Perfect Superstar - ตอนที่ 633 แบบอย่างของศิลปิน
ตอนที่ 633 แบบอย่างของศิลปิน
575 ล้าน บริษัทเกมเฟยซวิ่นซื้อเว็บไซต์ไคซิน เกม ‘แฮปปี้ฟาร์ม’ เปลี่ยนมือแล้ว!
ข่าวแพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นจุดสนใจของการอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนบนอินเทอร์เน็ตอย่างไม่ต้องสงสัย
ในฐานะที่เป็นบริษัทเล็กๆ ที่เพิ่งก่อตั้งได้แค่ครึ่งปีกว่า บริษัทแฮปปี้เอนเตอร์เทนเมนต์ที่มีทุนจดทะเบียนเพียงห้าล้านหยวนได้สร้างตำนานในโลกธุรกิจแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
เบื้องหลังมากมายถูกตีแผ่ออกมา สิ่งที่ทุกคนพูดถึงมากที่สุดก็ยังคงเป็นผู้ครอบครองบริษัทแฮปปี้เอนเตอร์เทนเมนต์อย่างลู่เฉินนั่นเอง
หลายคนรู้สึกว่าความรู้ของตนนั้นผิดเพี้ยนไปหมด
เขามีชื่อเสียงจากการเป็นนักร้อง ความสามารถและพรสวรรค์ทางดนตรีของเขาได้รับการยอมรับตั้งแต่แรก หลังจากมีชื่อเสียงแล้วก็ยังเขียนบทและเล่นละครเองอีกสองเรื่องซึ่งดังมากๆ หลังจากนั้นก็ยังเปิดตัวภาพยนตร์ที่ทำเงินมากกว่าหนึ่งพันล้าน ความสามารถในการหาเงินช่างน่าอิจฉาริษยาจนเกลียดได้เลย
แต่ใครจะไปคิดว่าการลงทุนของลู่เฉินในอุตสาหกรรมเกมจะมีวิสัยทัศน์ที่เฉียบแหลมเช่นนี้ และคนวงในก็แจ้งข่าวว่าแนวคิดเกม ‘แฮปปี้ฟาร์ม’ นั้นมาจากตัวของลู่เฉินเองนี่แหละ!
ทั้งสูง ทั้งหล่อ ทั้งมีพรสวรรค์ ความสามารถในการลงทุนหาเงินยังเก่งกาจมาก ลู่เฉินที่ยังหนุ่มและยังไม่ได้แต่งงานได้กลายเป็นราชาแห่งเพชรที่ตระการตาที่สุดในวงการบันเทิง
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดล้อเล่นกับเขาเสมอว่า ถ้าเขาย้ายภูมิลำเนาไปฮ่องกงหรือไต้หวันละก็ เดาว่าคงมีหญิงสาวทั้งในวงการและนอกวงการไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรที่ยินดีจะอยู่ในตำแหน่งสะใภ้รองหรือไม่ก็สะใภ้สามด้วยซ้ำ
สำหรับคำพูดอย่างนี้ ลู่เฉินเลือกจะทำหูหนวกตาบอดอย่างคนฉลาด ความหึงหวงของเฉินเฟยเอ๋อร์ก็รุนแรงเช่นกัน
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจทำหูหนวกตาบอดได้
กระแสของเขาตอนนี้มันยิ่งใหญ่มาก เงินที่มาไวอย่างนี้ค่อนข้างลวกมืออยู่หน่อยๆ
จากการพิจารณาอย่างลึกซึ้ง หลังจากลู่เฉินเจรจากับพี่สาวและคนอื่น ๆ แล้ว เงินทุนที่ได้จากการขายเกม ‘แฮปปี้ฟาร์ม’ หลังจากหักภาษีแล้วจะทำการจัดสรรปันส่วน
ประการแรกคือการซื้ออาคารสำนักงานสองชั้นของอาคารเอเชียไซเบอร์ทาวเวอร์ ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ในเขตอุตสาหกรรมไอทีใหม่เขตปินเจียง พื้นที่ทั้งหมด 2,200 ตารางเมตร เพื่อใช้เป็นฐานบัญชาการแห่งใหม่ของบริษัทแฮปปี้เอนเตอร์เทนเมนต์ แล้วเริ่มรับสมัครพนักงานใหม่ๆ
อาคารเอเชียไซเบอร์ทาวเวอร์ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาคารสำคัญแห่งหนึ่งที่มีเอกลักษณ์มากในแวดวงนี้ ราคาของมันแน่นอนว่าไม่เบาเลย บริษัทแฮปปี้เอนเตอร์เทนเมนต์ทุ่มเทไปกว่าเจ็ดสิบล้านสำหรับสิ่งนี้
ลู่เฉินนำเงินปันผลออกมาอีก 150 ล้าน เขาแบ่งเงิน 120 ล้านให้ตนเอง แล้วแบ่งอีก 15 ให้ครอบครัวของเกาเฮ่อ อีก 15 ล้านมอบเป็นรางวัลให้แก่พนักงานทุกคนในบริษัท คนที่ได้น้อยที่สุดก็ยังได้มากถึงหลายหมื่นหยวน เรียกได้ว่าชื่นมื่นกันไปทั่วหน้า
