Perfect Superstar - ตอนที่ 682 ล้มโต๊ะ
ตอนที่ 682 ล้มโต๊ะ
ในห้องรับรองของสำนักงานใหญ่ของเฉินเฟยมีเดีย ลู่เฉินและลู่ซีได้พบกับหวังฮั่นผู้จัดการของอันซิน
เดิมลู่เฉินคิดว่าหวังฮั่นต้องเป็นมืออาชีพที่กล้าแกร่งและเฉลียวฉลาดมากไหวพริบ แต่งตัวแนวสาวออฟฟิศ อาจสวมแว่นตาขอบทอง พูดจาบีบคั้นผู้คน บุคลิกแข็งกระด้าง
แต่เมื่อเห็นตัวจริง เขาถึงได้รู้ว่าที่คิดไว้กับความเป็นจริงต่างกันมาก
หวังฮั่นท่าทางเหมือนเพิ่งจะสามสิบกว่า รูปร่างผอมบางอ้อนแอ้น อย่างมากก็สูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบหกสิบเซนติเมตร และค่อนข้างหน้าตาดีเลย
ผู้หญิงอย่างนี้ ยากที่จะทำให้คนอื่นตั้งป้อมป้องกัน
แต่ลู่เฉินไม่ดูถูกอีกฝ่ายเพราะเรื่องนี้ เธอสามารถทำให้อันซินเชื่อหัวปักหัวปำได้ ต้องมีความสามารถในระดับหนึ่งแน่
หวังฮั่นไม่ได้มาคนเดียว เธอยังมากับชายหนุ่มคนหนึ่ง
ชายในชุดสูทและรองเท้าหนังที่ดูเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริงคนนี้ เขาโกนหนวดเกลี้ยงเกลาและฉีดพ่นโคโลญจน์ใบหน้าหนุ่มของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ เผชิญหน้ากับลู่เฉิน ไม่เพียงแต่เขาจะไม่หวั่น ทั้งยังมีความกระตือรือร้นที่จะลอง
หลังจากผ่านการแนะนำ ลู่เฉินถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายคือรองผู้อำนวยการแผนกนายหน้าของบริษัทเซินเยวี่ยชื่อเกาซาน
วันนี้ลู่ซีอารมณ์ไม่ดีมาก ดังนั้นพูดไปไม่กี่ประโยคก็เข้าเรื่องทันที “คุณหวังคะ ตอนนี้ฉันกับลู่เฉินคุณก็ได้พบแล้ว มีเรื่องอะไรก็พูดตรงๆ ได้เลย”
ลู่ซีเคยคุยกับหวังฮั่นมาแล้วเมื่อคราวอยู่ที่หังโจว เธอไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับแม่ผู้จัดการของอันซินคนนี้มากนัก
หวังฮั่นยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดว่า “ผู้จัดการลู่คะ ครั้งนี้ที่ฉันมาก็เพราะเรื่องการเซ็นสัญญาของคุณอันซิน คุณอันซินที่จริงอยากจะเซ็นสัญญากับบริษัทของคุณนะคะ เธอเคารพคุณลู่เฉินและคุณเฉินเฟยเอ๋อร์มาก ทั้งยังขอบคุณในความช่วยเหลือของคุณทั้งสองที่มีต่อเธออีกด้วย เพียงแต่หวังว่าจะได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรมเท่านั้นเอง”
ลู่ซียิ้มเย็น “คุณคิดว่าสัญญาฉบับก่อนของบริษัทเราไม่ยุติธรรมกับเธอหรือ”
หวังฮั่นยิ้มแผ่วเบาไม่ได้พูดอะไร
แต่เกาซานที่นั่งอยู่ด้านข้างเธอรีบหยิบเอกสารฉบับหนึ่งที่เตรียมไว้แล้วก่อนหน้านี้ออกมา ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ผู้จัดการลู่ พวกเราคิดว่าบริษัทของพวกคุณได้ดูถูกมูลค่าทางธุรกิจของคุณอันซินอย่างรุนแรง สัญญาฉบับเดิมไม่เหมาะกับสถานะของเธอเลย เอกสารประเมินฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า…”
“ขอโทษนะ เอกสารการประเมินของพวกคุณใช้ไม่ได้กับพวกเรา”
เขายังพูดไม่จบ ก็ถูกลู่เฉินตัดบทให้แล้ว “การเซ็นสัญญาคือการสมัครใจทั้งสองฝ่าย เฉินเฟยมีเดียของพวกเราจะไม่บังคับให้ใครเซ็นสัญญาแน่นอน”
