Perfect Superstar - ตอนที่ 310 คนเกาหลีมาแล้ว
ตอนที่ 310 คนเกาหลีมาแล้ว
ตอนที่ 310 คนเกาหลีมาแล้ว
กลุ่มแฟนคลับของลู่เฉินเริ่มตั้งขึ้นตอนที่เขาออกอากาศสดใน ‘จิงอวี๋ทีวี’
กลุ่มคนที่ชอบดูการออกอากาศสดออนไลน์นั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายติดบ้าน แม้ว่าคนทั่วไปจะประเมิน ‘ชายติดบ้าน’ เอาไว้ไม่สูง หนุ่มแน่น โสด ติดเกม จ่อมจมอยู่กับอินเทอร์เน็ตมานาน ขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เป็นต้น ล้วนเป็นคำตัดสินที่ถูกตีตราไว้บนร่างกายของพวกเขามาแต่ไหนแต่ไร
แต่ในหมู่ชายติดบ้านก็มีคนที่แข็งแกร่ง อย่างพวกนักเทคนิค!
บางทีในความเป็นจริง นักเทคนิคอาจไม่มีความสามารถไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ แต่ในโลกอินเทอร์เน็ต มีความสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ‘ธาตุโลหะหนัก’ คนนั้นประเมินพลังของกลุ่มแฟนคลับลู่เฉินต่ำเกินไป คิดว่าแค่ปลอมตัวเข้ามาก็ไม่มีใครรู้จักแล้ว สุดท้ายถูกสืบค้นจนเจอตัว
ชื่อจริงของ ‘ธาตุโลหะหนัก’ คือ แกวิน เขาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของหลิงเสี่ยวเซียว พวกนักเทคนิคเข้าไปสืบค้นตามเว็บไซต์ต่างๆ ขุดเอาที่มาของเขาออกมาแฉจนเกลี้ยง
เมื่อมีหลักฐานในมือแน่นหนา พวกแฟนคลับของลู่เฉินปล่อยระเบิดจู่โจมบล็อกและบ้านบาร์ของหลิงเสี่ยวเซียวอย่างบ้าคลั่งทันที บางคนถึงขนาดทำ ‘ภาพเนื้อมนุษย์’ ขึ้นมาแปะบนอินเทอร์เน็ต รวบรวมเอาถ้อยคำที่ ‘ธาตุโลหะหนัก’ เยาะเย้ยโจมตีลู่เฉินมาประกอบเข้าด้วยกัน ใช้เป็นอาวุธหนักฟาดหน้าหลิงเสี่ยวเซียว
“ลู่เฉินของพวกเราได้ตั้งสองรางวัล บางคนอิจฉาจนฟันจะร่วงแล้วมั้ง”
“จุ๊ๆ อิจฉาเขาตายเลย วงการบันเทิงนี่คนต่ำทรามมีเยอะ!”
“ใจกล้าพอก็เข้ามาเองสิ ใช้ชื่อของผู้ช่วยได้ยังไง โสมม ชั้นต่ำ น่าไม่อาย!”
“พวกนางมารร้ายใช้วิธีสกปรกแบบนี้ เกลียดที่สุด…”
ผู้คนท่องไปในยุทธภพ มีหรือจะไม่โดนดาบ การด่าทอตอบโต้กันไปมาเป็นเรื่องปกติในวงการบันเทิง ดาราศิลปินใส่ร้ายกันไปมาในอินเทอร์เน็ตก็มีเยอะแยะ แต่น้อยมากที่จะเป็นอย่างหลิงเสี่ยวเซียวที่เข้ามาเยาะเย้ยถึงในบ้านบาร์ของลู่เฉิน
ไม่ผิดหรอก แม้ชื่อไอดีจะเป็นของแกวินผู้ช่วยของหลิงเสี่ยวเซียว แต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นหลิงเสี่ยวเซียวเองที่ลงโพสต์ ทั้งยังแจกแจงหลักฐาน…คำที่ใช้บ่อยในโพสต์ สำนวนภาษา เป็นต้น
เดิมทีแค่การใช้ไอดีคนอื่นออกมาพูดประชดประชันนั้นไม่เป็นไร คนดีก็พูดแขวะเป็นเหมือนกัน แต่ถ้าตัวจริงถูกจับได้ย่อมต้องอับอายมาก
ตอนที่ลู่เฉินกับลู่ซีกำลังเดินทางไปรับประทานอาหารกันอยู่นั้น ลู่ซีได้รับโทรศัพท์จากนักข่าวของสื่อหลายแห่งที่โทรมาขอสัมภาษณ์
นักข่าวบันเทิงจมูกไวกันเหลือกัน เพิ่งเกิดเรื่องในอินเทอร์เน็ต พวกเขาก็มองเห็นทิศทางลม อยากถามความคิดเห็นของลู่เฉิน จะให้ดีที่สุดก็อยากให้เขาด่าทอหลิงเสี่ยวเซียวอย่างเจ็บแสบสักหน่อย ข่าวซุบซิบจะได้เขียนง่ายขึ้น
ดาราทะเลาะกันเป็นเรื่องโปรดปรานของนักข่าวบันเทิง ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายหนึ่งยังเป็นลู่เฉินที่กำลังโด่งดังมาแรงอยู่ในขณะนี้ด้วย!
