Perfect Superstar - ตอนที่ 379 หล่อจัง
ตอนที่ 379 หล่อจัง
‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ เป็นภาพยนตร์ย้อนยุคโบราณอิงประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งที่ถ่ายทำเมื่อปีที่แล้ว ได้เชิญซูเปอร์สตาร์แถวหน้าในประเทศหลายคนมาร่วมทัพ หลูจื้อหย่งผู้รับหน้าที่ผู้กำกับก็เป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียง ฉะนั้นถือว่าเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่มีอิทธิพลมากเรื่องหนึ่ง
ตอนนั้น ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ ถ่ายทำที่โรงถ่ายจินหลิง ลู่เฉินเพิ่งถ่ายละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ จบไป และด้วยการแนะนำของจางเต๋อเถ้าแก่ของกานเต๋อบราเธอร์สพิคเจอร์ส เขาจึงได้เป็นนักแสดงรับเชิญรับบทเล็กๆ บทหนึ่ง แสดงเป็นขุนพลคนหนึ่งของแม่ทัพใหญ่นักรบทหารม้าฮั่วชวี่ปิ้ง มีบทพูดแค่สองสามประโยคเท่านั้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ถ่ายทำจนถึงตัดต่อเบื้องหลังใช้เวลาหนึ่งปีกว่า เพื่อให้ออกฉายทันเวลาก่อนที่วันหยุดภาคฤดูร้อนจะมาถึง ประเด็นหลักคือหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับหนังฮอลลีวูด
ตอนที่ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ ฉายรอบปฐมทัศน์ ก็ได้เชิญลู่เฉินมาร่วมพิธีด้วย
เพียงแต่ลู่เฉินไม่สามารถแบ่งเวลาได้ และบทบาทของเขาก็เป็นบทเล็กๆ เท่านั้น หากเข้าไปยืนเบียดอยู่ท่ามกลางนักแสดงนำคงอายน่าดู ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
แต่เนื่องจากเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่ตัวเองได้ ‘แตะวงการภาพยนตร์’ เขายินดีที่จะเสียเงินซื้อตั๋วหนัง
และพาเฉินเฟยเอ๋อร์มาด้วย
จะว่าไปแล้วคู่รักทั่วไป ไปกินข้าวเดินชอปปิงดูหนังด้วยกันเป็นวิธีหาความสุขที่ธรรมดามาก แต่สำหรับลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ เดินชอปปิงและดูหนังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่เพียงแต่ต้องปลอมตัวเท่านั้น แม้แต่ตั๋วหนังก็ยังต้องให้ผู้ช่วยไปซื้อล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเปิดเผยตัวตนและถูกคนห้อมล้อม
ทั้งสองคนเลือกโรงหนังแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เวลาสองทุ่มเริ่มฉาย หนึ่งทุ่มห้าสิบนาทีเข้าไปในโรงหนังแล้วนั่งลงบนที่นั่งคู่รักแถวสุดท้าย
เนื่องจากเป็นช่วงเวลายอดนิยม บวกกับดาราดังหลายคนร่วมแสดง ดังนั้นอัตราการเข้าชมจึงสูงมาก อย่างน้อยก็มากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
เฉินเฟยเอ๋อร์เอียงศีรษะซบไปที่ไหล่ของลู่เฉินเบาๆ แล้วเอ่ยพูดพึมพำว่า “ครั้งสุดท้ายที่ฉันมาดูหนังในโรงน่าจะเมื่อสิบกว่าปีก่อนมั้ง”
ลู่เฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้าหากคุณชอบ ผมสามารถมาดูกับคุณได้บ่อยๆ”
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดจริงจัง “บางครั้งฉันเคยคิดว่า ได้เป็นคนธรรมดาก็คงดีกว่านี้ ไม่ต้องกังวลว่าจะทำตัวผิดๆ ถูกๆ ไม่ต้องใช้ชีวิตที่เหนื่อยขนาดนั้น ได้เจอคนที่ชอบแล้วอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
