Perfect Superstar - ตอนที่ 102 หลี่มู่ไป๋
ตอนที่ 102 หลี่มู่ไป๋
ความโดดเดี่ยวเป็นความรื่นเริงของคนคนหนึ่ง และความรื่นเริงก็เป็นความโดดเดี่ยวของกลุ่มคน
ลอสบาร์ เป็นไนท์คลับที่หลบอยู่ในมุมหนึ่งของย่านซานหลี่ถุนแห่งกรุงปักกิ่ง
นอกจากคนวงในแล้ว คนทั่วไปที่รู้จักร้านนี้มีไม่มาก แม้จะมีป้ายชื่อว่าเป็นบาร์แขวนอยู่ แต่ก็เป็นไนท์คลับจริงๆ เพราะบาร์และไนท์คลับนั้นแตกต่างกันมาก
ไนท์คลับจะให้บริการลูกค้าทั้งเครื่องดื่มและอาหาร มีพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกครบตามที่ลูกค้าต้องการ ให้ทุกคนที่เข้ามาได้กิน ดื่มและเล่นกันอย่างเต็มที่ ให้สัมผัสที่เหมือนความฝัน ทั้งยังให้ประสบการณ์ความบันเทิง
ย่านซานหลี่ถุนมีไนท์คลับอยู่ไม่น้อย แต่ร้านที่มาเป็นอันดับต้นๆ และมีอิทธิพล ไม่มีร้านไหนเทียบเท่ากับลอสบาร์ได้เลย
แต่ลูกค้าธรรมดาเข้าไปไม่ได้ เข้าได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
ทุกคืน ที่จอดรถด้านหน้าลอสบาร์มีรถสปอร์ตหรูจอดเต็มไปหมด มีทั้งรถเบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยูให้เห็นไม่น้อย เฟอร์รารี่ แลมโบกินี มาเซอร์ราติ ปอร์เช่ เป็นต้นก็พบบ่อย
เพิ่งเลยเวลาสี่ทุ่มไปเล็กน้อย รถปอร์เช่สี่ประตูรุ่น F17 คันหนึ่งเข้ามาจอดในที่จอดรถลูกค้าระดับวีไอพีอย่างเงียบๆ
รถสปอร์ตไฟฟ้าหรูหราคันนี้เป็นรถปอร์เช่รุ่นใหม่ที่เพิ่งออกตลาดมาในปีนี้ ตัวรถเป็นแหล่งรวมนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เพิ่งออกมาใหม่ล่าสุด การชาร์จไฟครั้งเดียวสามารถวิ่งได้ไกลถึง 700 กว่ากิโลเมตร เพิ่มความเร็วด้วยอัตราเร่งตั้งแต่ 0-100 กิโลเมตร ภายในเวลา 3.5 วินาที ราคาของรุ่นมาตรฐานสำหรับรุ่นนี้สูงถึงห้าล้าน!
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือความเงียบ ราวกับเสือดาวที่กำลังซุ่มล่าสัตว์อยู่ในป่า เวลาพุ่งตัวออกไปจับเหยื่อแทบไม่ส่งเสียงและรวดเร็วเหนือคำบรรยาย แอบซ่อนพลังที่ทำให้คนหวาดหวั่น
ดังนั้นเมื่อรุ่น F17 ถูกเปิดตัว ก็เข้าตาบรรดาชายหนุ่มลูกเศรษฐีทั้งหลาย ที่จองคิวไว้ถึงปี 2018
ในเมืองหลวง รถปอร์เช่รุ่น F17 มีอย่างมากไม่ถึง 10 คัน
ประตูสีบรอนซ์เงินเปิดออก คนหนุ่มเรียงตัวกันลงมาจากรถ 5 คน มุ่งหน้าไปที่ประตูลอสบาร์
ชายหนุ่มอายุ 20 ต้นๆ เดินอยู่หน้าสุด ส่วนสูง 175 เซนติเมตร ผมทรงสั้นดูแล้วสดใส เขาสวมชุดสบายๆ สีขาว แต่ดูออกว่ากางเกงยีนส์และรองเท้าถูกสั่งทำขึ้น เพราะไม่มีสัญลักษณ์ยี่ห้อใดๆ
“คุณหลี่ สวัสดียามเย็นครับ!”