น่าเสียดายที่ลู่ซีไม่ให้โอกาสพวกเขา ไม่สนว่าคนที่โทรมาเป็นนักข่าวบันเทิงของเว็บไซต์ไหนหรือหนังสือพิมพ์ฉบับไหน เธอล้วนตอบกลับอย่างเป็นทางการและมีมารยาทมาก
“ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้นะคะ” “ไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ค่ะ” “ลู่เฉินกำลังงานยุ่งอยู่ค่ะ”…
การที่ลู่ซีเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ลู่เฉินมากว่าครึ่งปีทำให้เธอฝึกวิชานี้ออกมาได้ พูดคุยตอบโต้กับนักข่าวฝีปากคมพวกนั้นโดยไม่เผยความคิดของตัวเองออกมาเลยสักนิด
แน่นอนว่าหากนักข่าวดันทุรังเขียนข่าวมั่ว ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ การกระทำชั้นต่ำของพวกเขามีแต่คนรังเกียจ!
จนกระทั่งนั่งลงในห้องส่วนตัวเล็กๆ ในร้านอาหาร ในที่สุดมือถือของลู่ซีก็เงียบเสียงลงเสียที
ลู่เฉินเปิดเมนูอาหารพลางถามพี่สาวว่า “คืนนี้อยากกินอะไร เอาสเต็กเนื้อสันในไหม”
“ไม่อยากกินเนื้อ…”
ลู่ซีที่ยังใจสั่นอยู่ตอบว่า “ฉันอ้วนขึ้นมาตั้งหลายกิโลแล้ว เอาข้าวอบทะเลแล้วกัน ของที่นี่ทำได้ไม่เลว”
ลู่เฉินอยากบอกว่าข้าวอบทะเลก็มีสารอาหารสูงมาก แต่ไม่อยากเพิ่มแรงกดดันให้พี่สาว เขาเพิ่งเลือกอาหารได้สองรายการ มือถือของลู่ซีก็ดังขึ้นอีกแล้ว
ลู่เฉินรำคาญ “เวลากินข้าว ปิดมือถือซะ!”
ความสำเร็จทุกอย่างต้องมีข้อแลกเปลี่ยน เมื่อดาราศิลปินส่องแสงทอประกาย สิ่งที่ต้องแลกคือการสูญเสียความสุขแบบคนธรรมดา ทั้งงานทั้งชีวิตประจำวันไม่อาจแยกจากกันได้ ไม่มีเวลาและช่องว่างที่จะทำตามใจอย่างอิสระ
อย่างเขาถือว่ายังดี ตัวเองได้เปลี่ยนมือถือไปนานแล้ว มีเพียงครอบครัวและเพื่อนฝูงที่สนิทเท่านั้นที่ติดต่อเขาได้ ลู่ซีสิน่าสงสาร ต้องรับโทรศัพท์ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น จะกินข้าวอย่างสงบสุขสักมื้อยังไม่ได้
นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มีใครโทรมาเลยจริงๆ แสดงว่าเป็นดาราตกยุคไปแล้ว
แม้เป็นเช่นนี้ พวกนักข่าวบันเทิงก็ยังคงน่ารำคาญ!
“สวัสดีค่ะ สตูดิโอลู่เฉินค่ะ”
ลู่ซีนำโทรศัพท์แนบหู ชูนิ้วชี้มือขวาขึ้นมา บอกว่านี่จะเป็นสายสุดท้าย
เมื่อเธอได้ฟังผู้ที่โทรมาพูดสองประโยค สีหน้าของเธอดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ลู่เฉินเห็นดังนั้นก็วางเมนูอาหารในมือลง
หลังจากพูดคุยกับฝ่ายนั้นไม่กี่ประโยคลู่ซีก็ตัดสายทิ้ง เธอโบกมือถือไปมา ยิ้มเกลื่อนใบหน้าถามเขาว่า “เดาสิว่าใครโทรหาเรา”
ลู่เฉินเหงื่อแตก “จะเดาออกได้ยังไง แต่น่าจะเป็นข่าวดี”
ดูจากสีหน้าของลู่ซีก็รู้แล้ว อีกอย่างเธอยังพูดกับฝ่ายนั้นว่า “ยินดีต้อนรับค่ะ” “พรุ่งนี้พบกันค่ะ” อะไรทำนองนี้ด้วย
น่าจะมีข่าวดีมาส่งถึงหน้าประตู!
