Perfect Superstar - ตอนที่ 560 ยินดีต้อนรับ
ตอนที่ 560 ยินดีต้อนรับ
งานเลี้ยงฉลองอันรื่นเริงดำเนินไปถึงห้าทุ่มถึงจะเลิกรา แค่แชมเปญอย่างเดียวที่แขกดื่มก็เป็นร้อยขวดแล้ว
ความวุ่นวายผ่านพ้นไป ทีมงาน ‘โปเยโปโลเย’ กลับยังอยู่ต่อ
เพราะขั้นตอนสุดท้ายของงานเลี้ยงฉลองห้าสิบล้านยังไม่เสร็จสิ้น นั่นก็คือการแจกซองแดง!
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์สองคนร่วมกัน ฝ่ายหลังถือกระเป๋าใบหนักๆ เอาไว้อยู่ จากนั้นก็ส่งซองทีละซองให้กับมือทีมงานทีละคน ทั้งผู้กำกับ รองผู้กำกับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิต ช่างกล้อง ช่างไฟ คอสตูม…
แน่นอนว่าขาดไม่ได้คือเหล่านักแสดง
ตอนที่การถ่ายทำ ‘โปเยโปโลเย’ ประสบความยากลำบาก ทีมงานทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ถึงแม้ว่าทีมงานบางคนเลือกที่จะลาออกเพราะกลัวเรื่องเดือดร้อน แต่คนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ต่อ
ลู่เฉินมอบคำสัญญาให้แก่พวกเขาว่า รอจน ‘โปเยโปโลเย’ ลงจอแล้ว เขาจะนำเอาเงิน 10% ที่ได้จากส่วนแบ่งยอดบ็อกซ์ออฟฟิศมาเป็นรางวัลให้กับทีมงานทุกคน ขอบคุณพวกเขาที่พยายามทำงานและยืนหยัดอย่างไม่ทอดทิ้งกัน
แม้จะบอกว่ายังเหลือเวลาอีกนานกว่า ‘โปเยโปโลเย’ จะออกโรง แต่ลู่เฉินก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะจัดงานฉลองขึ้นก่อนเพื่อมอบรางวัลให้กับทุกคน
“ขอบคุณประธานลู่!” “ขอบคุณค่ะบอส!” “ขอบคุณครับเถ้าแก่เนี้ย!”
ทีมงานที่ได้รับอั่งเปาต่างยิ้มแก้มปริ แต่ละคนอดไม่ได้ที่จะแกะซองเปิดออกดู บรรยากาศในงานมีแต่ความชื่นมื่น
หม่าหรงเจินได้รับรางวัลของตัวเอง
ตอนที่เขารับบทเยียนชื่อเสียนั้น เป็นช่วงเวลาที่ตกอับถึงขีดสุด รับบทเป็นนักแสดงประกอบอยู่ในโรงถ่ายไลออนร็อก เกือบจะไม่ได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ ดังนั้นเขาจึงไม่เรียกร้องค่าแรงมากนัก
วันนี้กลับได้รับบทที่โดดเด่น หม่าหรงเจินรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ มีคนเข้ามาหาเขาเพื่อเสนอราคาค่าตัวที่สูง สูงกว่าตอนนั้นหลายสิบเท่า!
