Perfect Superstar - ตอนที่ 799 ยืนยัน
ตอนที่ 799 ยืนยัน
ในฐานะเป้าหมายที่คนในวงการมากมายพยายามจะเกาะกระแสความดัง ลู่เฉินซึ่งอยู่ในวังวนความคิดเห็นของสาธารณชนนั้นนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก
นับตั้งแต่ที่เข้าวงการมานั้น เขาได้ปล่อยผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ความนิยมพุ่งสูงขึ้น มูลค่าทางการค้าก็มากขึ้นเรื่อยๆ และสถานการณ์ที่คล้ายๆ กันนี้นับวันก็ยิ่งปรากฏออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ทำคนตกใจบ่อยจนกลายเป็นชินไปเสียแล้ว ไม่คุ้มค่าที่จะเป็นกระต่ายตื่นตูมเอาเสียเลย
ก็แค่ครั้งนี้มีคนบางกลุ่มสร้างกระแสขึ้นมาอย่างรุนแรงเป็นพิเศษเท่านั้นเอง
วิธีการโต้ตอบของเขาคือการเมินเฉยไปก่อน รอดูสถานการณ์ต่อไปอย่างเย็นชา หากกระแสด้านลบนี้สามารถสงบลงไปได้เองก็คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว แต่ถ้าหากยังแพร่กระจายออกไปอีกขั้นละก็ อย่างนั้นค่อยพิจารณาดำเนินการใช้มาตรการที่เหมาะสมอีกครั้ง
ถ้าลู่เฉินรีบร้อนออกไปสู้กับอีกฝ่ายตอนนี้ละก็ เขาจะตกหลุมพรางเข้าให้จริงๆ บางครั้งศิลปินดาราบางส่วนเมื่อพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มักจะอาศัยการทะเลาะกันเพื่อสร้างกระแสให้ตนเอง แต่ลู่เฉินกลับรู้สึกรังเกียจเหยียดหยามต่อการกระทำแบบนั้นจริงๆ
เทียบกันแล้วเขาให้ความสำคัญกับแฟนสาวที่อยู่ห่างไกลถึงหนิงซานมากกว่า
“โอ้โห ไม่คิดว่าทิวทัศน์บ้านเกิดของคุณป้าจะสวยขนาดนี้…”
เฉินเฟยเอ๋อร์คุยโทรศัพท์อย่างมีความสุข “ฉันชอบที่นี่มาก รู้สึกว่าคงดีมากถ้าได้มาถ่ายทำที่นี่!”
ตอนยังเป็นเด็กลู่เฉินเคยอาศัยอยู่ในหนิงซานหลายปี เขารู้อยู่แล้วว่าหนิงซานมีทิวทัศน์ที่ดีมาก แต่สิบปีมานี้เขาไม่ได้กลับไปที่หนิงซานเลย จึงไม่รู้แน่ชัดว่าตอนนี้สถานการณ์ของที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง
พอได้ยินเฉินเฟยเอ๋อร์พูดอย่างนี้เขาก็วางใจ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วคุณเตรียมตัวจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ”
เดิมทีก็เป็นบ้านเกิดครึ่งหนึ่ง แถมแม่ก็โทรมาหาด้วยตัวเอง ลุงและนายอำเภอยังมาถึงปักกิ่งเพื่อร้องขอความช่วยเหลืออีก ลู่เฉินจะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้แล้วจริงๆ ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไข อย่างนั้นก็ดีกับทุกฝ่ายจริงๆ
‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ จะถ่ายทำติดต่อกันสามภาค แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สถานที่เดียวในการถ่ายทำ การรวมหนิงซานเป็นสถานที่ถ่ายทำด้วย ก็ถือว่าวิน-วินกันทั้งสองฝ่าย
“ว่าจะอยู่เที่ยวเล่นอีกสักสองวันน่ะ…”
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มและพูดว่า “ทิวทัศน์ที่นี่มีความเป็นธรรมชาติมาก และฤดูใบไม้ผลิบนภูเขาก็มาเร็วมาก อากาศสบายกว่าปักกิ่งเยอะเลย วันนี้ฉันกับพี่ลู่ซีเพิ่งปีนเขาชิงหนิง และไปจุดธูปที่วัดอวิ๋นฉานมาละ”
“พรุ่งนี้ก็จะไปโรงถ่ายดูสักหน่อย จะถ่ายรูปฉากสถานที่จริงไปด้วย!”
เห็นได้ชัดว่าเธอเริ่มติดใจการเที่ยวเล่นเข้าให้แล้ว
แล้วลู่เฉินยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วละ เที่ยวให้สนุกแล้วก็อยู่เที่ยวอีกสักสองสามวันเถอะ อืม สุขสันต์วันเทศกาลนะ!”
