Perfect Superstar - ตอนที่ 403 ไม่โง่
ตอนที่ 403 ไม่โง่
“…ทางที่ลมพัดผ่านยังอีกยาวไกล เรื่องราวของเธอเล่าถึงไหนแล้ว”
ในห้องอัดเสียง ลู่เฉินที่กำลังสวมหูฟังอันใหญ่ร้องเพลง ‘เส้นทางธรรมดา’ ท่อนสุดท้ายจบลง เขาลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง มองเห็นหวังฮุยยกนิ้วโป้งให้เขาผ่านกระจกใส
ลู่เฉินยิ้ม ยกนิ้วโป้งตอบกลับหวังฮุยแล้วถอดหูฟังออก
เขากำลังอัดเสียงเพลงในอัลบั้มที่สองของตัวเอง หลังจากไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว เขาใช้เพลง ‘เส้นทางธรรมดา’ เป็นเพลงหลักของอัลบั้มใหม่ จนถึงตอนนี้ได้สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว คาดว่าปลายเดือนสิงหาคมจะวางตลาดได้
สำหรับลู่เฉิน การได้เข้าห้องอัดอีกครั้งนั้นเป็นความรู้สึกที่ดีมาก
ลู่เฉินในวันนี้ไม่ขาดชื่อเสียงและเงินทอง ทั้งงานและชีวิตยุ่งเหยิงเต็มที่ ทั้งถ่ายละคร งานพรีเซ็นเตอร์ และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ แต่มีเพียงอยู่ในที่แห่งนี้เท่านั้น ถึงทำให้เขาค้นหาความรักและความประทับใจที่มีต่อเสียงเพลงในตอนแรกเริ่มกลับมาได้
ในห้องอัดที่สกัดกั้นเสียงรบกวนได้อย่างมิดชิด ยืนอยู่ในนั้นฟังเสียงเสียงเลือดที่สูบฉีดและเสียงหัวใจของตัวเองเต้น เมื่อทำนองอันคุ้นเคยถูกปล่อยมาทางหูฟัง ก็มีแต่อยากจะเปล่งเสียงร้องตาม
ที่สำคัญที่สุดคือ ที่นี่เป็นห้องอัดของลู่เฉินเอง ไม่มีอะไรต้องระวัง ไม่มีข้อจำกัด สามารถปลดปล่อยได้ตามต้องการ ไล่ตามความสมบูรณ์แบบได้อย่างเต็มที่
ใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองวัน ลู่เฉินก็ตามหาความรู้สึกจนเจอ แต่ละบทเพลงถูกอัดเสียงอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้!
แต่วันนี้เพียงพอแล้ว
“ลำบากนายแล้ว…”
ลู่เฉินเดินออกมาจากห้องอัด พูดกับหวังฮุยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเครื่องปรับแต่งเสียง “คืนนี้ไปที่บิวตี้เวิลด์ ใช้บัตรของฉันรูดได้ตามสบาย!”
บิวตี้เวิลด์เป็นศูนย์อาหารยอดนิยมที่อยู่ใกล้กับศูนย์ศิลปะยุคใหม่ ในนั้นรวบรวมอาหารจากทุกภาคเอาไว้ อาหารอร่อย ราคาไม่แพง ขายดิบขายดี
หลังจากสตูดิโอของลู่เฉินย้ายมาที่นี่ ลู่ซีได้ทำบัตรสมาชิกของบิวตี้เวิลด์ไว้สองใบ และพาทุกคนไปรับประทานอาหารด้วยกันบ่อยๆ ถือเป็นสวัสดิการเล็กๆ น้อยๆ ของสตูดิโอ
หลายวันมานี้หวังฮุยทำงานหนัก ยุ่งอยู่กับงานถึงดึกดื่น แม้ลู่เฉินไม่ได้รีบร้อนที่จะออกอัลบั้มชุดที่สอง แต่สำหรับชายหนุ่มนักเทคนิคอย่างหวังฮุย การว่างจากงานถือเป็นความผิด
หลังจากรับบัตรสมาชิกมาจากลู่เฉิน หวังฮุยกล่าวอย่างเขินๆ ว่า “ขอบคุณครับลูกพี่”
เขาเสริมอีกประโยคว่า “อาทิตย์หน้า…อาทิตย์หน้าจะต้องเสร็จแน่นอน!”
