Perfect Superstar - ตอนที่ 358 แก่แล้วจริงๆ
ตอนที่ 358 แก่แล้วจริงๆ
พักอยู่ในบ้านของลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ห้าวันแล้ว เถียนเถียนจึงออกจากเมืองหลวงกลับไปที่เมืองหังโจว
ตอนที่มาเมืองหลวง เธออยากผ่อนคลายเพื่อหลบหนีความยุ่งยาก แต่ตอนกลับไป เธอหอบความฝันที่อยากจะบุกเบิกกิจการกลับไปด้วย และมุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง
จากคำแนะนำของลู่เฉินและการสนับสนุนของเฉินเฟยเอ๋อร์ เถียนเถียนตัดสินใจจะเปิดบริษัทสื่อแห่งหนึ่ง เน้นด้านการผลิตรายการวาไรตี้และรายการบันเทิง โปรเจกต์แรกของบริษัทก็คือรายการ ‘เดอะวอยซ์ไชน่า’
ด้านลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ก็ลงทุนเงินส่วนหนึ่ง กลายเป็นหุ้นส่วนของบริษัทสื่อแห่งนี้
วันที่ 7 พฤษภาคม ก่อนพิธีเปิดกล้อง ‘ฟูลเฮ้าส์’ หนึ่งวัน ลู่เฉินไปตามคำเชิญของเฉินเจี้ยนหาว เดินทางไปเยี่ยมผู้กำกับใหญ่จางเหวินเทียนที่พักฟื้นอยู่ในเมืองหลวง
จางเหวินเทียนเป็นหนึ่งในตัวแทนผู้กำกับรุ่นที่สามของประเทศ ในปี 1990 เขาเคยกำกับละครฟอร์มยักษ์เรื่อง ‘สามก๊ก’ และ ‘วีรบุรุษเขาเหลียงซาน (ซ้องกั๋ง)’ สร้างสถิติเรตติ้งละครโทรทัศน์ในตอนนั้น
ผู้กำกับใหญ่คนนี้ยังเคยถ่ายทำหนังใหญ่ย้อนยุคหลายเรื่อง เขาถนัดภาพยนตร์แนวประวัติศาสตร์และการทหารได้รับรางวัลเกียรติยศหลายครั้ง เป็นผู้อาวุโสที่มีบารมีสูงส่ง และมีชื่อเสียงโด่งดัง
เมื่อปีที่แล้ว จางเหวินเทียนกำลังเตรียมถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่แนวประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นลู่เฉินได้รับการแนะนำจากเฉินเจี้ยนหาวถึงได้รู้จักผู้กำกับคนนี้ โดยอาศัยเพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง’ จึงได้รับการยอมรับจากอีกฝ่าย และยังได้รับบทบาทเล็กๆ ในภาพยนตร์อีกด้วย
แต่ทว่าเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป ตอนนี้ลู่เฉินไม่ใช่ศิลปินตัวเล็กๆ ที่เพิ่งเดบิวต์เหมือนในตอนแรกอีกต่อไปแล้ว และผลงานหวนคืนวงการของจางเหวินเทียนก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว จนกระทั่งเร็วๆ นี้เกิดข่าวความขัดแย้งกับนักลงทุน เป็นผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องใหม่ต้องถูกยกเลิกไป
จางเหวินเทียนก็เข้าโรงพยาบาลสองสามวันเพราะเหตุนี้ และเรื่องนี้ก็เป็นที่ฮือฮาอย่างมากในวงการ
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผู้กำกับใหญ่คนนี้ปฏิเสธการสัมภาษณ์จากสื่อทั้งหมด กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านของตัวเอง
เฉินเจี้ยนหาวโทรศัพท์ไปหาลู่เฉิน เชิญเขาไปเยี่ยมผู้อาวุโสด้วยกัน
แน่นอนว่าลู่เฉินไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
บ้านของจางเหวินเทียนอยู่ในเขตชุมชนเก่าแก่ เป็นเรือนสี่ประสานตั้งเป็นอิสระ สถานที่พักอาศัยแบบนี้ที่อยู่ในเมืองหลวงกลายเป็นสิ่งที่หาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ราคาขายเกินหนึ่งร้อยล้านหยวนเป็นอย่างน้อย และถึงจะมีเงินแต่ก็หาซื้อไม่ได้