แน่นอนว่า เนื่องจากครั้งก่อนที่ซื้อบ้านเป็นลู่เฉินที่สำรองจ่ายไปก่อน ดังนั้นเงินปันผลของครอบครัวของเกาเฮ่อยังคงกลับคืนสู่มือของลู่เฉิน
ส่วนที่เหลืออีก 270 ล้านถูกใช้เป็นทุนดำเนินงานของบริษัทที่กำลังขยายตัว นำไปลงทุนซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม เพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและโครงการใหม่ๆ
สุดท้าย ลู่เฉินประกาศในบล็อกส่วนตัวของเขาว่าเขาจะบริจาค 100 ล้านให้กับมูลนิธิกองทุนการกุศลเฉินเฟย เพื่อขยายขอบเขตความช่วยเหลือของมูลนิธิ ไม่จำกัดเฉพาะการช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ยากจนอีกต่อไป เพิ่มการสนับสนุนในโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่ยากจนเช่นกัน
การบริจาคอย่างใจกว้างเช่นนี้ดึงดูดความสนใจในวงกว้างทันที
การทำการกุศลของดาราไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ในวงการบันเทิงก็มีนักแสดงมากมายที่มีจิตเมตตาทำการกุศล แต่ว่าคนที่บริจาคหลักร้อยล้านในครั้งเดียว ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ มูลนิธิกองทุนการกุศลเฉินเฟยที่เพิ่งดำเนินการมาได้เพียงหนึ่งปีกว่า ได้สร้างชื่อเสียงที่ดีมากๆ ต่อหน้าสายตาประชาชน การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินก็ชัดเจนโปร่งใส ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่น่าสงสารจำนวนมากได้จริงๆ
เมื่อเทียบกับนักแสดงจำนวนไม่น้อยที่บริจาคเงินอย่างต้องการแสดงให้เห็นว่าทำเท่านั้น หรือเทียบกับองค์กรการกุศลที่เทาๆ เหล่านั้น มูลนิธิกองทุนการกุศลเฉินเฟยที่เฉินเฟยเอ๋อร์และลู่เฉินสร้างมาด้วยกัน เป็นกระแสน้ำที่บริสุทธิ์ใสสะอาดอย่างแน่นอน
วันต่อมาหลังจากที่ลู่เฉินบริจาคเงินไปแล้ว มูลนิธิกองทุนการกุศลเฉินเฟยก็โพสต์รูปเช็คเงินสดมูลค่าหนึ่งร้อยล้านบนบล็อก เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าลู่เฉินไม่ได้กล่าวลอยๆ แต่เป็นการนำเงินจริงๆ ออกมาวางเลย
อย่างนี้ รายได้จากการขายเกม ‘แฮปปี้ฟาร์ม’ ก็ถูกลู่เฉินใช้ไปเกือบหมดแล้ว
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ เผยแพร่ข่าวในหน้าแรกเรื่องการบริจาคเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนของลู่เฉิน ในขณะที่แนะนำเรื่องราวของลู่เฉินอย่างละเอียดนั้น ได้ยกย่องเขาว่าเป็นแบบอย่างสำหรับศิลปินรุ่นเยาว์ในศักราชใหม่
‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ คือหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ การที่ได้รับคำชมเชยและเกียรติยศจากการขึ้นหน้าแรก ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ก็ถือได้ว่าเป็นเกราะปกป้องที่หนามากให้กับลู่เฉินแล้ว สื่อดาษดื่นทั่วไปหากอยากจะป้ายสีเขา ก็คงต้องคิดถึงผลที่ตามมาหน่อยละ
หลังจากที่บทความของ ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ ถูกเผยแพร่ออกไป หลี่มู่หรงที่อยู่ไกลถึงปักกิ่งยังยกหูหาลู่เฉินก่อนเลย ในคำพูดมากมายก็เต็มไปด้วยคำชมเชย