ลู่เฉินหัวเราะ “ความจริงไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น ค่อยๆ ทำไม่เป็นไร พยายามทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”
หวังฮุยเอ่ยโดยไม่หยุดคิด “นั่นมันแหงอยู่แล้ว อัลบั้มนี้ต้องดีกว่า ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ แน่นอน”
อัลบั้มแรกของลู่เฉิน ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ หวังฮุยก็เป็นคนทำให้ แต่ตอนนั้นหวังฮุยใช้อุปกรณ์ในห้องอัดของตัวเอง ซึ่งไม่อาจเทียบกับอุปกรณ์ที่มีอยู่ในตอนนี้ได้
การตกแต่งและอุปกรณ์ในห้องอัดของสตูดิโอลู่เฉินลงทุนไปทั้งหมดเกือบสิบล้านหยวน แม้ยังเทียบไม่ได้กับห้องอัดระดับสุดยอด แต่ก็ถือว่าเป็นห้องอัดที่มีมาตรฐานสูงแห่งหนึ่งในประเทศ
สำหรับหวังฮุยที่หมกมุ่นอยู่กับงานเฉพาะด้าน การให้เขาจัดการดูแลห้องอัดที่สร้างตามความฝันของเขาอย่างอิสระ เหมือนกับหนูที่ตกอยู่ในถังข้าวสาร เขาชอบใจถึงที่สุด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หวังฮุยไม่มีทางเกียจคร้านหรือละเลยงานของตัวเองได้เลย เขาพยายามทำงานให้เต็มที่ที่สุดเพื่อตอบแทนความเชื่อใจและการสนับสนุนของลู่เฉิน
ลู่เฉินหัวเราะพลางตบบ่าหวังฮุยเบาๆ
“ดื่มน้ำหน่อย”
ตอนนั้นเอง น้ำดื่มขวดหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าลู่เฉิน
“ขอบใจ”
ลู่เฉินบิดเปิดฝาขวด ดื่มน้ำลงไปสองอึก ก่อนจะถามว่า “เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
คนที่ยื่นน้ำให้เขาคือหวังจิ้ง
หวังจิ้งเอ่ยตอบพลางขยิบตา “เพิ่งมาถึง พวกโอวหยางอยู่ข้างนอก”
ตอนต้นปีลู่เฉินรับสตูดิโอเนี่ยผานเข้ามา และสร้างวงนิพพานขึ้นมาแทน
วงนิพพานเมื่อมาอยู่ในสตูดิโอลู่เฉินแห่งใหม่แล้ว ภายใต้การจัดการของลู่เฉิน นอกจากงานปกติที่ต้องทำดนตรีประกอบและติดตามเขาไปแสดงตามที่ต่างๆ แล้ว ยังรับงานแสดงที่อื่นด้วย อย่างเช่นบาร์เดย์ลิลลี่
โดยเฉพาะระหว่างที่ลู่เฉินไปถ่ายทำละคร เวลาส่วนใหญ่ของวงนิพพานนอกจากการฝึกซ้อมก็คือการวิ่งรับงานข้างนอก อาศัยสิ่งนี้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ รักษาและฝึกฝนเทคนิคการแสดงให้ดี
ส่วนค่าแรงที่วงนิพพานไปรับงานข้างนอก สตูดิโอลู่เฉินไม่เอาส่วนแบ่ง
แบบนี้ไม่เพียงทำให้วงนิพพานติดตามลู่เฉินอย่างภักดี พวกเขายังมีพัฒนาการที่ชัดเจน คุณภาพของดนตรีประกอบในอัลบั้มใหม่ของลู่เฉินครั้งนี้ดีกว่าอัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ มาก