ตอนที่เฉินเจี้ยนหาวกับลู่เฉินมาถึง คนที่เปิดประตูให้ทั้งสองคนกลับเป็นฉินชิง
ลู่เฉินไม่ได้พบหน้าดาวมหาลัยคนนี้พักหนึ่งแล้ว เมื่อปีที่แล้วเขายังไปขอฟังบรรยายที่วิทยาลัยดนตรีแห่งปักกิ่งบ่อยๆ จึงได้พูดคุยกับฉินชิงบ้างเป็นบางครั้ง แต่หลังจากที่เริ่มถ่ายทำละครโทรทัศน์ เขาก็แทบไม่ค่อยได้ไปที่วิทยาลัยดนตรีแล้ว ตอนนี้ยิ่งเจียดเวลายากมาก
ดังนั้นเมื่อเจอหน้าฉินชิง ลู่เฉินจึงรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย เพราะการเรียนของตัวเองถือว่าล้มเลิกกลางคัน
ฉินชิงทักทายทั้งสองคนอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ให้พวกเขาเข้าบ้านและพาไปพบผู้อาวุโส
เดินผ่านลานบ้านที่ผ่านการปรับปรุงตกแต่งใหม่แต่ยังคงกลิ่นอายของความโบราณและความเรียบง่าย มีไผ่เขียวสองสามต้นปลูกอยู่ตามมุมบ้าน ซุ้มเถาองุ่นตรงสวนกลางบ้านมีเก้าอี้หวายตั้งอยู่ จางเหวินเทียนนั่งจิบน้ำชาอยู่บนเก้าอี้หวาย กู่ฉินตัวหนึ่งวางอยู่ข้างๆ
ชายวัยกลางคนตัวอวบอ้วนคนหนึ่งกำลังชงน้ำชาอยู่ สีหน้าของผู้อาวุโสดูแล้วดีขึ้นมาก ใบหน้ามีเลือดฝาดและดูผ่อนคลาย ให้ความรู้สึกแบบคนไม่สนโลกและผ่อนคลายสบายๆ
เมื่อเห็นลู่เฉินกับเฉินเจี้ยนหาวสองคน จางเหวินเทียนไม่ได้ลุกขึ้น แต่พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “นั่งสิ”
ทั้งสองคนมาเยี่ยมแน่นอนว่าได้นัดไว้ล่วงหน้าแล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสคนนี้เกือบจะอยู่ในสถานะถอนตัวออกจากวงการ ยังไม่พูดถึงเรื่องปฏิเสธการสัมภาษณ์ของสื่อ แม้แต่แขกที่มาเยี่ยมเยือนก็ยอมให้เข้าพบน้อยมาก เฉินเจี้ยนหาวถือว่ามีหน้ามีตาพอสมควร
ลู่เฉินก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่า เฉินเจี้ยนหาวกับจางเหวินเทียนมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติอยู่เล็กน้อย เมื่อก่อนก็เคยทำงานในกองถ่ายของคนหลัง ดังนั้นจึงสามารถนั่งพูดคุยต่อหน้าผู้กำกับใหญ่คนนี้ได้บ้าง
“ผู้กำกับจาง สุขภาพของคุณเป็นยังไงบ้างครับ”
ลู่เฉินทักทาย พร้อมกับนำของขวัญที่พกมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา
ถึงแม้บทบาทในภาพยนตร์ใหม่ของจางเหวินเทียนจะไม่มีแล้ว แต่ลู่เฉินก็ยิ่งไม่อาจมาเยี่ยมมือเปล่า เขานำโสมป่าเกาหลีแท้มาด้วยหนึ่งราก มูลค่าเกินหนึ่งแสนหยวน
จางเหวินเทียนก็เป็นคนดูของเป็น เมื่อกวาดตามองแล้ว จึงพูดกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจังว่า “เสี่ยวลู่ นายกำลังตบหน้าฉันเหรอ เรื่องที่ฉันรับปากนายทำไม่สำเร็จ นายยังจะเอาของแพงขนาดนี้มาให้ฉัน”
ลู่เฉินกระอักกระอ่วน “ผู้กำกับจาง คุณอย่าล้อเล่นกับผู้น้อยสิครับ ผู้น้อยรับไม่ไหว วันนี้ผมอยากมาเยี่ยมคุณ ไม่มีเจตนาอย่างอื่นจริงๆ ครับ”
จางเหวินเทียนหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้นายคงไม่สนใจบทบาทเล็กๆ แล้วมั้ง ละครโทรทัศน์ที่เป็นนักแสดงนำก็ดังมากในเกาหลี กอบกู้หน้าตาละครจีนได้มาก นั่งสิๆ!”