ตั้งแต่ ‘โปเยโปโลเย’ ลงโรงฉายจนถึงวันนี้ นอกจากลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์แล้ว คนที่โด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมามีสองคน คนหนึ่งคือเนี่ยหมิงจูที่เล่นเป็นเนี่ยเสี่ยวเชี่ยว อีกคนคือหม่าหรงเจิน
เด็กน้อยหลายคนที่ผู้ปกครองพามาดูหนังเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ แล้วได้รับความประทับใจจากบทเยียนชื่อเสีย กลับบ้านไปก็นำไปเล่นกับเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน ซื้ออาวุธของเล่นมาแล้วตะโกนว่า ‘เฉียนคุนฟ้าดินไร้ขอบเขต’ เป็นสิ่งที่เท่มาก
ในร้านขายของที่ระลึกของโรงภาพยนตร์ โมเดลตุ๊กตารูปเยียนชื่อเสียขายดีมาก ดาบกับยันต์ที่เข้าชุดกันก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีของร้าน
ดังนั้นย่อมแน่นอนว่าคืนนี้อั่งเปาที่เขาได้นั้นจะต้องเป็นซองใหญ่ที่สุด
หลังจากดูยอดเงินบนเช็คแล้ว ในใจของหม่าหรงเจินไม่รู้จะใช้คำใดมาอธิบายความรู้สึกนี้ได้ มือที่ถือเช็คของเขาสั่นน้อยๆ
หม่าหรงเจินไม่ใช่ไม่เคยเห็นเงิน ตอนที่เขากำลังรุ่งโรจน์ ค่าแรงครั้งหนึ่งสูงถึงหลายล้าน เช็คใบนี้ไม่ถือว่าเยอะ
ทว่าสายฝนถูกลมพัดพาไปเสมอ ตอนนี้หม่าหรงเจินเช่าบ้านโกโรโกโสอยู่ในย่านเทียนสุ่ยเหวย ค่าเช่าเดือนละพันกว่าหยวนยังทำให้เขาอัตคัดขัดสน แต่เช็คใบนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาย้ายไปอยู่ในเขตดินแดนใหม่หรือเกาลูนได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องความเป็นอยู่อีกต่อไป
เทียบกับเงินค่าตอบแทนการถ่ายหนังในตอนแรก ลู่เฉินใจกว้างมากเหลือเกิน!
หม่าหรงเจินเข้าวงการมาหลายสิบปี อยู่ในวงการมาหลายสิบปี เคยเจอกับเถ้าแก่มาแล้วทุกรูปแบบ แต่มีไม่กี่คนที่จะมีจิตวิญญาณแบบลู่เฉินที่รักษาคำสัญญาถึงเพียงนี้
ด้วยความเคารพอย่างสูง เขาหาโอกาสพูดคุยกับลู่เฉินเป็นการส่วนตัว
“คุณลู่ ผมขอถามหน่อยครับ ‘โปเยโปโลเย’ จะถ่ายทำภาคต่อไหม”
ภาพยนตร์ที่ขายดีขนาดนี้ ต้องมีการถ่ายทำภาคต่อขึ้นอีกเป็นแน่ หม่าหรงเจินรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของลู่เฉิน ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะให้ค่าตอบแทนเขาสูงกว่าแค่ไหน เขาก็ยังจะเลือกสตูดิโอลู่เฉินเป็นอันดับแรก
ลู่เฉินเข้าใจความหมายของหม่าหรงเจินดี ยิ้มตอบว่า “ต้องอย่างน้อยอีกหลายเดือนถึงจะเริ่มถ่าย ลุงหม่า ถ้ามีคนให้ลุงไปถ่ายหนังในค่าตัวที่สูง ลุงก็รับไว้ได้ ไม่ต้องกังวลทางฝั่งเรา”
“อีกอย่าง…”
นิ่งไปพักหนึ่งแล้วลู่เฉินกล่าวต่อว่า “ภาคต่อนั้นผมเตรียมจะมอบลิขสิทธิ์ให้กับเจียหยางพิคเจอร์ส ดังนั้นเรื่องสัญญาลุงต้องหาผู้จัดการส่วนตัวไปเจรจากับทางฝั่งโน้น ผมเชื่อว่าเถ้าแก่โจวจะไม่ให้คุณเสียเปรียบหรอก”
สำหรับลู่เฉิน ‘โปเยโปโลเย’ ถ่ายทำภาคเดียวก็พอแล้ว ถ้าเขาอยากถ่ายทำเรื่องใหม่ ก็ยังมีเรื่องและคอนเซ็ปต์ให้เลือกอีกตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นต้องติดอยู่ที่เรื่องเดิมเลย
แต่การขายต่อให้กับผู้ร่วมมือทางธุรกิจอย่างเจียหยางพิคเจอร์สกลับเหมาะสมเป็นที่สุด ฝ่ายหลังจะถ่ายทำภาคต่อเป็นอย่างดีเหมือนได้รับสมบัติที่ล้ำค่ามาแน่นอน
หม่าหรงเจินผิดหวังอยู่บ้าง เขาอยากตอบแทนลู่เฉินด้วยใจจริง ยังอยากเซ็นสัญญากับสตูดิโอลู่เฉิน ไม่คิดว่าลู่เฉินจะไม่มีแนวความคิดด้านนี้เลย และไม่ได้อยากได้รับการตอบแทนจากเขา ทั้งยังมอบอิสระอันยิ่งใหญ่ให้เขาด้วย
นี่ทำให้เขาทั้งซาบซึ้งใจทั้งมีแรงกดดัน…น้ำใจที่ติดค้างช่างมากมายเหลือเกิน!
