Perfect Superstar - ตอนที่ 757 ชุมนุมกันพร้อมหน้าด้วยความปีติยินดี
ตอนที่ 757 ชุมนุมกันพร้อมหน้าด้วยความปีติยินดี
สถานที่ที่ถงซินเหยาเลี้ยงข้าว เป็นร้านอาหารในบ้านแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘บ้านต่ง’
สองสามปีที่ผ่านมานี้ ร้านอาหารในบ้านเป็นที่โปรดปรานของนักกินมาก สิ่งที่เรียกว่าร้านอาหารในบ้านก็เหมือนตามชื่อคืออาหารที่ทำขึ้นมาแบบส่วนตัว อาหารในบ้านแบบส่วนตัว ก็คืออยู่ในบ้านของคนอื่นกินเมนูรสเลิศที่ทำจากเจ้าของบ้าน
ร้านอาหารในบ้านแบบดั้งเดิมโดยทั่วไปจะไม่มีป้ายหน้าร้าน ไม่มีเมนูตายตัว กระทั่งไม่มีพนักงานโดยเฉพาะ แต่วิธีการปรุงอาหารมักจะได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และมีจำนวนจำกัด ไม่สามารถหากินได้ตามร้านอาหารในท้องตลาด
แน่นอนว่าร้านอาหารในบ้านระดับไฮเอนด์มีราคาสูงมาก และโดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องจองล่วงหน้านานมาก ร้านอาหารในบ้านชั้นนำบางแห่งจะทำอาหารเพียงโต๊ะเดียวต่อหนึ่งวัน คิวจองล่วงหน้ายาวถึงครึ่งปีแล้ว การจองแบบกะทันหันไม่สามารถทำได้อย่างสิ้นเชิง
แต่ถงซินเหยาเพิ่งเลี้ยงข้าวเป็นครั้งแรก และยังเลี้ยงข้าวเถ้าแก่ดาราดังทั้งสองคน ดังนั้นหมิ่นลี่ที่ช่วยวางแผนให้เธอได้ใช้ทุกวิถีทาง ใช้เส้นสายอย่างเต็มที่ตามหาเจ้าของร้านอาหารบ้านต่งจนเจอ เป็นอันว่าสมดั่งปรารถนา
อันที่จริงโรงแรมระดับห้าดาวในเมืองหลวงมีเยอะแยะเต็มไปหมด เรื่องกินข้าวไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเลยด้วยซ้ำ แต่หมิ่นลี่คิดว่าแสดงออกถึงความจริงใจของถงซินเหยาน้อยไป นี่จึงเป็นตัวเลือกสุดท้ายอย่างช่วยไม่ได้
ร้านอาหารบ้านต่งนี้แห่งนี้ซ่อนอยู่ในลานบ้านส่วนตัวในซอยหนานเจีย สิ่งที่กระทบเข้าตาคืออิฐสีเขียวกับกำแพงสีขาวที่ถูกล้อมรอบด้วยพรรณไม้ สภาพแวดล้อมสง่างามหรูหรามาก
ลู่เฉินเอ่ยชมว่า “ซินเหยาเก่งมาก เลือกสถานที่ได้ดี”
เฉินเฟยเอ๋อร์พยักหน้า “สามารถจองโต๊ะล่วงหน้ากะทันหันได้ ซินเหยาตั้งใจมาก…”
เธออาศัยอยู่ในเมืองหลวงมานาน คุ้นชินกับร้านอาหารในบ้านเป็นอย่างดี รู้ถึงความยากของการจองโต๊ะกะทันหัน เดาว่าน่าจะเป็นเพราะถงซินเหยาโชคดี เจอลูกค้ายกเลิกจองหรือไม่ก็เพิ่มที่นั่ง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ง่ายเลย
ถงซินเหยาหน้าแดง “ฉันก็ไม่เข้าใจค่ะ พี่ลี่เป็นคนช่วยจองทั้งหมดค่ะ”
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์มองหน้ากันแล้วยิ้ม
ทั้งสองคนชอบนิสัยของถงซินเหยามาก ถึงแม้ครอบครับจะมีฐานะร่ำรวย แต่ไม่เคยทำนิสัยลูกคุณหนูเอาแต่ใจเป็นเด็กรู้ความว่านอนสอนง่าย ถึงแม้ตอนนี้จะดังแล้ว ทว่าไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อนเลย
หมิ่นลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ฉันไม่กล้ารับความดีความชอบนี้หรอกค่ะ เจ้าของร้านได้ยินว่าผู้อำนวยการลู่กับผู้อำนวยการเฉินสองดาราดังมาเยือน ดังนั้นจึงยินดีต้อนรับเปิดที่นั่งให้เป็นพิเศษ”
ลู่เฉินหัวเราะ ลู่ซีหาผู้ช่วยส่วนตัวคนนี้มาให้ถงซินเหยา นับว่าเลือกได้ถูกคนมาก
ประตูร้านปิดอยู่ หมิ่นลี่เดินไปเคาะมือจับประตูรูปหัวสิงโตเบาๆ ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูให้จากด้านใน
คนที่เปิดประตูให้มีรูปร่างอ้วนท้วน หัวกลมดิก เมื่อเห็นลู่เฉินและคนอื่นๆ ยืนอยู่หน้าประตู ดวงตาเล็กคู่นั้นพลันยิ้มเป็นสระอิ ยกมือทั้งสองประสานไว้ที่หน้าอกยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อครู่ได้ยินนกสี่เชวี่ยร้อง จึงรู้ว่ามีแขกมา ทุกท่านมาที่ร้านของผม รู้สึกเป็นเกียรติแก่ร้านเล็กๆ ของผมมากครับ!”