พนักงานที่ยืนเฝ้าประตูอยู่โค้งคำนับพร้อมกับผลักเปิดประตูกระจกออก
ชายหนุ่มชุดขาวยื่นแบงก์สีแดงส่งให้ ถามว่า “พวกซาเจียหาวมาหรือยัง พี่เฟนนี่ล่ะ”
พนักงานรับธนบัตรมากำไว้ในมืออย่างคุ้นเคย รีบตอบว่า “พวกคุณซามาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วครับ คุณเฟนนี่มาช้ากว่าหน่อย ทุกท่านอยู่ด้านในแล้วครับ”
ชายหนุ่มชุดขาวพยักหน้า สาวเท้าก้าวยาวเข้าไปในบาร์
“โอ้โห ดูซิว่าใครมา”
เขาเพิ่งเดินเข้ามาถึง ก็ถูกคนเห็นเข้า “นี่ไม่ใช่คุณชายหลี่มู่ไป๋ คุณชายสามแห่งตระกูลหลี่เหรอ”
น้ำเสียงดูถากถาง ยิ่งกว่านั้นคือน้ำเสียงนั้นดังกดข่มไปทั่วบริเวณ เสียงทักทายดังจนคนอื่นโดยรอบได้ยิน “ได้ยินว่าช่วงนี้นายตั้งวงดนตรีขึ้นใหม่? คืนนี้พาพรรคพวกมาเปิดตัวหรือไง”
ผู้ที่ออกมาขวางทางหลี่มู่ไป๋เป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันสวมเสื้อยืดสีดำ การแต่งตัวของเขาดูทันสมัยกว่าฝ่ายแรกมาก บนร่างกายห้อยเครื่องประดับทางศาสนาหลายอย่าง บนหูซ้ายใส่ต่างหูเพชรสามอัน ดูรวมๆ แล้วเป็นแฟชั่นของเกาหลี
ชายหนุ่มมีส่วนสูงไม่เท่าหลี่มู่ไป๋ เวลาพูดจาเขาต้องเชิดหน้าขึ้นสูง ยิ่งทำให้ดูจองหองมากกว่าเดิม
หลี่มู่ไป๋หัวเราะออกมา “ซาเจียหาว ฉันตั้งวงดนตรีไม่ได้ไปรบกวนนายสักหน่อย? นายควรเป็นห่วงผู้ออกอากาศสาวคนนั้นของนายจะดีกว่านะ ใช่แล้ว ฉันยังไม่ได้ขอบใจนายเลย ที่ครั้งก่อนแพ้พนันให้ฉันตั้งแสน ฉันจะได้เอาเงินไปแต่งรถใหม่ พื้นรองรถยังไงก็ต้องใช้หนังแกะถึงจะเหยียบสบายเท้า”
ชายใส่เสื้อยืดสีดำหรือซาเจียหาว คือคนที่ลงพนันกับหลี่มู่ไป๋ในชื่อว่าอาลซัสเมื่อครั้งการแข่งขันแสดงในเว็บไซต์ ‘จิงอวี๋ทีวี’ เนื่องจากลู่เฉินที่หลี่มู่ไป๋ให้การสนับสนุนชนะเลิศเป็นอันดับที่สอง เขาจึงเป็นผู้ชนะพนัน
ส่วนความสัมพันธ์ของซาเจียหาวกับผู้ออกอากาศสาวอวี่เก๋อเก๋อที่เขาให้การสนับสนุนนั้น หลี่มู่ไป๋พอรู้มาบ้าง!
“ฉันไม่รู้ว่านายพูดถึงเรื่องอะไร!”
ซาเจียหาวสะดุ้งเหมือนแมวถูกเหยียบหาง เขามองหญิงสาวสองคนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างมีพิรุธ แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “แสนหนึ่งแค่จิ๊บจ๊อย ยังไม่พอค่าอาหารมื้อหนึ่งของฉันเลย มีแต่นายเท่านั้นแหละที่เห็นว่าแพง เฮอะ!”
