Perfect Superstar - ตอนที่ 864 เส้าหลินดำเนิน (2)
ตอนที่ 864 เส้าหลินดำเนิน (2)
วูซูของวัดเส้าหลินมีประวัติความเป็นมายาวนาน เก่าแก่ที่สุดที่สามารถเท้าความได้ก็คือหนึ่งพันห้าร้อยกว่าปีก่อนหน้า ยุคปลายราชวงศ์สุย พระสิบสามรูปของวัดเส้าหลินได้ช่วยให้จักรพรรดิหลี่ซื่อหมินแห่งราชวงศ์ถังเอาชนะหวังซื่อชงได้ วูซูของวัดเส้าหลินจึงค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้นมา
ในช่วงห้าราชวงศ์ ฝูจวี พระผู้มีชื่อเสียงของเส้าหลินได้เชิญปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้สิบแปดคนมาเผยศิลปะการต่อสู้ในวัด พวกเขาฝึกฝนทั้งสิ้นสามปี เรียนรู้จากจุดแข็งของผู้อื่น ขจัดความหยาบ เก็บสาระสำคัญ และรวบรวมเป็น ‘คำภีร์หมัดมวยเส้าหลิน’ จึงอาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถังไปจนถึงราชวงศ์จินและหยวน ศิลปะการต่อสู้ของเส้าหลินพัฒนาอย่างรวดเร็วและค่อยๆ เติบโตอย่างเต็มที่ในที่สุด
วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงในด้านศิลปะการต่อสู้ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของจักรพรรดิเจียจิ้งแห่งราชวงศ์หมิง เมื่อโจรสลัดญี่ปุ่นบุกชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ พระเส้าหลินกว่าแปดสิบรูปที่นำโดยพระเยวี่ยคงและคนอื่นๆ หาญกล้าบุกสนามรบ และเอาชนะศัตรูซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าสามสิบรูปเสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ และมีเรื่องเล่าหลายตอนที่นำไปเขียนเป็นบทเพลงสดุดีได้เลย
แต่มาถึงยุคร่วมสมัยและยุคปัจจุบันนี้ เมื่อมีการรุกรานของอารยธรรมตะวันตก วัดเส้าหลินได้ค่อยๆ ลดบทบาทและความนิยมลง จนกระทั่งวันนี้ชื่อเสียงไม่ได้เด่นชัดอย่างวันวานแล้ว กลายเป็นวัดโบราณที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งเท่านั้น
แต่แม้ว่าวัดจะถูกไฟสงครามทำลายไปหลายครั้ง แต่วูซูเส้าหลินและการสืบทอดของพระวัดเส้าหลินไม่ได้ขาดช่วงไป จวบจนกระทั่งวันนี้วัดเส้าหลินยังคงมีกลุ่มพระประมาณยี่สิบรูปที่ยังฝึกวิชาอยู่ทุกวี่วัน
คนที่ถูกเจ้าอาวาสซื่อหย่งต๋าเลือกออกมาประมือกับลู่เฉินคือพระที่มีนามขึ้นต้นว่า ‘ซื่อ’ ‘ซื่อหย่งเจิน’ เขาอายุประมาณสามสิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหยาบกร้าน คิ้วดก หูใหญ่ ดวงตาเป็นประกาย ข้อนิ้วมือทั้งสองข้างหนาเป็นพิเศษ บนผิวหนังนั้นเหมือนมีหนอนไหมขึ้นเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าฝึกฝนวูซูมานานหลายปีมากแล้ว
ช่างแข็งแกร่งดุดันเสียจริง!