สำเนียงปักกิ่งพูดได้อย่างคล่องแคล่ว รอยยิ้มพิมพ์ใจนอบน้อม ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจ
หมิ่นลี่ถามว่า “คุณคือเถ้าแก่ต่งใช่ไหมคะ”
“ถูกต้องแล้วครับ…”
คนอ้วนหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “คุณคือพี่ลี่ใช่ไหมครับ ทุกท่านเชิญทางนี้ครับ”
ภายใต้การเดินนำของเขา ทุกคนเดินข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปตามทางเดินเล็กๆ ที่ปูด้วยหิน กลิ่นหอมสดชื่นของดอกมะลิปะทะจมูก รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
สิ่งที่ผ่านม่านตาเข้ามาเป็นอย่างแรกคือลานบ้านที่สะอาดหรูหรา โต๊ะและเก้าอี้สองสามชุดกับศาลาถูกคลุมด้วยผ้าม่านสีขาว ปลิวสะบัดร่ายรำมองเห็นเลือนราง ห้องปีกข้างซ้ายขวาแบ่งเป็นห้องส่วนตัวอีกหลายห้อง ทั้งหมดตกแต่งโดยผสมผสานกันระหว่างสไตล์จีนและตะวันตก หรูหรามีสไตล์
ลู่เฉินและคนอื่นๆ เข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งในนั้น ภายในปรับอุณหภูมิไว้พอดิบพอดี ชุดชามและตะเกียบรวมทั้งอาหารจานเย็นได้จัดไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว รอแต่พวกเขาเข้าไปนั่ง
คนอ้วนเป็นคนจัดการอาหารและเครื่องดื่มด้วยตัวเอง ร้านอาหารในบ้านแบบนี้ไม่ต้องสั่งอาหาร นับแค่จำนวนคนเท่านั้น เชฟทำอะไรทุกคนก็กินแบบนั้น รสชาติและฝีมือถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง รับรองว่าไม่ทำให้ลูกค้าผิดหวัง
ถ้าหากลูกค้าผิดหวัง ก็คงเปิดร้านต่อไม่ได้แล้ว
เย็นนี้ถึงแม้ถงซินเหยาจะเป็นคนเลี้ยงข้าว แต่ลู่เฉินเป็นเจ้ามือเอง นอกจากเชิญนักข่าวถานหลิงของ ‘พีเพิลส์มิวสิค’ แล้ว ยังเชิญถานหงและครอบครัวมากินข้าวด้วยกัน
ถานหงตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทาง แต่ทางนี้ก็มีหกคนแล้ว ถงซินเหยาได้เชิญลู่ซีมาอีกด้วย
การสัมภาษณ์สองสามชั่วโมงในตอนบ่าย ดูเหมือนถานหลิงยังติดใจอยู่ จึงพูดคุยกับลู่เฉินอีก แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาไม่ได้เป็นทางการเหมือนตอนแรก แต่ไม่ออกห่างจากหัวข้อเดิมนัก
จริงๆ แล้วหัวข้อเรื่องดนตรีป็อปและดนตรีพื้นบ้าน มากพอที่จะเขียนเป็นตำราเล่มหนาเตอะ ย้อนกลับไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หากพูดกันขึ้นมาจริงๆ คุยกันสองสามวันก็ไม่จบ
เฉินเฟยเอ๋อร์ฟังแล้วรู้สึกน่าสนใจ จึงเข้าร่วมวงสนทนาด้วยเช่นกัน
ลู่ซีกับหมิ่นลี่คุยเรื่องเดินสายโปรโมตทั่วประเทศของถงซินเหยา บรรยากาศในห้องส่วนตัวดูคึกคักมาก
ไม่นานนัก ถานหงก็พาภรรยาและลูกสาวคนเล็กมาแล้ว
“พี่เฟยเอ๋อร์!”