ลู่เฉินยิ้มแต่ไม่พูด…ถ้าเป็นคนธรรมดาจริงๆ คาดว่าเธอคงไม่ยอม
เว้นเสียแต่ว่าความฮิปสเตอร์จะกำเริบ
ประมาณว่ารู้สึกได้ถึงรอยยิ้มของลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์จึงหยิกเขาเบาๆ “นายดูหนังกับแฟนคราวที่แล้วตั้งแต่เมื่อไร”
คำถามนี้…
ลู่เฉินได้แต่มองซ้ายขวาแล้วว่าเรื่องอื่น “แค่กๆ คุณคอแห้งไหมครับ ผมจะเปิดขวดน้ำให้คุณ”
คำถามนี้ไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ผิด แต่จะลืมตาพูดคำโกหกอย่างเดียวก็ไม่ได้
“เชอะ!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ทำเสียงเชอะไม่พอใจ แต่กลับกอดแขนของเขาไว้ในอ้อมกอดแน่น
ผ่านไปสองสามนาที หนังเริ่มเล่นแล้ว
ฝีมือของผู้กำกับหลูจื้อหย่งถือว่าลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะแนวอิงประวัติศาสตร์ สามารถคุมบังเหียนได้เป็นอย่างดี ภาพดูยิ่งใหญ่อลังการ อุปกรณ์ประกอบฉากศึกษาวิจัยมาเป็นอย่างดี มาตรฐานการใช้เอฟเฟกต์พิเศษเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
หากจะพูดถึงข้อบกพร่อง นั่นก็คือภาพยนตร์ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ มีปัญหาเหมือนกับภาพยนตร์หลายเรื่องที่ผลิตในประเทศ นั่นคือพล็อตเรื่องค่อนข้างอ่อนแอ มีส่วนที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล
เดี๋ยวนี้ลู่เฉินดูหนัง มักคุ้นชินที่จะดูในมุมมองของมืออาชีพ กระทั่งเอาตัวเองเข้าไปเป็นนักแสดงนำพลางครุ่นคิดว่าถ้าหากเป็นตัวเองจะแสดงออกมาอย่างไร เพื่อแสดงให้ดีกว่านี้!
ความคุ้นชินนี้แน่นอนว่าไม่ได้มีตั้งแต่ต้น แต่หลังจากที่ได้ก้าวเข้ามาในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ ความทรงจำในชีวิตของโม่หรานได้ยึดครองตำแหน่งผู้นำในตัวลู่เฉินไปแล้ว
โม่หรานที่อยู่ในโลกของความฝันเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด และเป็นนักแสดงที่มากความสามารถคนหนึ่ง เขาชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ แล้วศึกษาตัวละครในบทอย่างละเอียด ทั้งยังชอบอ่านนิยาย ดูภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ของทั้งในและต่างประเทศ ได้รับประสบการณ์และความรู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจากในนั้น
และความทรงจำของเขา ก็มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อลู่เฉิน ตอนที่เขียน ‘ฟูลเฮ้าส์’ ลู่เฉินได้ปรับปรุงแก้ไขผลงานเดิมอย่างมากมาย แต่ยังคงรักษาเค้าโครงเรื่องของผลงานเดิมเอาไว้ เพิ่มตัวละครและเนื้อเรื่องให้มีสีสันมากขึ้น แก้ไขจุดบกพร่องหลายจุดที่มีอยู่ในผลงานเดิม
ขณะที่ดูภาพยนตร์ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ อยู่ในตอนนี้ เขาก็ยังนึกถึงปัญหาเฉพาะทางของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึมซับอิทธิพลจากความทรงจำของโม่หรานเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
หนังเล่นไปครึ่งหนึ่ง ในที่สุดลู่เฉินก็ปรากฏตัวแล้ว!
