Perfect Superstar - ตอนที่ 863 เส้าหลินดำเนิน (1)
ตอนที่ 863 เส้าหลินดำเนิน (1)
ในฐานะนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในวงการบันเทิงของประเทศจีน ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์มีข้อดีที่เหมือนกัน นั่นก็คือแต่ไหนแต่ไรไม่เคยโอ้อวดความเด่นดังของตัวเอง และก็ไม่เคยมองว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น ดังนั้นในวงการบันเทิง มิตรสหายของทั้งสองคนจึงมีมากกว่าศัตรูมากนัก
เฉกเช่นเดียวกัน เฉินเฟยมีเดียที่ทั้งสองได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาก็ดำเนินงานในสไตล์เดียวกัน ทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา เน้นเรื่องการมีผลประโยชน์ร่วมกันและซื่อสัตย์ต่อผู้ร่วมงาน
เหมือนกับครั้งนี้ที่ได้มาถ่ายทำที่เมืองเติงเฟิง ท่าทีของเทศบาลเมืองโอบอ้อมอารียิ่งนัก ทั้งยกยอทั้งเอาใจและให้เกียรติอย่างสูงสุดรอบด้าน แต่ลู่เฉินกลับไม่ได้คิดว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรต้องปฏิบัติต่อตน และเขาก็ไม่ได้มีใจที่จะแสดงอาการเย่อหยิ่งหรือดูถูกเลยด้วย
ก่อนหน้านี้ที่บริจาคเงินให้วัดเส้าหลิน นั่นก็เพราะต้องการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการร่วมงานกัน ตอนนี้บริจาคในนามตนเองก็เพราะต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทางเติงเฟิง เพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความร่วมมือระยะยาวในอนาคต
ก่อนหน้านี้ที่ถ่ายทำ ‘กระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ ลู่เฉินก็บริจาคให้หนิงซานไป 30 ล้าน
ท่าทีอย่างนี้ของเขา ทำให้เขาได้รับความชื่นชมจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทั้งหมดในเติงเฟิงรวมทั้งนายกเทศมนตรีหลู่อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาต่างก็ตบหน้าอกให้สัญญาว่าจะสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับทีมงานภาพยนตร์เกือบทุกคน
วันรุ่งขึ้นลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์พร้อมด้วยทีมงานหลายคน และนายกเทศมนตรีหลู่กับเจ้าหน้าที่อีกหลายคน ได้ไปเยี่ยมชมวัดเส้าหลินแห่งซงซานด้วยกัน
วัดเส้าหลินตั้งอยู่ใต้ยอดเขาอู๋หรู่ของเทือกเขาซงซานในเมืองเติงเฟิง เนื่องจากตั้งอยู่ท่ามกลางป่าทึบของกลุ่มภูเขาเส้าซื่อในเขตเทือกเขาซงซาน จึงได้ชื่อว่า ‘วัดเส้าหลิน’ สร้างขึ้นในรัชศกไท่เหอปีที่สิบเก้า (ปี 495) แห่งราชวงศ์เป่ยเว่ย ซึ่งจักรพรรดิเซี่ยวเหวินได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของพระเถระชาวอินเดียนามว่าป๋าถัวที่ตนให้ความเคารพ ตั้งอยู่ที่เชิงเขาทางเหนือของกลุ่มภูเขาเซ่าซื่อในซงซานหันหน้าไปทางเมืองหลวงลั่วหยาง
วัดเก่าแก่พันปีแห่งนี้เคยถูกทำลายจากสงครามหลายครั้ง และสร้างใหม่หลายครั้ง เนื่องจากเป็นถิ่นกำเนิดของพุทธศาสนานิกายเซนในจีน จึงกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองทางวัฒนธรรมประจำเมืองนี้ และยังเป็นจุดชมวิวแห่งหนึ่งของซงซานอีกด้วย
แต่ก็เพราะว่าที่นี่ขาดทุนทรัพย์ อีกอย่างวัดเส้าหลินยังไม่ค่อยมีชื่อเสียง ดังนั้นวัดที่ลู่เฉินเห็นด้วยตาตัวเองจึงเทียบไม่ได้กับความทรงจำในโลกแห่งความฝันเลย