ในวงนิพพาน หวังจิ้งเป็นจิตวิญญาณของวง เธอเป็นทั้งนักเรียบเรียงเสียงประสาน นักร้องนำ และมือกีตาร์
อัลบั้มใหม่ของลู่เฉินมีหลายเพลงที่ต้องประสานเสียง ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของหวังจิ้ง
ลู่เฉินหัวเราะ “งั้นพอดีเลย พวกนายไปที่บิวตี้เวิลด์พร้อมกันเลย ให้ทุกคนกินกันให้เต็มที่”
หวังจิ้งถาม “แล้วนายไปไหม”
ลู่เฉินส่ายหัว “คืนนี้ฉันนัดเฟยเอ๋อร์ไว้ เธอเพิ่งกลับมา”
หวังจิ้งพยักหน้าเงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “พวกเราเตรียมว่าช่วงนี้จะไม่รับงานนอก ตั้งใจจะซ้อมเพลงของนาย มีหลายเพลงที่ฉันอยากจะเรียบเรียงใหม่อีกครั้งเพื่อให้เหมาะกับการแสดงสดด้วย”
ลู่เฉินมีแผนจะเปิดคอนเสิร์ตของตัวเองตอนปลายปี วงนิพพานย่อมต้องเข้าร่วมด้วย
คอนเสิร์ตของนักร้องถ้าไม่มีวงดนตรีสดประกอบนั้นไม่ค่อยมีให้เห็น ทั้งยังดูโลว์มาก
ลู่เฉินหัวเราะ “ได้สิ อย่างน้อยก็น่าจะเดือนพฤศจิกายนเลยแหละ อ้อใช่ละ…”
เขาถามหวังจิ้งว่า “พวกเธอมีความคิดจะออกซิงเกิลหรืออัลบั้มของวงบ้างไหม”
“หา?”
หวังจิ้งไม่ได้เตรียมใจกับคำถามของลู่เฉิน จึงถูกคำถามนี้ทำให้ตกตะลึง
วงนิพพานออกอัลบั้มของตัวเอง?
แต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าจะเป็นหวังจิ้งหรือสมาชิกคนอื่นในวงนิพพาน ล้วนยอมรับสถานะที่เป็นวงดนตรีของลู่เฉิน แล้วเป็นวงดนตรีมืออาชีพของสตูดิโอ ไม่เคยคิดเรื่องการออกอัลบั้มมาก่อน
เพราะพวกเขาทำงานให้ลู่เฉิน
หวังฮุยตอบสนองเร็วหน่อย ถามอย่างลังเลว่า “ลูกพี่ พวกเรา…พวกเราทำได้เหรอ”
หวังฮุยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงนิพพาน แต่ไม่ใช่สมาชิกประจำ ต้องเวลาที่จำเป็นเท่านั้นถึงจะขึ้นแสดง
ลู่เฉินหัวเราะ “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ในสตูดิโอของเราทำได้ พวกนายลองคิดดูแล้วกัน”
เขาดูเวลา แล้วบอกว่า “ฉันต้องไปแล้ว พวกนายไปกินข้าวกันเถอะ”
หวังจิ้งมองดูเงาเบื้องหลังของลู่เฉินที่จากไป เธอขบริมฝีปาก ดวงตาฉายแววสับสน
หวังฮุยพูดอย่างระมัดระวังว่า “พี่ ความจริง…”
สุดท้ายเขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกหวังจิ้งเขกหัวเข้าทีหนึ่ง “ความจริงอะไร ไปได้แล้ว!”
หวังฮุยน้ำตาคลอ กลืนคำพูดลงคอไปใหม่
เขายังโชคดีที่ไม่ได้พูดออกมา ไม่อย่างนั้นคงจะถูกซ้อมจนน็อกคาที่ไปเลย
หวังฮุยแม้จะเป็นโอตาคุที่ชอบอยู่ติดบ้าน แต่เขาไม่ได้โง่
……………………………………