เมื่อปีที่แล้ว เพื่อโปรโมตหนัง กองถ่าย ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ เคยปล่อยคลิปวิดีโอฉากที่ยอดเยี่ยมในเรื่องบางส่วนลงในบัญชีทางการ หนึ่งในนั้นเป็นคลิปวิดีโอการแสดงของลู่เฉิน ตอนนั้นแฟนคลับของเขาส่งเสียงสะท้อนกลับไปไม่น้อย
ตอนนั้นฉากค่อนข้าง ‘หยาบ’ ยังไม่มีการเพิ่มเอฟเฟกต์และตัดต่อเบื้องหลัง ผลลัพธ์ที่ได้จะเทียบกับตอนที่ฉายในโรงหนังได้อย่างไร
การปรากฏตัวของลู่เฉินสร้างความสั่นสะเทือนไม่น้อย เผชิญหน้ากับกองทัพซยงหนูขนาดใหญ่นับหมื่นนับพัน เขาบุกเดี่ยวเข้าโจมตีข้าศึกด้วยความเหี้ยมหาญ โรมรันกันอย่างดุเดือดและหาญกล้า บวกกับดนตรีประกอบที่สร้างความเร้าใจและฮึกเหิม ทำให้คนรู้สึกเลือดร้อนพลุ่งพล่าน!
การตอบสนองของผู้ชมในโรงฉายภาพยนตร์ พิสูจน์ให้เห็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมของฉากนี้
“นี่คือลู่เฉินใช่ไหม”
“ใช่ลู่เฉิน เพิ่งเห็นเขาเล่นหนังย้อนยุคโบราณเป็นครั้งแรก น่าสนใจดีนะ”
“หล่อจัง!”
“ฉันเกือบจำไม่ได้”
“เยี่ยม!”
เสียงกระซิบของเหล่าผู้ชมคือคำชมที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนตัวละครที่ลู่เฉินแสดงกำลังต่อสู้ห้ำหั่นกับแม่ทัพของซยงหนู ยิ่งน่าประทับใจและยอดเยี่ยมยิ่งกว่า
แต่ละกระบวนท่า เสียงปะทะของหอกและค้อนที่โจมตีกัน เสียงโห่ร้องของกองทัพนับหมื่น เสียงร้องของม้าศึก…ที่ดังผ่านลำโพงคุณภาพสูงรอบโรงฉายภาพยนตร์ ราวกับกระแสคลื่นที่โหมซัดสาดโจมตีอยู่กลางใจผู้คน
ยามนี้ไม่มีใครพูดแล้ว ทุกคนมองหน้าจอภาพยนตร์อย่างตั้งอกตั้งใจ กลัวว่าจะพลาดฉากเด็ด
บนหน้าจอภาพยนตร์ลู่เฉินสีหน้าเย็นชาสายตาเฉียบคม วาดหอกยาวต่อสู้อย่างองอาจ!
นับตั้งแต่ที่ปรากฏตัวจนถึงฉากต่อสู้ ลู่เฉินแสดงเองทั้งหมด ไม่ได้ใช้นักแสดงแทนใดๆ เพราะฉะนั้นตากล้องจึงสามารถเลือกช็อตได้อย่างอิสระ ภาพถ่ายระยะใกล้ก็ใช้ได้ดีมาก สามารถขับดุนภาพลักษณ์ของตัวละครให้เด่นขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
กระทั่งบดขยี้ฮั่วชวี่ปิ้งที่ออกมาก่อนนี้!
ดวงตาสวยของเฉินเฟยเอ๋อร์เป็นประกายไม่หยุด อดไม่ได้ที่จะกระซิบพูดข้างหูเขา “สามี คุณหล่อจังเลยค่ะ!”
สาวงามอันเป็นที่รักแสดงอารมณ์รักที่ลึกซึ้ง ทำให้ลู่เฉินอดสั่นสะท้านไม่ได้ กุมมือของเธอเอาไว้
นี่เฉินเฉินเฟยเอ๋อร์เรียกเขาว่า ‘สามี’ เป็นครั้งแรกไม่ใช่เหรอ ถึงแม้จะเลี่ยนๆ แต่เขาก็ชอบ!