ลู่ซีหัวเราะ “ตัวแทนบริษัทเอสพีจีเอนเตอร์เทนเมนต์ของเกาหลีในจีน เขาอยากซื้อลิขสิทธิ์ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’!”
คนเกาหลี?
ลู่เฉินตกตะลึง นี่เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งทีเดียว!
อุตสาหกรรมบันเทิงในประเทศจีนเริ่มก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่แล้ว สื่อและบริษัทบันเทิงจากต่างประเทศต่างจับตามองตลาดอันยิ่งใหญ่นี้ การนำเข้าผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ดนตรี เป็นต้น ล้วนส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของจีนอย่างเกาหลี ที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมอย่างยิ่งยวด กระแสเกาหลีที่เกิดจากละครเกาหลีและศิลปินกลุ่มของเกาหลีเคยกลืนกินจีนไปกว่าครึ่ง ประทับตราหยั่งรากฝังลึกลงในวงการบันเทิงของประเทศจีน
อย่างในช่วงนี้วงการบันเทิงนิยมหนุ่มน้อยหน้าใส เหมือนศิลปินไอดอลที่มีชื่อเสียงของเกาหลี ยังมีระบบเด็กฝึกหัด ระบบผู้จัดการส่วนตัว เป็นต้น หลายอย่างเลียนแบบกฎเกณฑ์และวิธีการมาจากเกาหลี
หลายปีมานี้ ศิลปินมากมายในจีนได้ไปถึงเกาหลีเพื่อฝึกหัด ส่วนดาราเกาหลีมากมายหลั่งไหลเข้ามาในจีนเพื่อขุดทอง
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ คนฉลาดในวงการล้วนออกมาร้องเตือน หรือถึงขั้นต่อต้านกระแสเกาหลี
สรุปคือตอนนี้ยุครุ่งเรืองสุดขีดของเกาหลีได้ผ่านไปแล้ว วงการบันเทิงของจีนมีความสามารถในการเรียนรู้และเลียนแบบแข็งแกร่งมาก เรียนรู้จากคนอื่นแล้ว ย่อมต้องพัฒนาฝีมือของตัวเอง ไม่ยอมให้ผลประโยชน์ไหลออกอยู่ทางเดียว
แต่นี่เป็นเพียงการสร้างรากฐานในประเทศให้มั่นคงเท่านั้น ศิลปินของจีนกลับมีอิทธิพลน้อยมากในเกาหลี ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่ผลิตในประเทศยากมากที่จะถูกนำไปฉายในเกาหลี เพราะตลาดของฝ่ายหลังนั้นเล็กและไม่เปิดรับ มีความคิดต่อต้านผลงานต่างชาติอย่างรุนแรง
ภาพยนตร์หรือละครที่พอจะนำไปฉายในเกาหลีได้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแนวประวัติศาสตร์และสารคดีที่มีคุณภาพการผลิตดีเยี่ยม
บริษัทเอสซีจีเอนเตอร์เทนเมนต์เป็นบริษัทเอเจนซี่ดูแลศิลปินยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเกาหลี ทั้งขนาดและความแข็งแกร่งติดอันดับหนึ่งในสามของวงการ เคยผลักดันให้บริษัทลูกอย่างบริษัทเอชโอพีและเอสซีเข้ามาสู่ตลาดจีนได้ มีนักแต่งเพลงและนักออกแบบท่าเต้นระดับปรมาจารย์อยู่ในสังกัดหลายคน
พูดถึงบริษัทเอสซีจีเอนเตอร์เทนเมนต์ วงการบันเทิงจีนไม่มีใครไม่รู้จัก ตัวแทนของบริษัทในจีนต้องการมาเยี่ยมชมถึงที่ และอยากซื้อลิขสิทธิ์ละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ หากข่าวแพร่ออกไปสามารถเอาไปลงพาดหัวข่าวบันเทิงได้อย่างไม่มีปัญหา!
การโต้กลับกระแสเกาหลีและญี่ปุ่น เป็นความฝันของคนในวงการหลายคน
ตอนที่ลู่เฉินเขียนเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ขึ้นมา ได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้วว่ามีโอกาสจะได้ไปไกลถึงเกาหลี เพราะในโลกแห่งความฝัน เรื่องต้นฉบับของ ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เป็นซีรีย์เกาหลีในตำนานเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เปลี่ยนชื่อตัวละครเลยสักคน โดยแอบซ่อนความปรารถนานี้เอาไว้
ไม่ต้องพูดถึงหลักการใหญ่โต แล้วก็ไม่ต้องเอ่ยถึงการแข่งขันเพื่อชื่อเสียงของประเทศอะไรทั้งนั้น ถ้าเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ สามารถเข้าสู่ตลาดประเทศเกาหลีได้ ก็อาศัยจุดเริ่มต้นนี้ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นได้ ต่อไปก็มุ่งสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างราบรื่น!