หลี่มู่ไป๋ขี้เกียจสนใจเขาอีก หันไปต้อนรับหญิงสาวที่มุ่งตรงเข้ามา “พี่เฟนนี่!”
หญิงสาวที่ชื่อเฟนนี่คนนี้มีหน้าตาสวยงามโดดเด่น ผมยาวสลวยคลอเคลียบนบ่าขาวผ่อง เสื้อผ้ายี่ห้อแชนแนลคอลเลคชั่นฤดูร้อนทั้งชุดมองดูแล้วอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม ดวงตาเป็นประกายที่พร้อมสะกดวิญญาณราวกับกำลังบอกอะไรบางอย่าง
“พวกนายสองคน ทำไมชอบเถียงกันทุกครั้งที่เจอ”
เธอตำหนิ “ขืนเป็นแบบนี้อีก ฉันกับเสี่ยวชิ่งจะไปแล้ว ให้พวกนายเล่นกันเอง!”
หลี่มู่ไป๋รีบยกมือสองข้าง “ผมผิดไปแล้วครับ ผมจะไม่ทะเลาะกับเจ้าปัญญาอ่อนนั่นอีก”
“นายว่าใครปัญญาอ่อน?”
ซาเจียหาวด้านหลังกระโดดขึ้นมา ถลึงตาให้หลี่มู่ไป๋อย่างดุดัน
หลี่มู่ไป๋ยิ้มแหย แสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาตำหนิที่เฟนนี่ส่งมา และหันไปทักทายกับสาวน้อยอีกคนที่อยู่ข้างเธอแทน “น้องเสี่ยวชิ่ง ไม่เจอกันตั้งนาน เธอกลับมาครั้งนี้ ยังจะไปอเมริกาอีกไหม”
สาวน้อยอายุประมาณสิบแปดปี เธอแต่งหน้าโทนสีแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูเหมือนแวมไพร์ผีดูดเลือดในตำนาน
เธอน่าจะสวยมาก แต่เสียดายที่แต่งหน้าจัดจ้านกลบเกลื่อนความเยาว์วัยไปหมด ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเธอแปลกประหลาด เหมือนมีรัศมีแห่งความหม่นมัวเปล่งออกมา
“ฉันชื่อเฉินเชี่ยน!”
แวมไพร์สาวเหลือบตามองบนตอบว่า “นายกับฉันไม่ได้สนิทกัน แต่ฉันขอบอกนายไว้ ที่สับปะรังเคแบบนั้น ฉันกับพี่เฟนนี่จะไม่มีทางกลับไปอีกแล้ว นายดีใจไหมล่ะ”
“ดีใจมาก!”
หลี่มู่ไป๋ตอบกลับตามตรง ส่งสายตาอันร้อนแรงจ้องไปที่เฟนนี่
ถ้าในเรื่องความสัมพันธ์ หลี่มู่ไป๋ใกล้ชิดกับเฉินเชี่ยนมากกว่า แต่คนที่เขาชอบจริงๆ คือสาวสวยที่ดูอ่อนโยนตรงหน้า
เฟนนี่ถูกจ้องจนหน้าแดง ยิ่งดูน่าหลงใหลมากกว่าเดิม
“เวรเอ๊ย!”
ซาเจียหาวไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจถึงขีดสุด
เขาอุตส่าห์ประกาศว่าจะจัดงานเลี้ยงในลอสบาร์คืนนี้ เพื่อต้อนรับเฟนนี่ที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ
ผลสุดท้ายกลายเป็นถูกหลี่มู่ไป๋แย่งซีนไปเรียบร้อย เป็นเรื่องที่เขาทนไม่ได้!