ลูกชายคนโตของตระกูลหลี่เมื่ออยู่ในวงการถือว่าถ่อมตัวมาก ใช้ชีวิตที่ถือว่ากึ่งๆ เก็บตัวอยู่ ลู่เฉินรู้จักหลี่มู่ไป๋ถึงได้มารู้จักพี่ชายคนนี้ในภายหลัง แต่ก็พบเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ปกติแล้วเมื่อตระกูลหลี่ติดต่อกับลู่เฉิน ก็มักจะติดต่อผ่านหลี่มู่ซือและหลี่มู่ไป๋ หลี่มู่หรงมักจะไม่ถามก้าวก่ายเรื่องที่น้องชายและน้องสาวกำลังทำอยู่
ดังนั้นการที่เขายกหูหาลู่เฉินก่อน มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
หลี่มู่หรงเปิดเผยในสายว่า ที่ลู่เฉินได้รับความสนใจอย่างมากจาก ‘หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี’ กระทั่งพูดได้เลยว่าอวยยกใหญ่ ไม่เพียงเพราะว่าลู่เฉินบริจาคไปหนึ่งร้อยล้านหยวน แต่ในฐานะนักแสดง ภาพลักษณ์ของเขาดีมากมาโดยตลอด ไม่เคยมีข่าวเสียหายอะไรเลย แม้แต่ข่าวกอสซิปก็ยังน้อยจนแทบไม่มีเลย
ทุกวันนี้ตลาดบันเทิงในประเทศเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และอุตสาหกรรมบันเทิงก็ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อขอบเขตใหญ่ขึ้น ภาพลักษณ์บางอย่างจะเสียไปก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะดาราดังในยุคปัจจุบันที่มักเสพยา นอกใจ เมาแล้วขับ ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ได้ตำแหน่งมา สร้างข่าวเกินจริงทุกรูปแบบอย่างไม่รู้ถูกผิด ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของวงการบันเทิงในสายตาสาธารณชนแย่ลงเรื่อยๆ
แน่นอนว่าหน่วยงานบริหารระดับประเทศที่เกี่ยวข้องไม่สามารถละเลยเรื่องนี้ได้ จำเป็นต้องขจัดสิ่งสกปรกทำให้น้ำใสสะอาดเสีย แล้วลู่เฉินก็เข้ามาอยู่ในสายตาของผู้บริหารระดับสูงพอดี
เมื่อมีความภาคภูมิใจนี้ในมือ ขอเพียงเขาไม่ก้าวพลาด จะไม่มีอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาในอนาคตของเขาในระดับสูง และเขายังจะได้รับความช่วยเหลือมากมายอีกด้วย
อย่ามองแค่เงินร้อยล้านหยวนที่เขาทุ่มเทไป อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าสิ่งที่เขาจะได้กลับมาย่อมมากกว่าตัวเลขจำนวนนี้
สายของหลี่มู่หรงกับลู่เฉินนี้ยาวนานไปมากกว่าครึ่งชั่วโมง
หลังจากวางสายแล้วเขานั่งคิดอยู่นานโดยลำพัง และเขาก็มีความคิดใหม่เกี่ยวกับเส้นทางอนาคตของตัวเองแล้ว
จวบจนเฉินเฟยเอ๋อร์ที่แต่งตัวเสร็จหมดแล้วเดินเข้ามา “นายเรียบร้อยรึยัง พวกเราควรออกเดินทางได้แล้วนะ”
ลู่เฉินจึงได้สติขึ้นมา เขาลุกขึ้นก่อนจะพูดว่า “เอาละ พวกเราไปกันเถอะ”
เฉินเฟยเอ๋อร์ถามอย่างสงสัยว่า “เมื่อกี้นี้นายกำลังคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนนายใจลอยไปไกลเลย”
ลู่เฉินส่ายหน้าพลางตอบว่า “ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ เดี๋ยวเสี่ยวเสวี่ยจะรอจนร้อนรนไป”
เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอจัดชุดที่ลู่เฉินสวมให้อย่างใส่ใจ หลังจากนั้นก็ยื่นแขนออกไปคล้องแขนเขาเอาไว้
ทั้งสองสบตากันก่อนจะยกยิ้ม ทุกอย่างเข้าใจกันแม้ไม่ต้องพูดจา
………………………………