ของขวัญชิ้นนี้ถือว่าเขารับไว้ด้วยความให้เกียรติ
คนในวงการต่างรู้ว่าจางเหวินเทียนรับของจากคนอื่นน้อยมาก โดยเฉพาะจากพวกศิลปินดารา
ถ้าหากภาพยนตร์เรื่องใหม่ไม่ถูกยกเลิก เขาจะไม่รับของจากลู่เฉินเด็ดขาด ตอนนี้ถือว่าไม่เป็นไร
แค่หาโอกาสคืนน้ำใจให้ลู่เฉินก็ได้แล้ว ด้วยตำแหน่งในวงการของจางเหวินเทียน ถ้าอยากจะช่วยลู่เฉินเล็กๆ น้อยๆ นั้นง่ายมาก ไม่มีปัญหาเลยสักนิด
นี่คือจรรยาบรรณของคนทำหนังรุ่นเก่า
ลู่เฉินนั่งลง แล้วเอ่ยอย่างถ่อมตัวว่า “ผู้กำกับจาง ผมแค่โชคดีเท่านั้นครับ”
เขาคิดไม่ถึงว่าจางเหวินเทียนจะให้ความสนใจตัวเองเช่นนี้
“โชคดีก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ…”
จางเหวินเทียนเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ฉันไม่มีความโชคดีขนาดนั้นแล้ว และตลาดภาพยนตร์ปัจจุบัน…เฮ้อ!”
ครั้งนี้จางเหวินเทียนมีปัญหาขัดแย้งกับนักลงทุนในหนังเรื่องใหม่ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ‘ตลาด’ ฝ่ายนักลงทุนขอให้ผลงานของเขาต้องตอบสนองกระแสนิยมของตลาด ไม่เพียงแต่ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่อง แม้แต่เรื่องนักแสดงก็เข้ามาก้าวก่าย ซึ่งเท่ากับว่าลิดรอนอำนาจส่วนใหญ่ของผู้กำกับคนนี้
จางเหวินเทียนไม่ใช่คนหัวโบราณ เขาก็รู้ถึงลักษณะความสำคัญของตลาด ฝ่ายนักลงทุนลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลต้องการค่าตอบแทนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่พฤติกรรมที่ให้เขาเป็นหุ่นเชิดแบบนี้ทำให้เขารับไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ เช่นนั้นก็ต้องแยกย้าย
จางเหวินเทียนได้รับการโจมตีไม่น้อย เขาคาดหวังกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทำงานก็หนัก ผลสรุปกลับเป็นเพราะปัญหาด้านวิสัยทัศน์จึงทำให้ทุกอย่างล้มเหลว ในใจจึงรู้สึกเสียใจเป็นพิเศษ
ปัจจุบันนี้ตลาดภาพยนตร์ในประเทศขยายใหญ่มากขึ้น ขนาดของรายได้จากตั๋วหนังก็เทียบเท่าอเมริกาผลประโยชน์มหาศาลทำให้ลักษณะจิตใจของนักธุรกิจหุนหันพลันแล่นมากขึ้นทุกวัน ทุกคนอยากได้กำไร อยากได้เงินเร็วๆ จึงมองข้ามแก่นสำคัญของภาพยนตร์
จางเหวินเทียนเจอเรื่องแบบนี้เป็นความบังเอิญ และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากยึดตามคำพูดของคนบางคน เขา ‘ตามกระแสนิยมไม่ทัน’
หลังจากพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านสองสามวัน จางเหวินเทียนจึงคิดได้ ความคิดที่มีต่อภาพยนตร์ก็จืดชืดลงไป