แต่พิสูจน์แล้วว่าการโต้เถียงกับหลี่มู่ไป๋เป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุด ซาเจียหาวคิดแผนชั่วร้ายออก จู่ๆ ก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีรูปตัวทีกลางบาร์ พร้อมกับหยุดการแสดงของวงดนตรีที่กำลังบรรเลง
จากนั้นคว้าไมโครโฟนมา พูดเสียงดังว่า “พี่น้องทุกคน คืนนี้ปาร์ตี้ของพวกเราจัดขึ้นเพื่อต้อนรับคุณเฟนนี่กับคุณเฉินเชี่ยนที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ดังนั้นพวกเรายกแก้วขึ้นมาพร้อมกัน ขอให้คุณผู้หญิงสองคนทั้งสาวทั้งสวยตลอดไป!”
“หมดแก้ว!”
หนุ่มสาวในบาร์พากันชูแก้วขึ้น
ค่าสมาชิกในลอสบาร์แพงมากเป็นพิเศษ สมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่มสาว พวกเขามีแวดวงพิเศษเป็นของตัวเองในเมืองหลวง ไม่ใช่ใครก็ได้จะเข้ามา
ไนท์คลับร้านนี้ความจริงแล้วเป็นแหล่งบันเทิงของแวดวงนี้ มักจะจัดงานเลี้ยงฉลองในรูปแบบต่างๆ ผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องกันในแวดวง
สถานะของซาเจียหาวในแวดวงนี้ไม่ได้สูงนัก แต่เป็นคนจัดปาร์ตี้ในคืนนี้ขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงเห็นแก่หน้าเขา
เฟนนี่อมยิ้มจิบคอกเทล
อาศัยจังหวะที่บรรยากาศกำลังดี ซาเจียหาวพูดต่อว่า “ตอนแรกคืนนี้ผมเตรียมรายการแสดงไว้ให้สองสาวหลายอย่าง พอดีว่าหลี่มู่ไป๋คุณชายสามแห่งตระกูลหลี่มาแล้ว ทุกคนรู้ว่าช่วงนี้เขากำลังตั้งวงดนตรี ทั้งยังพานักดนตรีในวงมาด้วย เราเชิญคุณชายหลี่ขึ้นโชว์สักเพลงให้แก่คุณเฟนนี่และคุณเฉินเชี่ยนเป็นยังไง”
“เห็นด้วย!”
คนที่อยู่ในงานส่วนใหญ่รู้เรื่องราวความแค้นเคืองระหว่างหลี่มู่ไป๋และซาเจียหาว คนที่กลัวไม่ได้เห็นความวุ่นวายก็ตะโกนขึ้นมา คิดอยากจะให้พวกเขาต่อยตีกันตรงนี้เสียเลย มีหรือจะไม่เห็นด้วย?
ซาเจียหาวหัวเราะอย่างได้ใจ กล่าวต่อว่า “แต่คุณหลี่ของพวกเราเป็นใคร ถ้าร้องเพลงของคนอื่นคงไม่จริงใจและไม่มีความหมาย! ถ้าอย่างนั้นให้เขาร้องเพลงที่เขาเขียนขึ้นเองเป็นยังไง ทุกคนว่าดีหรือเปล่า”
เขาวางกับดักเอาไว้ตรงนี้!
“ดี!”
ครั้งนี้มีเสียงตอบรับดังกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเส้นสายของหลี่มู่ไป๋จะด้อยกว่า ทุกคนจึงอยากเห็นเขาเป็นตัวตลก แต่คืนนี้แขกที่มาส่วนใหญ่ซาเจียหาวเป็นคนเชิญ จึงมีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายหลังมากกว่า
เฟนนี่ขมวดคิ้ว
เธอรู้ว่าหลี่มู่ไป๋รักสนุก แต่ไม่มีความสามารถด้านดนตรีเลยแม้แต่น้อย
ซาเจียหาวให้หลี่มู่ไป๋ร้องเพลงของตัวเอง นั่นไม่ใช่เป็นการกลั่นแกล้งกันเหรอ?
ตอนที่เธอกำลังจะเอ่ยปากห้าม เฉินเชี่ยนปรบมือขึ้นร้องว่า “ดีสิ ดีสิ หลี่มู่ไป๋นายรีบขึ้นไปสิ!”
สายตาทุกคู่หันไปมองหลี่มู่ไป๋พร้อมกันเป็นตาเดียว!
……………………………………………………………