หม่าหรงเจินพูดได้เพียงว่า “ถ้าอย่างนั้นต่อไปคุณลู่ต้องการให้ผมรับใช้บอกผมได้เลย ผมจะมาทันที อย่างอื่นผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรเพื่อตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงของคุณได้!”
ลู่เฉินหัวเราะ “ลุงหม่าพูดเกินไปแล้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยผมจะไม่เกรงใจแน่นอนครับ!”
“อืม!”
หม่าหรงเจินพยักหน้าแรงๆ
แจกจ่ายอั่งเปาเสร็จแล้ว งานเลี้ยงก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ลุงหม่าคนนี้ไม่ง่ายเลยนะ…”
เฉินเฟยเอ๋อร์กับลู่เฉินส่งหม่าหรงเจินกลับไปพร้อมกัน มองดูเบื้องหลังเงาร่างอันโดดเดี่ยว เธอรู้สึกปลงพูดขึ้นว่า “หวังว่าเขาจะตาสว่างพอที่จะหาผู้จัดการส่วนตัวดีๆ สักคน”
ศิลปินดาราถูกผู้จัดการส่วนตัวขูดรีดมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ ผู้จัดการส่วนตัวคนเก่าของหม่าหรงเจินนั้นเป็นชนิดที่เลวอย่างหาได้ยาก แม้ฝ่ายนั้นจะถูกลงโทษอย่างสาสม แต่หม่าหรงเจินก็ต้องล้มลงเพราะเหตุนี้ และตกอับอยู่สิบกว่าปี
“เขาคงอยากเซ็นสัญญากับบริษัทนายนะ?”
ลู่เฉินพยักหน้าให้กับการคาดเดาของเฉินเฟยเอ๋อร์ “น่าจะมีความคิดแบบนี้ น่าเสียดายที่บุคลิกของเขาถูกกำหนดไว้แล้ว ต่อไปคงได้เล่นเป็นบทตัวประกอบ”
ลู่เฉินรู้ดีว่าสำหรับหม่าหรงเจินแล้ว บทเยียนชื่อเสียเป็นจุดสูงสุดในชีวิตการเป็นนักแสดงของเขาแล้ว ต่อไปไม่อาจจะทำให้เกินกว่านี้อีก อนาคตการแสดงของเขาเกรงว่าจะไม่สามารถหลุดพ้นจากภาพลักษณ์ตัวละครเดิมที่เขาทิ้งไว้ให้กับผู้ชม
แม้ลู่เฉินจะแนะนำหม่าหรงเจินให้เซ็นสัญญากับเจียหยางพิคเจอร์สก็ตาม นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขา
“ลู่เฉิน…”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มีเสียงเรียกเสนาะหูดังมาจากด้านหลัง
ลู่เฉินหันหลังกลับไปเห็นเนี่ยหมิงจูกับผู้ช่วยของเธอกำลังเดินมุ่งเข้ามา
เธอหยุดอยู่ตรงหน้าลู่เฉินถามว่า “คุณกับพี่เฟยจะกลับปักกิ่งแล้วหรือคะ”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ใช่ครับ”
ฮ่องกงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเดินเข้าสู่เส้นทางสายภาพยนตร์ของเขา แต่จะไม่ใช่จุดสุดท้ายแน่นอน ที่ปักกิ่งถึงจะเป็นฐานที่มั่นของเขา
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘โปเยโปโลเย’ ได้รับโควตาแผนสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องใหม่ของรัฐบาลแล้ว
จึงถึงเวลาที่จะกลับไปปักกิ่งเพื่อเริ่มแผนการโปรโมตครั้งใหม่แล้ว
เนี่ยหมิงจูเอียงหน้าถามต่อว่า “ถ้าฉันจะไปปักกิ่งด้วย พวกคุณจะต้อนรับฉันไหมคะ”
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์มองหน้ากันแล้วยิ้ม ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ต้อนรับสิ!”
……………………………………