“หืม?”
เฉินเฟยเอ๋อร์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ในทันที “โอ้ วันนี้เป็นวันสตรีนี่น่า แล้วนายมีของขวัญอะไรให้ฉันบ้างหรือเปล่าล่ะ”
ลู่เฉินถอนหายใจ “คุณไม่เห็นอั่งเปาซองใหญ่ที่ผมส่งไปให้ในเฟยซวิ่นงั้นเหรอ”
เฟยซวิ่นเพิ่งเปิดตัวฟังก์ชันอั่งเปาในช่วงปีใหม่ เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนเขาก็แจกอั่งเปาไปแล้วกว่าล้านหยวน
แน่นอนว่าเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่สิ่งที่สำคัญคือความตั้งใจต่างหาก
เธอดีใจมากจริงๆ “แหะๆ ฉันไม่ได้สังเกตเลย ขอบคุณมากนะที่รัก!”
ทั้งสองคนคุยกะหนุงกะหนิงกันได้เพียงไม่กี่นาที จากนั้นเฉินเฟยเอ๋อร์ก็ส่งโทรศัพท์ให้ลู่ซีอย่างอาลัยอาวรณ์
“พี่สาว สุขสันต์วันเทศกาลครับ!”
ลู่ซีพูดอย่างไม่พอใจ “พอได้แล้ว อย่ามามุกนี้กับฉัน ฉันมีเรื่องจริงจังต้องคุยกับแกนะ!”
ลู่เฉินไอสองครั้งแล้วพูดว่า “โอเค…”
สิ่งที่ลู่ซีบอกกับลู่เฉินนั้นจริงจังมาก ทั้งยังไม่ใช่เรื่องเล็กเลย——เทศบาลอำเภอหนิงซานตั้งใจจะขายหุ้นของโรงถ่ายหนิงชานให้กับเฉินเฟยมีเดีย และสัดส่วนสูงสุดของการขายหุ้นก็คือ 49%!
ความตั้งใจของเทศบาลอำเภอหนิงซานนั้นชัดเจนมาก นั่นก็คืออยากจะผูกเฉินเฟยมีเดียเข้ากับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของหนิงชาน อยากอาศัยอิทธิพลของเฉินเฟยมีเดียในการโปรโมตและประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้พวกเขายังหวังที่จะกู้คืนการลงทุนบางส่วน มาชดเชยการใช้จ่ายงบประมาณของเทศบาลที่กำลังอยู่ในภาวะขัดสน
แน่นอนว่าอำเภอหนิงชานไม่ได้เป็นฝ่ายที่ได้ผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว โดยพื้นฐานแล้วโรงถ่ายหนิงซานได้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วด้วยการลงทุนมหาศาล และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างภูเขาชิงหนิงอยู่ด้วย มีมูลค่าแฝงสูงมาก
ทุกวันนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศกำลังเฟื่องฟู ตราบใดที่มีการดำเนินการอย่างถูกต้อง ในอนาคตผลตอบแทนจากการลงทุนจะต้องสูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม โครงการที่เกี่ยวข้องกับเงินหลายร้อยล้านหยวนนี้ ลู่ซียังไม่กล้าที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง
ลู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พี่สาว ผมไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้านนี้สักเท่าไร แล้วแต่พี่จะตัดสินใจเถอะ แต่ผมมีคำแนะนำหนึ่ง ถ้าพี่ตัดสินใจที่จะลงทุนแล้วละก็ งั้นก็ให้พี่มู่ซือร่วมทุนด้วยสิครับ!”
ครั้งที่แล้วหลี่มู่ซือบ่นกับลู่เฉิน บอกว่าเขาไม่ยอมให้เธอมีส่วนร่วมกับโครงการลงทุนของเขา ดังนั้นครั้งนี้หากนับรวมหลี่มู่ซือเข้าไปด้วย ถือว่าเป็นการรักษาสัญญาและแบ่งเบาความกดดันของเฉินเฟยมีเดีย อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มการรับประกันให้กับการลงทุนครั้งนี้อีกด้วย
มีตัวแทนตระกูลหลี่อย่างหลี่มู่ซือเข้าร่วมด้วยแบบนี้ ช่วยลดความยุ่งยากได้มากจริงๆ
แม้พูดแบบนี้จะดูแทงใจไปหน่อย แต่นั่นคือเรื่องจริง ลู่เฉินไม่ได้สนใจว่าจะได้รับเงินมากหรือน้อย เขาแค่ไม่อยากหาเงินได้แล้วต้องเจอเข้ากับปัญหาที่ไม่จำเป็น!
