Perfect Superstar - ตอนที่ 658 หนี้บุญคุณ
ตอนที่ 658 หนี้บุญคุณ
“ลู่เฉิน ไม่เจอกันตั้งนาน!”
“เมื่อไหร่นายจะออกอัลบั้มใหม่ ถึงตอนนั้นฉันต้องซื้อหลายแผ่นหน่อยเก็บไว้เป็นที่ระลึก”
“ถ้ามีเวลาว่าง มาที่บาร์เดย์ลิลลี่บ่อยๆ สิ ทุกคนคิดถึงนายมาก”
“ใช่แล้ว…”
ลูกค้าหลายคนทักทายลู่เฉินอย่างอบอุ่น พวกเขาเป็นลูกค้าเก่าแก่ประจำบาร์เดย์ลิลลี่ พูดได้ว่าได้เห็นลู่เฉินตั้งแต่เป็นเพียงนักร้องตัวเล็กๆ ในบาร์ จนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบันเทิง
ลู่เฉินยิ้มตอบทุกคน ไม่ปล่อยใครผ่านไปสักคนเดียว
ท่าทางคุ้นเคยเป็นกันเองของลู่เฉินทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ แม้จะประสบความสำเร็จแล้ว แต่ไม่วางท่าแบบดาราเลยสักนิด อีกทั้งเขาก็ยังไม่ลืมลูกค้าเก่าแก่ของบาร์เหล่านี้ ถึงขั้นเรียกชื่อของพวกเขาออกมาได้
ระหว่างที่คุยกัน นักร้องเสี่ยวจวงที่เพิ่งร้องเพลง ‘วัยเจิดจรัส’ จบเดินมาจากด้านหลังเวที
เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อแจ็กเก็ตที่มีเครื่องประดับเงิน ในมือยังถือกีตาร์ จากนั้นกล่าวทักทายลู่เฉินอย่างเคารพนบนอบ “อาจารย์ลู่เฉินสวัสดีครับ อาจารย์เฉินเฟยเอ๋อร์สวัสดีครับ พี่เจี้ยนหาว”
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ต่างยิ้ม ต่างคนต่างตอบรับว่า “สวัสดี”
เฉินเจี้ยนหาวพยักหน้า ยิ้มถาม “นายอยากจะเจอลู่เฉินไม่ใช่เหรอ วันนี้สมหวังแล้ว”
เสี่ยวจวงมองหน้าลู่เฉินพูดว่า “อาจารย์ลู่เฉินครับ ผมเป็นแฟนคลับของคุณ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมครับ”
สายตาของเขาลุกวาว มีแววตาของความเคารพยกย่องอยู่ด้วย
อาศัยแสงไฟจากบาร์ ลู่เฉินประเมินฝ่ายตรงข้ามอย่างจริงจัง ยิ่งอยู่ในระยะใกล้ยิ่งมองเห็นว่าเขายังเด็กมาก อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบปี ผิวขาวเครื่องหน้าคมคาย รูปลักษณ์ภายนอกดูดีใช้ได้ ยังเจาะติ่งหูด้านซ้าย เป็นแนว ‘หนุ่มน้อยหน้าตาดี’ ที่กำลังเป็นที่นิยมในวงการตอนนี้
ลู่เฉินไม่ปฏิเสธคำขอของเขาอยู่แล้ว “ได้สิ เซ็นตรงไหนล่ะ”
“เซ็นตรงนี้เลยครับ!”
