านเซอร์ไช่หง เป็นนาฬิกาข้อมือโบราณ ราคาประมูลเริ่มต้นที่หนึ่งหมื่นหยวน!”
…………………………………………