พูดอีกอย่างก็คือ ตลาดเกาหลีเป็นตัวทดสอบที่ดีที่สุด หากประสบความสำเร็จ ก็จะได้ผลประโยชน์มหาศาล
ดังนั้นพอได้ข่าวนี้ ลู่เฉินดีใจมาก
บริษัทเอสพีจี บริษัทเคจี และบริษัทหานอี้เป็นบริษัทใหญ่จากเกาหลีที่เข้ามาตั้งสาขาอยู่ในปักกิ่ง บริษัทเอสพีจีเอนเตอร์เทนเมนท์เป็นบริษัทแรกที่ติดต่อเข้ามา แต่ถ้าไม่มา ลู่เฉินคงต้องใช้เส้นสายของเฉินเฟยเอ๋อร์ ติดต่อไปยังสถานีโทรทัศน์เคจีเอสของเกาหลี
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาเจรจาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพราะการขอร้องคนอื่นกับการถูกคนอื่นขอร้องนั้นไม่เหมือนกัน
ลู่ซียิ้ม “ฉันนัดกับฝ่ายนั้นเอาไว้แล้ว พรุ่งนี้เก้าโมงครึ่งพวกเขาจะมาถึง”
ลู่เฉินพยักหน้า “เจรจาดีๆ”
ทั้งสองคนรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ลู่เฉินส่งลู่ซีกลับไปถึงที่พัก แล้วกลับไปที่คอนโดของตัวเอง
เขาโทรศัพท์หาเฉินเฟยเอ๋อร์
เฉินเฟยเอ๋อร์เป็นหนึ่งในดาราไม่กี่คนที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งในเกาหลี เธอเคยร่วมงานคอนเสิร์ตจีน-เกาหลีที่ทางสถานีโทรทัศน์เคจีเอสเป็นผู้จัดอยู่หลายครั้ง เข้าใจสถานการณ์ทางนั้นดีไม่น้อย
พอลู่เฉินเอ่ยถึงเอสพีจี เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะทันที “ฉันรู้ ตัวแทนของเอสพีจีคือปาร์คชงโฮ เขาอยู่ในประเทศจีนมาเกือบสิบปีแล้ว เข้าใจประเทศจีนเป็นอย่างดี!”
ลู่เฉินสะดุดใจ จึงถามต่อ “แล้วคนคนนี้นิสัยเป็นยังไง”
พรุ่งนี้เมื่อพบปะจะต้องเจรจาต่อรอง แม้เขาจะคาดหวังว่าเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ จะได้ไปออกอากาศในเกาหลี แต่จะไม่ยอมเซ็นสัญญาที่ต้องใช้คำว่า ‘อัปยศ’ มาอธิบายโดยเด็ดขาด
เมื่อก่อนมีบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ในประเทศยอมทำสัญญาที่เหมือนให้เปล่าเพื่อผลักดันผลงานไปถึงเกาหลีและญี่ปุ่น ยังจะโปรโมตว่าได้ไปไกลถึงต่างประเทศอย่างภูมิใจ สุดท้ายกลับถูกเปิดโปงจนขายหน้า
ถ้าละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ จะขายออก ต้องไม่ขายราคาถูก!
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดต่อว่า “ฉันเคยคุยกับเขาอยู่หลายครั้ง และเคยได้ยินข่าวมา ตัวแทนแซ่ปาร์คคนนี้รู้สถานการณ์ในประเทศของเราดีมาก นิสัยของเขาค่อนข้างแข็งกร้าว รักษาจุดยืนของตัวเองอย่างมั่นคงไม่สั่นคลอน…”
ฟังเฉินเฟยเอ๋อร์เล่าจบ ลู่เฉินรู้สึกถึงความยากลำบาก…คนคนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่จะเจรจาด้วยง่าย
เฉินเฟยเอ๋อร์เสริมว่า “สายตาของปาร์คชงโฮเฉียบแหลมมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้นานหลายปี ในเมื่อเขาต้องตาละครของเรา แสดงว่าพอเจรจาได้”
“สู้ๆ นะ เจ้าหนุ่ม!”
ลู่เฉินหลุดขำ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นหยอดคำหวานเลี่ยนกับเฉินเฟยเอ๋อร์ต่ออีกสิบกว่านาที
คุยจบ เฉินเฟยเอ๋อร์หวั่นไหวจนเกือบจะแจ้นมาหาเขา
……………………………………….