เสี่ยวจวงเตรียมการมาก่อนแล้ว รีบยกกีตาร์กับปากกามาร์คเกอร์ขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ลู่เฉินหัวเราะ พลางยื่นมือออกไปรับกีตาร์จากเขา
กับเรื่องกีตาร์ ลู่เฉินมีความรู้อย่างลึกซึ้ง แม้กีตาร์ที่เขารักที่สุดจะเป็นกีตาร์ตัวที่น้องสาวให้ แต่เมื่อเข้าวงการมาแล้วก็ยังได้ซื้อกีตาร์ตัวอื่นเพิ่มอีกหลายตัว เมื่อกีตาร์ดีๆ ก็รู้สึกอดใจไม่ไหว
กีตาร์ของเสี่ยวจวงตัวนี้ไม่ใช่กีตาร์ที่มียี่ห้อ แต่เป็นกีตาร์ทำมือ สามารถมองเห็นชื่อตัวอักษรสลักสีทองลอดออกมาจากใต้โพรงเสียง ใช้วัสดุที่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาแล้ว เป็นกีตาร์มาตรฐานชั้นเยี่ยม
การทำกีตาร์แบบนี้ ปกติแล้วราคาเริ่มต้นที่หนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐ ที่คุณภาพดีมากนั้นยิ่งหลายหมื่น ถ้าเป็นผลงานของระดับปรมาจารย์แล้วละก็ราคาคือประเมินค่าไม่ได้
นักร้องทั่วไปในเมืองหลวงใช้เวลาบากบั่นอยู่หลายปี ก็ไม่มีทางซื้อกีตาร์ตัวนี้ไหว
เป็นดังที่เฉินเจี้ยนหาวกล่าวไว้ เสี่ยวจวงคนนี้เป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง
ลู่เฉินเอ่ยชม “กีตาร์ดีมากเลย…”
เสี่ยวจวงรีบตอบ “อาจารย์ลู่เฉิน ถ้าคุณชอบกีตาร์ตัวนี้ ผมยกให้คุณเลยครับ”
ลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์ และเฉินเจี้ยนหาวต่างหัวเราะ ลู่เฉินส่ายหัว “สุภาพบุรุษไม่แย่งชิงของรักจากคนอื่นหรอก อีกอย่างกีตาร์ตัวนี้แพงเกินไป ผมไม่กล้ารับ”
พูดจบ เขาใช้ปากกามาร์คเกอร์เซ็นชื่อตัวเองลงบนมุมด้านขวา ยังมีวันที่อีกด้วย
“ขอบคุณครับอาจารย์ลู่เฉิน…”
มอบกีตาร์ไม่สำเร็จ เสี่ยวจวงรู้สึกผิดหวังมาก เขารับกีตาร์คืนจากลู่เฉิน ถามต่อว่า “อีกเดี๋ยวคุณจะขึ้นแสดงไหมครับ”
ลู่เฉินยกแก้วเบียร์ขึ้นยิ้มแย้ม “คืนนี้ผมมานั่งเล่น คุณร้องอีกสักสองสามเพลงดีไหม”
เสี่ยวจวงต้องผิดหวังอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้ตอแย กลับตอบอย่างสุภาพว่า “ถ้างั้นผมขอตัวไปเตรียมตัวด้านหลังเวทีนะครับ ลาก่อนครับ อาจารย์ลู่เฉิน อาจารย์เฉินเฟยเอ๋อร์”
ลู่เฉินพยักหน้า “อืม”
มองดูเงาร่างของเสี่ยวจวงที่เดินจากไป เฉินเจี้ยนหาวถามลู่เฉินว่า “นายเห็นว่ายังไง”
ลู่เฉินหลุดขำ “พี่เจี้ยนหาว แบบนี้ไม่ใช่แนวพี่นะ!”
เขาไม่ได้โง่ มีหรือจะมองไม่ออกว่าเฉินเจี้ยนหาวกำลังผลักดันเสี่ยวจวงให้เข้าสู่เฉินเฟยมีเดีย
ลู่เฉินรู้จักเฉินเจี้ยนหาวมาสามปีกว่า รู้ว่าปกติแล้วฝ่ายหลังไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
นอกเสียจากเป็นน้ำใจที่ปฏิเสธไม่ได้
เฉินเจี้ยนหาวลูบคาง ยิ้มแห้งตอบ “เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันติดค้างลุงของเขาอยู่น่ะ”
เฉินเจี้ยนหาวไม่ได้ปิดบัง เขาอธิบายเหตุผลที่ช่วยแนะนำเสี่ยวจวง เพราะลุงของเสี่ยวจวงเคยช่วยเหลือเฉินเจี้ยนหาวอย่างใหญ่หลวง น้ำใจนี้ยังไม่ได้ตอบแทนเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เสี่ยวจวงไม่มีทางได้เป็นนักร้องประจำบาร์เดย์ลิลลี่ อุดมการณ์ของเขาไม่ได้อยู่ที่บาร์เดย์ลิลลี่