“สัญญาฉบับเดิมผมไม่คิดว่ามีอะไรที่เกินไป คุณอันซินรับไม่ได้ อย่างนั้นพวกเราก็ต้องขอแสดงความเสียใจ ผมเชื่อว่าเธอต้องมีทางเลือกที่เหมาะสมกว่าแน่นอน”
“ส่วนที่ว่าช่วยอะไรนั่น…”
ลู่เฉินหัวเราะก่อนจะพูดว่า “ที่จริงคุณอันซินไม่ได้ติดค้างอะไรผมและคุณเฉินเฟยเอ๋อร์ เพราะคุณอันซินเข้าร่วมก็เพียงแค่รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งเท่านั้น ที่เธอได้รับก็เป็นสิ่งที่เธอควรได้ ดังนั้นไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร”
“ดังนั้น ผมคิดว่าพวกเราไม่มีอะไรต้องเจรจากันอีกแล้วละมั้ง”
หวังฮั่นและเกาซานต่างก็ตกตะลึงไปเลย
ทั้งสองนั้นพูดได้เลยว่าเตรียมมากดดันเต็มที่ ทั้งยังมีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาอย่างดี และยังเตรียมที่จะมางัดข้ออย่างร้อนแรงกับทางเฉินเฟยมีเดียด้วย เพื่อเอาผลประโยชน์เข้าสู่ตัวเองให้ได้มากที่สุด
แต่ลู่เฉินนั้นแทบจะไม่เจรจาเลย
ก็เหมือนกับพวกเรามีไพ่ใบหนึ่งเตรียมจะโยนลงบนโต๊ะพนัน เลิกแขนเสื้อขึ้นพร้อมจะสู้สักตั้ง แต่สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามกลับล้มโต๊ะเสียนี่
ความรู้สึกนี้มันไม่ดีเลย สีหน้าของเกาซานดูย่ำแย่มาก “คุณลู่เฉินครับ นี่ไม่ใช่ท่าทีที่เป็นมิตรในการเจรจาเลย คุณอันซินหวังเป็นอย่างมากว่า…”
“เธอก็คือเธอ ผมก็คือผม!”
คำพูดของเกาซานถูกลู่เฉินตัดบทอีกครั้ง “ผมขออวยพรให้เธอมีเส้นทางราบรื่น พวกคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาอีกแล้ว”
แม้ว่าทำอย่างนี้จะดูไม่มีมารยาทเลย แต่ลู่เฉินรู้สึกตลกมาก
ลู่ซีในฐานะตัวแทนของเฉินเฟยมีเดีย เธอปฏิเสธอีกฝ่ายไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่อีกฝ่ายยังคงไม่เลิกรา นี่คงคิดว่ากระแสในอินเทอร์เน็ตจะสามารถบีบบังคับให้เฉินเฟยมีเดียยอมลงให้ละสิ
หรือว่าเซินเยวี่ยคิดว่าเฉินเฟยมีเดียจะขาดอันซินไม่ได้
อย่างนั้นก็ตลกเกินไปแล้ว!
ลู่เฉินไม่รู้เลยว่าพวกเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนมากมาย
สีหน้าของเกาซานดำเมี่ยมเหมือนก้นหม้อ ก่อนจะพูดอย่างไม่โอเคว่า “คุณลู่ คุณคิดดีแล้วหรือ”
ลู่เฉินโบกมือ ทำท่าเหมือนกำลังปัดแมลงวัน “ลาก่อน”
มาจนถึงขั้นนี้แล้ว หนังหน้าของหวังฮั่นและเกาซานต่อให้หนาแค่ไหนก็อยู่ต่อไม่ไหวแล้ว จึงทำได้เพียงลุกขึ้นบอกลาแล้วจากไป
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู หวังฮั่นหยุดเดิน ก่อนจะหันไปพูดกับลู่เฉินว่า “คุณลู่คะ ที่จริงแล้วพวกเรายังเจรจากันได้ เพื่อหาผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจแก่เราทั้งคู่”
ลู่เฉินแม้แต่หนังหน้ายังคร้านจะยก
หวังฮั่นถอนใจ ก่อนจะจากไปอย่างขุ่นเคือง
หลังจากคนของซินเยวี่ยจากไปแล้ว ลู่เฉินก็พูดกับลู่ซีว่า “พี่ครับ พวกเรารีบออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อจัดการมันให้จบสิ้นเสีย หลังจากนั้นก็สแกนเอกสารสัญญาฉบับนั้นแล้วอัปโหลดทันที”
ในเมื่อเจรจาล้มเหลวแล้ว อย่างนั้นก็ตัดเสียให้ขาด เขาเบื่อจะยื้อไปมากับอีกฝ่ายแล้ว
ลู่ซีตอบอย่างไม่คิดเลยว่า “ได้!”