ลู่ซีเข้าใจได้ในทันที “คำแนะนำของแกถูกต้องแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปคุยกับมู่ซือ ดูว่าเธอจะสนใจไหม”
ลู่เฉินกล่าวด้วยความยินดี “งั้นก็แค่นี้นะครับ ใช่แล้ว พี่อยู่ที่นั่นเรียนรู้สถานการณ์ แล้วก็เป็นตัวแทนบริจาคเงินในนามของผมและบริษัทให้กับคนชราหรือนักเรียนยากไร้สักหน่อย ถือซะว่าเป็นน้ำใจจากคนที่มีบ้านเกิดเป็นคนที่นั่นครึ่งหนึ่งก็แล้วกันนะครับ”
ลู่เฉินใส่ใจในเรื่องการกุศลมาโดยตลอด การตอบแทนบ้านเกิดก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรมากขึ้นกับเทศบาลอำเภอหนิงชาน ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาของงานถ่ายทำภาพยนตร์ในอนาคต
ลู่ซีรับปากว่าจะจัดการให้
ทางด้านของหนิงชานกำลังเป็นไปได้ด้วยดี แต่ปัญหาที่ลู่เฉินกำลังเผชิญกลับไม่ได้ลดลงเลย กู้เหล่ยเสพติดการโหมประเด็นให้ร้อนยิ่งขึ้นไปแล้ว เมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่ตอบโต้ ก็ยิ่งสร้างกระแสอย่างไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อยๆ
‘กู้เหล่ยมั่นใจถ่ายหนังกำลังภายในเอาชนะลู่เฉินได้ในทุกด้าน!’
‘ใครคือดาราผู้เชี่ยวชาญกังฟูที่แท้จริง กู้เหล่ยมีบางอย่างอยากจะพูด’
‘เจ็ดผู้กล้าห้าผู้ทรงธรรม VS กระบี่เย้ยยุทธจักร ใครจะเป็นแชมป์ขายตั๋วสูงสุดในฤดูร้อนนี้?’
‘กู้เหล่ยถูกสัมภาษณ์โดยนักข่าวอี้หว่าง พูดตามตรงเผชิญหน้ากับลู่เฉินไม่กดดันเลยสักนิด’
……
เขาสร้างกระแสขึ้นมาอย่างคึกคัก คนอื่นมองเขาด้วยความอิจฉาตาร้อน แต่เดิมที่เป็นเพียงปัญหาเล็กๆ ก็จงใจทำให้เป็นปัญหาใหญ่ขึ้น ข่าวจริงและเท็จทุกประเภทแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต และกลายเป็นกระแสมาสักพักแล้ว
เมื่อเป็นแบบนี้ ส่งผลให้แฟนๆ ที่รอคอยให้ลู่เฉินโต้ตอบกลับไปอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจ ทุกคนต่างรู้สึกรำคาญกับความไร้ยางอายของกู้เหล่ย และกังวลว่าลู่เฉินจะได้รับผลกระทบ แต่ละคนจึงรีบไปที่บล็อกของลู่เฉินเพื่อสนับสนุนหรือสอบถามเขากันให้วุ่นวาย
ลู่เฉินยังคงเก็บตัวนิ่งเงียบราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
ตอนเย็นวันที่เก้าเดือนมีนาคม เฉินเฟยเอ๋อร์อัปเดตบล็อกของเธอ หัวข้อโพสต์บล็อกใหม่ของเธอคือภาพถ่ายหนึ่งภาพ
ในภาพเฉินเฟยเอ๋อร์สวมชุดสีเหลืองอ่อนที่ปักลายลูกไม้อย่างประณีต ปิ่นปักผมสีทองประดับอยู่บนมวยผมอย่างแผ่วเบา ใบหน้าแต่งแต้มสีชมพูเล็กน้อย ดวงตางดงามแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม เอนเอียงอย่างเกียจคร้านบนต้นท้อที่มีดอกไม้แรกแย้มบานสะพรั่ง
ข้างหลังของเธอเป็นผืนป่าสีเขียวขจี ลำธารสายหนึ่งไหลคดเคี้ยวผ่านกลางป่า สะพานหินลอยอยู่เหนือลำธาร เป็ดขาวสามถึงห้าตัวกำลังเล่นน้ำอยู่ใต้สะพาน คนและทิวทัศน์ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เกิดเป็นความงดงามอย่างถึงขีดสุด!
โพสต์บล็อกนี้นอกจากรูปภาพแล้วก็ไม่มีเนื้อหาที่เป็นข้อความเลย มีแค่ @ลู่เฉิน และอีโมจิขี้เล่นเท่านั้น