ตอนนี้เขาอายุมากแล้ว ไม่ขาดเงินไม่ขาดชื่อเสียง ถึงเวลาที่ต้องเกษียณแล้ว นั่งดื่มน้ำชาพูดคุยกับเพื่อนสนิทรักษาเนื้อรักษาตัวคือหนทางแห่งความถูกต้อง
ลู่เฉินเพิ่งจะนั่งลง ผู้ชายตัวอวบอ้วนที่อยู่ข้างๆ คนนั้นก็รินน้ำชาให้เขา
ลู่เฉินรีบเอ่ย “ขอบคุณครับ”
เขามองอีกฝ่ายรู้สึกคุ้นหน้ามาก เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน จะต้องไม่ใช่คนที่ไร้ชื่อเสียงแน่นอน
จางเหวินเทียนสังเกตเห็นสายตาของลู่เฉิน จึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “คนนี้เป็นนักเรียนของฉันชื่อวั่นเสี่ยวเฉวียน นายน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง ล่าสุดเพิ่งถูกปล่อยออกมาจากในคุก”
วั่นเสี่ยวเฉวียน!
ลู่เฉินเข้าใจในทันที ไม่แปลกใจเลยที่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา ที่แท้ก็เป็นคนนี้นี่เอง!
วั่นเสี่ยวเฉวียนก็เป็นผู้กำกับคนหนึ่ง ในประเทศถือว่าเป็นผู้กำกับรุ่นที่ห้า เขาเรียนจบจากวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งสาขาการกำกับการแสดง เคยถ่ายทำละครและภาพยนตร์เรื่อง ‘เรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ’ ‘ตำนานนางพญางูขาว’ ‘ตำนานซิยิ่นกุ้ย’ และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง ถือว่ามีชื่อเสียงในวงการระดับหนึ่ง
แต่เขามีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ นิสัยไม่ดีของเขา
ด่านักแสดง ด่าโปรดิวเซอร์ ด่าคนเขียนบท ด่านักลงทุน…ตอนที่วั่นเสี่ยวเฉวียนถ่ายหนังมีเรื่องแบบนี้ไม่น้อยมักจะด่ากับสื่อเป็นประจำ ความสัมพันธ์กับสื่อจึงแย่มาก
คำวิจารณ์ที่คนในวงการมีต่อเขาคือ เก่งมีความสามารถแต่เจ้าอารมณ์!
ปลายปี 2014 วั่นเสี่ยวเฉวียนทะเลาะวิวาทกับคนในกองถ่าย ตบอีกฝ่ายจนสมองกระทบกระเทือนและหูซ้ายหนวก ผลปรากฏว่านอกจากต้องชดใช้ค่าเสียหาย ยังถูกลงโทษเพราะจงใจทำร้ายอีกฝ่าย ถูกตัดสินให้จำคุกครึ่งปี
สำหรับวั่นเสี่ยวเฉวียน นี่คือการโจมตีที่หนักมากอย่างไม่ต้องสงสัย ภรรยาของเขาก็หย่ากับเขา สมาคมผู้กำกับก็ลบชื่อของเขาออกไป อนาคตพัง!
คราวที่แล้วหวังปินถูกจับเพราะเสพยา ในบล็อกมีคนเอ่ยขำๆ ว่าภาพยนตร์เรื่อง ‘คุกไฟ’ มีแม่ทัพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว และหนึ่งในนั้นก็มีคนพูดถึงวั่นเสี่ยวเฉวียนด้วย…ตอนนั้นเขายังนั่งอยู่ในคุกอยู่เลย!