แน่นอนว่า เสี่ยวจวงมีทั้งความสามารถและพรสวรรค์ ไม่อย่างนั้นเฉินเจี้ยนหาวคงยินดีจะติดค้างต่อไปโดยไม่มีทางเอ่ยกับลู่เฉินเด็ดขาด
ลู่เฉินยังไม่ทันเอ่ยปาก เฉินเฟยเอ๋อร์ชิงพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็นัดเวลาเลย ให้เขามาทดสอบที่บริษัท พวกเราทางนี้กำลังหาศิลปินมาเซ็นสัญญาอยู่เหมือนกัน สิ่งสำคัญคือต้องนิสัยดี”
เฉินเจี้ยนหาวกล่าวอย่างตั้งใจว่า “เสี่ยวจวงเป็นเด็กดี ไม่มีนิสัยเหมือนคนรวยคนอื่น เขาอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นศิลปินเท่านั้น”
เขารู้ว่าในเมื่อเฉินเฟยเอ๋อร์เอ่ยปากแล้ว เรื่องนี้ก็วางใจได้เกือบเต็มสิบ
ในที่สุดหนี้บุญคุณที่ตัวเองติดค้างเอาไว้ก็ได้ตอบแทนเสียที
ส่วนจะต้องติดค้างลู่เฉินเพราะเรื่องนี้อีกหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ลู่เฉินคิดไตร่ตรองแล้วบอกว่า “ถ้างั้นก็ให้ลองดูก่อน”
หลังจากการขยายกิจการครั้งใหม่ เฉินเฟยมีเดียไม่ใช่บริษัทที่ดูแลแค่ตัวเขากับเฉินเฟยเอ๋อร์สองคนอีกแล้ว แบบนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองเงินที่ลงทุนไป ทั้งยังยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นการเซ็นสัญญากับศิลปินอื่นจึงเป็นเรื่องจำเป็น
แต่ไม่ว่าลู่เฉินหรือเฉินเฟยเอ๋อร์ ล้วนระมัดระวังในด้านนี้มาก ยอมไม่เซ็นสัญญาดีกว่าลดมาตรฐานลงเพื่อสนองความต้องการในการขยายตลาด กลายเป็นพิษภัยต่อการพัฒนาบริษัทในภายหลัง
ดังนั้นจนถึงตอนนี้ เฉินเฟยมีเดียยังไม่มีศิลปินใหม่สักคนที่ได้เซ็นสัญญาจริงๆ จากเดิมที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเซ็นสัญญากับผู้ชนะการประกวดเวที ‘เดอะวอยซ์ไชน่า’ แต่ตอนนี้อาจจะเป็นเสี่ยวจวงก็ได้
ลู่เฉินรู้สึกว่าเสี่ยวจวงไม่เลว มีคุณสมบัติพร้อมทุกด้าน ทั้งยังมีมารยาทมาก ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ซับซ้อน มองออกว่าเขารักดนตรีอย่างแท้จริง
แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
เฉินเจี้ยนหาวยิ้ม “งั้นก็ยิ่งดี ถ้าเจ้าหนุ่มนี่รู้เข้าจะต้องดีใจมาก”
เฉินเฟยเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม ถามลู่เฉินว่า “นายจะไม่ขึ้นไปร้องเพลงจริงเหรอ”
ลู่เฉินกุมมือเธอตอบว่า “คืนนี้ ผมอยากร้องเพลงให้คุณฟังคนเดียว”
เขาไม่ได้อยากมาร้องเพลงที่บาร์เดย์ลิลลี่ ไม่อยากร้องก็ไม่ร้อง
แม้จะคบกันนานแล้ว เฉินเฟยเอ๋อร์ยังคงถูกคำหวานของลู่เฉินเย้าให้หน้าแดงใจสั่นได้อยู่เสมอ
เฉินเจี้ยนหาวกลับรู้สึกขนลุกทั้งตัว เตือนอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่ๆๆ ฉันยังอยู่ตรงนี้ทั้งคน!”
สองคนนี้ชอบโชว์หวานมากขึ้นทุกวัน ถ้อยคำที่ฟังแล้วขนลุกก็กล้าพูดออกมาได้
ลู่เฉินหัวเราะเสียงดัง จูงมือเฉินเฟยเอ๋อร์บอกว่า “ไปเถอะ”
เขาอยากกลับบ้านแล้ว
และนี่ก็เหมือนกับความคิดของเฉินเฟยเอ๋อร์ในตอนนี้
……………………………………