รู้สึกว่าประสบความสำเร็จมาก
น่าเสียดายที่ลู่เฉินโชว์ความหล่อบนหน้าจอภาพยนตร์ไม่ถึงหนึ่งนาที ในฐานะบทสมทบตัวเล็กๆ ตัวละครของเขาต้องเสียสละอย่างกล้าหาญเมื่อตกอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของกองทัพใหญ่ซยงหนู ไม่ช้าเขาก็ตายอย่างรวดเร็ว
เสียงร้องเสียดายดังระงมทั่วในโรงฉายภาพยนตร์ พวกผู้ชมมีการตอบสนองค่อนข้างมากต่อการตายของตัวละครของเขา
อันที่จริงเพราะอยู่ในหนังลู่เฉินถึงได้มีชีวิตได้นานขนาดนี้ ถ้ายึดตามประวัติศาสตร์อย่างเคร่งครัด ตัวละครของเขาบุกเดี่ยวเข้าโจมตีข้าศึกด้วยความหยิ่งผยอง ต้องถูกลูกธนูยิงจนร่างพรุนคาสนามรบแน่นอน
“น้อยเกินไปแล้ว!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ค่อยพอใจ “น่าจะให้นายมีพื้นที่แสดงความสามารถมากกว่านี้ บทนี้มีศักยภาพมากกว่านั้น”
ลู่เฉินหัวเราะพลางส่ายหน้า
ตอนที่ถ่ายทำ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ ถือว่าเขาเพิ่งจะได้แสดงความสามารถในวงการภาพยนตร์ ถ้าหากไม่ใช่เพราะความบังเอิญ คงไม่มีโอกาสได้เล่นบทตัวประกอบในหนังใหญ่อิงประวัติศาสตร์แบบนี้ด้วยซ้ำ แล้วจะเรื่องมากได้อย่างไรเล่า
อีกอย่างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้มีตัวละครมากมาย ฮั่วชวี่ปิ้งก็ยังเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น ตัวละครเล็กๆอย่างเขาสามารถโผล่หน้าได้ครึ่งนาทีกว่าถือว่าได้รับการปฏิบัติที่ดี ไม่ถูกตัดออกทั้งหมดถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
ภาพยนตร์ยังคงเล่นต่อไป
เฉินเฟยเอ๋อร์ดึงมือของลู่เฉิน ใช้นิ้ววาดเป็นวงกลมกลางฝ่ามือของเขา แล้วเอ่ยว่า “พวกเรากลับโรงแรมกันเถอะ”
เสียงของเธอเบามาก ทั้งหวานทั้งยั่วยวน ลู่เฉินรู้สักคันหัวใจยุบยิบเหมือนมีมดไต่
ถึงแม้เดิมทีตั้งใจจะดูให้จบ แต่เวลานี้ลู่เฉินจะทำตัวเซ่อซ่าไม่ได้ แอบพาเฉินเฟยเอ๋อร์ออกมาจากโรงฉายภาพยนตร์ทันที กลับไปที่โรงแรมใช้ชีวิตในโลกของสองเราอย่างแท้จริง
…
‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ ออกฉายเจ็ดวันทำรายได้ตั๋วหนังเกินหนึ่งร้อยล้านหยวน คนในวงการคาดเดาว่าสุดท้ายน่าจะทำรายได้ประมาณสองร้อยห้าสิบล้านหยวน เมื่อเทียบกับการลงทุน เรื่องรักษาต้นทุนน่าจะไม่มีปัญหา แต่ระดับบล็อกบัสเตอร์น่าจะหมดหวัง
ส่วนลู่เฉินที่ร่วมแสดงภาพยนตร์ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ เป็นเรื่องแรก กลุ่มแฟนคลับของเขาก็เกิดเสียงสะท้อนที่ดังมาก แฟนคลับหลายคนซื้อตั๋วหนังเพื่อสนับสนุนบทบาทของเขา
สุดท้ายพวกแฟนๆ พบว่า ในหนังที่เล่นยาวสองชั่วโมงกว่า ลู่เฉินออกมาแค่ครึ่งนาทีกว่าเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่หนำใจ รู้สึกว่าดูไม่พอก็จบเสียแล้ว
ดังนั้นแฟนคลับหลายคนจึงเรียกร้องอย่างเด่นชัด หวังว่าลู่เฉินจะได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง!
ให้ทุกคนได้ดูสะใจไปเลย!
…………………………………………………………………………