กำแพงที่ล้อมรอบตัววัดนั้นเก่าจนเรียกได้ว่าทรุดโทรม ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนกำแพงไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่เคยล้างทำความสะอาด ลวดลายหลุดลอกกระทั่งมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมด ประตูวัดดูธรรมดา ไม่มีคุณลักษณะของวัดที่มีชื่อเสียงบนภูเขาเลย บนแผ่นโลหะที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาทางเดิน ตัวอักษรสีทองที่จักรพรรดิเฉียนหลงเขียนเองกับมือนั้นดูหมองคล้ำไร้สง่าราศี เผยให้เห็นกลิ่นอายของความเงียบเหงาซบเซา
วิวทิวทัศน์อย่างนี้ถ้าถ่ายเข้าไปในภาพยนตร์ อย่างนั้นผู้ชมคงต้องหัวเราะจนฟันร่วง สถานที่ที่เป็นที่หนึ่งในใต้หล้าเป็นอย่างนี้…คิดจะหลอกใครกัน
หน้าประตูของวัดเส้าหลินมีรั้วกั้นทางเข้าออกของนักท่องเที่ยว เพียงแต่มีนักท่องเที่ยวน้อยมาก ต่างก็ล้วนมาจุดธูปไหว้พระ และดูเหมือนว่าไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไร
ลู่เฉินสอบถามถึงได้ทราบว่า วัดซงซานเป็นทางเลือกแรกสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญที่มาไหว้พระบนเขาซงซาน วัดเส้าหลินเพิ่งเริ่มจำหน่ายตั๋วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รายได้ต่อปีประมาณไม่กี่แสนเท่านั้น
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวในท้องถิ่นก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจมาก เพราะทางนี้เสนอให้จัดตั้งบริษัทพัฒนาอุตสาหกรรมวัดเส้าหลิน แต่วัดเส้าหลินเองก็ไม่ใช่สินทรัพย์คุณภาพสูงอะไร
หนึ่งปีได้ค่าตั๋วแค่ไม่กี่แสนเท่านั้น ลู่เฉินแค่ได้ฟังก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
ในโลกแห่งความฝันนั้น วัดเก่าแก่นับพันปีที่ได้สมญานามว่าเป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ในหนึ่งปีแค่รายได้จากตั๋วเข้าชมก็สูงถึง 300-400 ล้านหยวน เมื่อรวมรายรับจากทางอื่นแล้ว ผลกำไรที่ทำได้นั้นน่าทึ่งมาก
แต่ความสำเร็จของวัดเส้าหลินในโลกของความฝันนั้นใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ ตอนแรกสุดมันก็สุดแสนจะลำบาก ต่อมาเพราะว่าภาพยนตร์เรื่อง ‘วัดเส้าหลิน’ ดังเปรี้ยงในจีน จึงได้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่มีภาพยนตร์เรื่องนี้ วัดเส้าหลินจึงเงียบเหงามาจนถึงตอนนี้ ลู่เฉินจึงมีความรู้สึกราวกับว่ากำลังสร้างประวัติศาสตร์อย่างนั้นเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจในสถานะของวัดเส้าหลินที่กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ในตอนนี้
ที่เขามาก็เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง!
แต่ทรุดโทรมก็ส่วนทรุดโทรม ในวัดเส้าหลินยังคงมีของดีอยู่ เช่น หอคัมภีร์และป่าเจดีย์ โดยเฉพาะป่าเจดีย์เส้าหลินที่มีหอคอยอิฐตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังจนถึงราชวงศ์ชิง เป็นสุสานหินมากกว่า 240 หลัง สุสานที่พระจากวัดเส้าหลินแต่ละยุคสมัยถูกฝังอยู่แห่งนี้ต่างก็มีขนาดสูงต่ำที่แตกต่างกัน มีความหนาบางและรูปแบบที่แตกต่างกัน และขณะนี้กำลังยื่นเรื่องขอให้เป็นสถานที่อนุรักษ์เชิงวัฒนธรรมระดับประเทศ
นอกจากนี้ยังมีถ้ำโพธิธรรม ฐานกานลู่ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในวัดนั้นมีต้นสนจำนวนมาก หลายต้นเป็นต้นไม้ที่มีอายุกว่าพันปี ดังนั้นจึงมีภูมิหลังที่ค่อนข้างลึกล้ำมาก