เมื่อเห็นพระนักรบผู้นี้ ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า การเดินทางมาวัดเส้าหลินในซงซานครั้งนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วจริงๆ
เมื่อครู่เขายังกังวลว่า ซื่อหย่งต๋าจะกังวลจนไม่กล้าส่งคนมีฝีมือออกมา อย่างนั้นการประมือทดสอบก็คงไม่มีความหมายอะไร
ซื่อหย่งเจินยกฝ่ามือขึ้นก่อนโค้งคำนับให้ลู่เฉิน “เส้าหลินซื่อหย่งเจินคำนับโยมลู่เฉิน”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและหนักแน่น ท่าทางของเขามีพลังที่อธิบายไม่ถูก ออร่าของนักศิลปะการต่อสู้แบบนี้มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่คนอื่นๆ ด้านข้างล้วนสัมผัสได้
นายกเทศมนตรีหลู่ที่ติดตามลู่เฉินมาอดไม่ได้ที่สีหน้าจะเปลี่ยนไป สายตาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซื่อหย่งต๋า
พระรูปนี้ดูเหมือนจะเก่งมากๆ ให้เขามาประมือกับลู่เฉินจะเหมาะหรือ หากทำร้ายแขกคนสำคัญเข้าล่ะ…
ซื่อหย่งต๋าใช้สายตาตอบกลับนายกเทศมนตรีหลู่ไปว่าให้วางใจเถอะ
เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของศิษย์น้องคนนี้ของเขา และมีเพียงคนเก่งที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวผ่อนหนักผ่อนเบาได้อย่างอิสระในการแข่งขัน ทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้ศักดิ์ศรีของวัดเส้าหลินถูกทำลายไป แต่ก็ยังสามารถควบคุมจังหวะไม่ให้ทำร้ายคู่ต่อสู้จนบาดเจ็บได้
ลู่เฉินคำนับก่อนจะตอบ “โปรดชี้แนะด้วยครับ”
นับตั้งแต่การต่อสู้กับหลี่เจ๋อเฉิงผู้ก่อตั้งศิลปะการต่อสู้เทควันโดแบบอู่เฉิงของเกาหลีเมื่อต้นปี แม้ว่ามีหลายคนท้าประลองกับลู่เฉิน แต่ลู่เฉินก็ไม่เคยประลองกับคนภายนอกอีกเลย ปกติมักจะประลองกับทีมตระกูลลู่เท่านั้น
ครั้งนี้ที่ต้องประลองกับพระนักรบของวัดเส้าหลิน ทำให้ความกระหายในการต่อสู้ของเขาอดไม่ได้ที่จะปะทุขึ้นอีกครั้ง
เพราะตอนมานั้นมีการเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว เสื้อผ้าและรองเท้าที่ลู่เฉินสวมใส่ล้วนสะดวกต่อการเคลื่อนไหว เขาเพียงถอดเสื้อตัวนอกออกก็ใช้ได้แล้ว หลังจากอบอุ่นร่างกายอย่างง่ายๆ ก็เริ่มต้นประมือกับซื่อหย่งเจินอย่างเป็นทางการ
คนอื่นๆ ยืนชมอยู่ด้านข้างสนามประลอง ยังมีทีมงานที่ยกกล้องเตรียมที่จะถ่ายเอาไว้อีกด้วย
ภาพอย่างนี้ต้องบันทึกเอาไว้แน่นอน!
“ย่าห์!”
ซื่อหย่งเจินลงมือก่อน ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเขาก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า พร้อมกับเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ลู่เฉิน
กระบวนท่าที่พระวัดเส้าหลินรูปนี้แสดงออกมานั้น ก็คือวิชาหมัดของวัดเส้าหลินที่ลือชื่อ หมัดเส้าหลินนั้นแข็งแกร่ง ทรงพลังหาใดเทียบได้ กระบวนท่าไม่ซับซ้อนแต่เหมาะจะใช้ต่อสู้จริง ไม่ใช่อะไรที่พวกเลียนแบบจะเลียนแบบได้
เมื่อซื่อหย่งเจินก้าวเดิน การเคลื่อนไหวของเท้า เข่า และสะโพกต่างก็ได้มาตรฐานเป็นอย่างมาก ช่วงล่างมั่นคงดั่งภูเขาไท่ซาน ออกหมัดก็ดุดันมีพลัง ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่เป็นแก่นของ ‘หมัดมวยอันดับหนึ่ง’ เห็นได้ชัดถึงความสามารถที่ลึกล้ำเป็นอย่างมากของเขา
หนึ่งหมัดต่อยออกไป เสียงหมัดแหวกอากาศทรงพลังอย่างมาก แต่ยังผ่อนแรงเอาไว้หลายส่วน
ต่อให้เป็นอย่างนี้ ลู่เฉินเองก็ไม่กล้าวู่วามเข้าปะทะตรงๆ เขาก้าวขาหลบฉากออกไปด้านข้าง ในขณะเดียวกันก็เคลื่อนสะโพกกวาดขาขวาทะยานขึ้น แล้วเตะไปที่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ปฏิกิริยาตอบสนองของซื่อหย่งเจินรวดเร็วมาก หมัดที่ต่อยออกไปพลาดเป้าก็รีบยกแขนขึ้นมาป้องกัน รับลูกเตะด้านข้างของลู่เฉินเอาไว้ได้
ปัง!
แขนขากระทบกันเกิดเสียงสนั่น ร่างกายของซื่อหย่งเจินโคลงเคลงทันที เกิดความประหลาดใจขึ้นบนใบหน้าของเขาแวบหนึ่ง แรงขาของลู่เฉินแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ในที่สุดพระวัดเส้าหลินคนนี้ก็เริ่มจริงจังขึ้นมาแล้ว เมื่อหันกลับมาเตรียมออกหมัดอีกครั้ง พลังหมัดก็แรงมากขึ้นถึงเก้าเท่า!