ขณะที่ลู่ซีไปที่แผนกประชาสัมพันธ์เพื่อร่างแถลงการณ์ หวังฮั่นและเกาซานก็กลับไปที่รถของพวกเขา
เกาซานขว้างแฟ้มเอกสารในมือลงบนเบาะหลังอย่างโกรธจัด และพูดอย่างโกรธเคือง “เขาคิดว่าตัวเองเจ๋งมากสินะ ถ้าไม่มีคนขายเนื้อหมู แล้วเราจะต้องกินหมูที่ยังมีขนติดเหรอ”
หวังฮั่นที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ ครุ่นคิดแล้วก็พูดออกมาว่า “ดูเหมือนว่าพวกเราจะประเมินสถานการณ์ผิดไป”
ลู่เฉินทายไว้ไม่ผิด ทางเซินเยวี่ยต้องคิดแน่ๆ ว่าเฉินเฟยมีเดียไม่มีทางยอมแพ้กับเรื่องอันซิน
การคาดการณ์ของพวกเขานั้นอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์ทั่วไปในวงการบันเทิง รายการ ‘เดอะวอยซ์ไชน่า’ มีสตาร์แฟคตอรีมีเดียเป็นผู้ผลิต และเบื้องหลังของสตาร์แฟคตอรีมีเดียก็คือเฉินเฟยมีเดีย ไม่มีเหตุผลที่จะละทิ้งนักร้องที่ตนส่งเสริมมาอย่างเปล่าประโยชน์
บริษัทเซินเยวี่ยมองว่า การไม่บังคับลงนามในสัญญาและอื่นๆ เป็นเพียงแค่ลูกเล่นหนึ่งสำหรับการโปรโมตรายการเท่านั้น เฉินเฟยมีเดียต้องมั่นใจในตัวเองมากแน่ๆ คิดว่าอาศัยเพียงอิทธิพลที่มีต่อผู้เข้าแข่งขันก็จะสามารถชนะได้
พวกเขามองเห็นโอกาสนี้จึงสอดมือเข้ามา เป้าหมายสุดท้ายไม่ใช่การเข้ามาแข่งกับเฉินเฟยมีเดีย แต่เป็นการหาผลประโยชน์ผ่านเฉินเฟยมีเดีย
สืบสาวราวเรื่องถึงแก่นแล้ว อันซินก็เป็นเพียงเครื่องมือที่เซินเยวี่ยใช้นั่นเอง
สถานการณ์บนอินเทอร์เน็ต ก็เพียงเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้เครื่องมือชิ้นนี้เท่านั้น
คิดไม่ถึงเลยว่าเฉินเฟยมีเดียไม่ตกหลุมพราง พวกเขาไม่เห็นความสำคัญของอันซินด้วยซ้ำ ท่าทีไม่สนใจเลย ทำให้หวังฮั่นคิดได้ทันทีว่าตนเองประเมินพลาดไป
แต่ก็อย่างที่เกาซานว่า เซินเยวี่ยและหวังฮั่นก็มีทางเลือกอื่น ทางเฉินเฟยมีเดียไม่ได้ก็ช่าง พวกเขายังหาประโยชน์จากตัวของอันซินได้เหมือนเดิม เพราะยังไงตอนนี้เธอก็มีชื่อเสียงมาก
มองไปที่ตึกสำนักงานใหญ่ของเฉินเฟยเสียหนึ่งที หวังฮั่นสั่งการว่า “ไปเถอะ พวกเรากลับไปที่โรงแรม”
ต่อไป เธอต้องโน้มน้าวให้อันซินไปเจรจากับบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์อื่นให้ได้
เงื่อนไขที่คนอื่นเสนอมา จริงใจกว่าเฉินเฟยมีเดียเยอะ!
………………………………