นอกจากทิวทัศน์เหล่านี้ ศิลปะการต่อสู้ของเส้าหลินยังเป็นจุดเด่นสำคัญของวัดเส้าหลินด้วย วัดเส้าหลินเป็นพุทธสถานดั้งเดิมของพุทธศาสนานิกายเซน แก่นแท้ของพุทธศาสนานิกายเซนคือการเข้าใจจิตใจ เห็นธรรมชาติ และตระหนักถึงความเป็นพุทธะ พระภิกษุฝึกศิลปะการต่อสู้เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ในการตั้งสมาธิและทำให้จิตใจสงบ ในขณะเดียวกันก็ยังมีจุดประสงค์ในการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเพื่อยืดอายุให้ยืนยาวอีกด้วย
วัดเส้าหลินมีภารกิจที่ต้องดูแลพระสงฆ์และพระนักรบที่ทำหน้าที่ปกป้องวัด พระนักรบของวัดเส้าหลินค่อนข้างมีชื่อเสียง เดิมทีเหล่าพระนักรบรุ่นก่อนๆ ทำหน้าที่ปกป้องวัดจากหมู่โจร แต่ตอนนี้กลายเป็นสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมไปแล้ว
เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินคนปัจจุบันที่มีนามว่าซื่อหย่งต๋าเป็นพระวัยกลางคนที่ยังแข็งแรง สำหรับการมาถึงของเหล่าข้าราชการ ลู่เฉิน และคนอื่นๆ เขาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและนอบน้อม เห็นได้ชัดว่าทราบแล้วถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ภายใต้การนำของเจ้าอาวาส ลู่เฉินและคนอื่นๆ ได้เข้าชมพระอุโบสถ หอคำภีร์ ป่าเจดีย์ และสถานที่อื่นๆ สุดท้ายยังได้เข้าชมการแสดงของเหล่าพระภิกษุอีกด้วย
จำนวนของพระนักรบในวัดเส้าหลินมีไม่มาก ที่เข้าร่วมการแสดงนั้นมีเพียงสิบกว่ารูปเท่านั้น แต่วิชาหมัดที่พวกเขาแสดงนั้นยอดเยี่ยมมาก ดูแล้วมีความรู้ด้านกังฟูจริงๆ ไม่ใช่พวกที่เอาแต่เลียนแบบท่าทางจะเทียบเคียงได้
เมื่อเห็นดวงตาของลู่เฉินจับจ้องด้วยความตกตะลึง ซื่อหย่งต๋ายิ้มและพูดกับเขาว่า “โยมลู่ ถ้าคุณเลือกถ่ายทำในวัดเส้าหลิน พระเส้าหลินของเราสามารถปฏิบัติตามคำสั่งของคุณและมีส่วนร่วมในการถ่ายทำได้”
เจ้าอาวาสท่านนี้ไม่ใช่นักพรตที่ไม่สนใจเรื่องโลกภายนอก ท่านทราบดีว่าโอกาสนี้มีความสำคัญต่อวัดเส้าหลินมากเพียงใด ท่านจึงแสดงท่าทีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ลู่เฉินพยักหน้า ก่อนจะถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ผมจะประลองฝีมือกับพระที่วัดได้ไหมครับ ทดสอบฝีมือกันหน่อย”
ในเมื่อถ่ายทำที่วัดเส้าหลิน พระนักรบเหล่านี้แน่นอนว่าต้องใช้งานแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ถ้าดูแค่การแสดงมันไม่พอ เขาอยากจะทดสอบความสามารถของอีกฝ่าย
แน่นอนว่าก็เพราะยังมีภาพความทรงจำของโลกแห่งความฝันอยู่ในนั้นด้วย
เห็นได้ชัดว่าซื่อหย่งต๋าไม่ได้คาดมาก่อนว่าลู่เฉินจะร้องขอแบบนี้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะทอดมองไปยังนายกเทศมนตรีหลู่ …ทีนี้จะทำอย่างไรกันดีล่ะ
สำหรับวัดเส้าหลินแล้ว ลู่เฉินเป็นแขกพิเศษท่ามกลางแขกพิเศษแน่นอน มือเท้าไร้ตาการประลองมีความเสี่ยง หากว่าทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บไปนั่นจะไม่กลายเป็นทำผิดต่อเขาหรือ หรือหากอ่อนข้อให้ อย่างนั้นจะไม่เป็นการทำให้ลู่เฉินไม่พอใจหรือ
ในใจของท่านเจ้าอาวาสผู้ยิ่งใหญ่จู่ๆ ก็พลันรู้สึกยุ่งยากใจทันที
แต่นายกเทศมนตรีหลู่นั้นมุมปากยกยิ้มทันที เขากลับไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรให้ ท่านเจ้าอาวาสต้องตัดสินใจเอง
ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ซื่อหย่งต๋ายังคงยืนหยัดที่จะพูดว่า “ประลองนั้นได้ เพียงแต่ว่า…”
ลู่เฉินทราบดีถึงความกังวลนั้น เขาหัวเราะก่อนจะพูดว่า “ประลองแค่พอทราบเทคนิคครับ ผมรู้ขอบเขตดี”
ในเมื่อเขาพูดมาขนาดนี้แล้ว ซื่อหย่งต๋าจึงทำได้เพียงรับปาก ก่อนจะมอบมายให้พระรูปหนึ่งมาประลองกับลู่เฉิน
………………………………………………………………………..