หมัดของซื่อหย่งเจินนั้นแข็งแกร่งมาก ทุกกระบวนท่าถ้าไม่รุกก็รับ ไม่มีท่าอะไรมาก แต่การเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตาของทุกหมัดนั้นมีประสิทธิภาพสามอย่าง ‘สกัดกั้น ป้องกัน และโจมตี’ หมัดของเขาตรงไปตรงมา ดังนั้นทุกกระบวนท่าของเขาจึงดูน่าอกสั่นขวัญแขวนมาก ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนลู่เฉิน
หากเพียงแข่งกันที่พลังและทักษะ ลู่เฉินนั้นสู้พระวัดเส้าหลินที่ฝึกมายี่สิบกว่าปีรูปนี้ไม่ได้แน่ หากแข็งปะทะแข็งแล้วละก็ แปดเก้าในสิบส่วนต้องแพ้แน่
แต่ลู่เฉินได้เปรียบตรงที่พลิกแพลงเก่ง ประสาทสัมผัสก็รวดเร็วมาก และกังฟูที่เขาคิดขึ้นเองก็ยังมีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติในการต่อสู้ระยะประชิด ดังนั้นการออกหมัดและเท้าของเขาจึงอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับซื่อหย่งเจิน
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งสองต่อสู้กันไปมา พริบตาเดียวก็สู้กันไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว ซื่อหย่งเจินค่อยๆ ถูกโจมตีจนต้องแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา แต่ลู่เฉินกลับยิ่งต่อกรยิ่งฮึกเหิม
นานๆ ทีจะเจอคู่ต่อสู้หายาก สถานะอย่างเขาในตอนนี้ ไม่อาจไปประมือต่อกรกับคนอื่นไปทั่วได้ อย่างมากก็ต่อยตีกับคนในทีมตระกูลลู่ที่สนามฝึกเท่านั้น ไม่ค่อยได้ต่อสู้อย่างเต็มที่อย่างนี้
“ฮ้า!”
เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาสู่จุดดุเดือด ซื่อหย่งเจินก็ออกแรงแขนและหมัดทั้งสองข้างพร้อมกัน ก่อนจะกระแทกเข้าที่อกของลู่เฉินอย่างแรง
ลู่เฉินยกแขนสองข้างขึ้นป้องไว้ด้านหน้า ปิดกั้นการโจมตีของเขาไว้มั่น
ปัง! ปัง!
เสียงดังกระแทกทำให้ผู้คนต่างผวาเฮือก
“หยุด!”
ตอนนี้เอง นายกเทศมนตรีหลู่ที่อยู่ด้านข้างได้ตะโกนขึ้น
ซื่อหย่งเจินและลู่เฉินเมื่อได้ยินเสียงต่างก็หยุดการเคลื่อนไหว เห็นเพียงท่านนายกเทศมนตรีเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามา เขาหัวเราะเสียงขมขื่นว่า “มือเท้าไร้ตา ทั้งสองพอเท่านี้ดีไหมครับ”
นายกเทศมนตรีหลู่ไม่เข้าใจศิลปะการต่อสู้ เมื่อครู่นี้เขาดูแล้วก็รู้สึกวิตกกังวล เพราะกลัวว่าถ้าพวกเขายังคงต่อสู้แบบนี้ต่อไปจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ไม่ช้าก็เร็ว
หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขาที่เป็นนายกเทศมนตรีคงตกที่นั่งลำบากแน่ๆ
ถึงแม้ว่าลู่เฉินจะยังไม่ได้สู้จนสะใจ แต่ก็ทราบดีถึงความกังวลของนายกเทศมนตรีหลู่ อีกอย่างตนเองเป็นเพียงแขกเท่านั้น จะเอาแต่ใจเกินไปไม่ได้ ดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ครับ ไต้ซือหย่งเจินแข็งแกร่งมาก หากสู้ต่อไปผมคงเอาชนะไม่ได้”
ซื่อหย่งเจินส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “โยมแข็งแกร่งมาก อาตมาไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้”
ไม่ว่าจะเป็นวูซู การชกมวย หรือการต่อสู้แบบตัวต่อตัวอื่นๆ การแข่งขันจริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง ความเร็ว และปฏิกิริยาตอบสนอง กระบวนท่านั้นไม่สำคัญเท่าไร อย่างแรกซื่อหย่งเจินมีข้อได้เปรียบ แต่สองอย่างหลังลู่เฉินนั้นแข็งแกร่งกว่า
ภายใต้การต่อกรของทั้งสอง ล้วนไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ ต่างก็รู้สึกนับถือในความสามารถของอีกฝ่าย
นายกเทศมนตรีหลู่ยิ้มพลางพูดว่า “เป็นเรื่องดีที่ได้พบกับคู่ต่อสู้ในสนามประลอง!”
บรรยากาศในตอนนี้ จู่ๆ ก็ผ่อนคลายลงทันที