ถานหงแต่งงานเร็วมาก ซ่งหว่านหลิ่วภรรยาของเขาก็เป็นแฟนคนแรกของเขา ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาทั้งสองคนต่างช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน ความรักที่ลึกซึ้งเรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างของคนในวงการ มีลูกชายและลูกสาวด้วยกันสองคน
ลูกชายของถานหงตอนนี้เรียนอยู่ที่ต่างประเทศ ถานเจียหว่านลูกสาวคนเล็กของถานหงเพิ่งอายุเจ็ดขวบ เป็นวัยที่ร่าเริงสดใสไร้เดียงสาอย่างแท้จริง เมื่อเห็นเฉินเฟยเอ๋อร์จึงโผเข้าหาทันที “หนูคิดถึงพี่จังเลยค่ะ!”
“พี่ก็คิดถึงหนูเหมือนกันค่ะ…”
เฉินเฟยเอ๋อร์อุ้มเธอขึ้นมา หอมใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ
เฉินเฟยเอ๋อร์รู้จักกับถานหงมาหลายปี คุ้นเคยกับครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี และชอบสาวน้อยคนนี้เป็นที่สุด
“พี่ถาน พี่สะใภ้…”
ลู่เฉินบ่นกับถานหง “ตอนนี้เชิญพี่ไม่ง่ายเลยนะครับ วันนี้โชคดีว่ามีนักข่าวถานหลิงอยู่ด้วย”
เดิมทีถานหงบอกว่าไม่มา จนต้องให้ถานหลิงเป็นคนออกโรง
ซ่งหว่านหลิ่วยิ้มเอ่ยว่า “เขาคนนี้ ตอนนี้กลายเป็นตาแก่ติดบ้านไปแล้วค่ะ ไม่อยากไปไหนเลย!”
ถานหงเกิดในยุค 70 ถือว่าอายุไม่เยอะมาก แต่เขาพูดว่าจะเกษียณก็เกษียณเลย ออกห่างจากวงการบันเทิงอย่างแท้จริง
ถานเจียหว่านบ่นว่า “ใช่ค่ะ คุณแม่บอกว่าคุณพ่อขี้เกียจที่สุด!”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
ลู่เฉินยื่นสองมือไปหาถานเจียหว่าน “เสี่ยวหว่าน ไม่เจอกันนานเลย ขอพี่อุ้มหน่อยครับ”
เขากับครอบครัวของถานหงรู้จักกันแต่เจอกันน้อยมาก ทว่าเขาก็รักถานเจียหว่านมากเหมือนกัน
“ไม่เอา!”
ถานเจียหว่านหันหน้าหนีทันที “คุณแม่บอกว่าเป็นผู้หญิงจะให้ผู้ชายอุ้มง่ายๆ ไม่ได้ค่ะ!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม
ลู่เฉินลูบจมูกอย่างขมขื่น เอ่ยว่า “คุณแม่ของหนูพูดถูกมาก…”
เขาแนะนำให้ถานหงรู้จัก “คนนี้คือถงซินเหยาที่อยู่ในบริษัทของผม เย็นนี้เธอเป็นคนเลี้ยงข้าวครับ”
ถานหงพยักหน้าเล็กน้อยเอ่ยว่า “สวัสดีครับ”
ถงซินเหยาพูดติดอ่างอยู่บ้าง “อะ…อาจารย์ถานสวัสดีค่ะ ขอคำชี้แนะเยอะๆ ด้วยนะคะ!”
เธอรู้ว่าถานหงจะมา แต่เมื่อได้เจอตัวจริงกลับรู้สึกตื่นเต้นมาก โน้มตัวทำความเคารพอย่างช่วยไม่ได้
ถานหงหัวเราะเอ่ยว่า “ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น พวกเรานั่งคุยกันเถอะ”
ดังนั้นทุกคนจึงนั่งลง พร้อมกับครอบครัวของถานหงรวมทั้งหมดเก้าที่นั่ง นับว่าเป็นการชุมนุมกันพร้อมหน้าด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง
…………………………………………………………………………