แต่เมื่อเทียบกับดาราคนดังถูกจับเพราะเสพยา ค้าประเวณี เมาแล้วขับ คนในวงการให้คำวิจารณ์ที่ดีต่อวั่นเสี่ยวเฉวียนไม่น้อย เนื่องจากความเจ้าอารมณ์ของเขาคือเรื่องงานไม่เกี่ยวกับคน และคนนั้นที่ถูกตบก็เพราะมันกวนส้นจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะสร้างผลเสียที่รุนแรงมากขนาดนี้
ลู่เฉินเคยดู ‘ตำนานนางพญางูขาว’ ที่วั่นเสี่ยวเฉวียนถ่ายทำ ผู้กำกับคนนี้มีความคิดและความสามารถที่ยอดเยี่ยมในการถ่ายทำภาพยนตร์แนววิญญาณและปีศาจ ใช้กล้องและสร้างสีสันได้อย่างเหมาะสม ถือว่าเป็นคนที่มากความสามารถจริงๆ
ลู่เฉินก็เคยดูข่าวที่เขาติดคุก คิดไม่ถึงว่าตัวเอกของเรื่องนี้จะนั่งอยู่ข้างๆ ตัวเอง
เขารีบยื่นมือไปหาวั่นเสี่ยวเฉวียนทันทีแล้วเอ่ยว่า “ผู้กำกับวั่น สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณครับ!”
วั่นเสี่ยวเฉวียนจับมือกับลู่เฉิน แล้วกล่าวอย่างขมขื่น “อย่าเรียกผมว่าผู้กำกับวั่นเลย ตอนนี้ผมเป็นแค่คนที่ถูกปล่อยออกมาจากคุก ต่อไปคงถ่ายหนังไม่ได้อีกแล้ว!”
สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความขมขื่น แต่สายตานั้นกลับนิ่งสุขุม
เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์ที่ล้มลุกคลุกคลานครั้งนี้ได้ให้บทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่กับเขามาก ทำให้เขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่น้อย
ลู่เฉินส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ผู้กำกับวั่น ด้วยความสามารถของคุณ ต้องมีภาพยนตร์ให้ถ่ายทำมากมายครับ…”
เขาหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าของตัวเองแล้วยื่นด้วยสองมือ “ผมชื่อลู่เฉิน เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง ตอนนี้กำลังถ่ายละครอยู่ หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับคุณนะครับ”
วั่นเสี่ยวเฉวียนรับนามบัตรมา แล้วพูดอย่างเคอะเขินเล็กน้อย “ผมไม่มีนามบัตร เดี๋ยวให้เบอร์โทรศัพท์กับคุณก็แล้วกันครับ”
ลู่เฉินยิ้มพูด “ได้อยู่แล้วครับ!”
ตอนนี้เขากำลังถ่ายทำละครโทรทัศน์อยู่ แต่เป้าหมายที่ไกลกว่านั้นคืออยากถ่ายทำภาพยนตร์ ตำแหน่งของภาพยนตร์ไม่ใช่สิ่งที่ละครโทรทัศน์สามารถเทียบได้ ขนาดของตลาดใหญ่กว่า และอิทธิพลก็สูงกว่า
ดังนั้นลู่เฉินไม่ได้พูดกับวั่นเสี่ยวเฉวียนตามมารยาท อนาคตไม่แน่อาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับคนหลังจริงๆ
เขาจดเบอร์โทรติดต่อของวั่นเสี่ยวเฉวียนเอาไว้แล้ว
จางเหวินเทียนมองดูอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่แก่ชราเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ลู่เฉินเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลวจริงๆ ในวงการมีน้อยมากที่จะเห็นดารารุ่นใหม่ที่โดดเด่นเช่นเขา
ไม่หยิ่ง ไม่ใจร้อน และอ่อนน้อมถ่อมตน ทำงานคล่องมีความชำนาญ แถมยังโดดเด่นไม่เหมือนใคร ข้อดีทุกอย่างรวมอยู่ในตัวคนนี้หมดแล้ว
มองดูลู่เฉิน ผู้กำกับใหญ่จางรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วจริงๆ
…………………………………………………………………………