Perfect Superstar - ตอนที่ 850 ถูกซื้อตัวไป
ตอนที่ 850 ถูกซื้อตัวไป
หลี่มู่ซือจบการศึกษาจากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน ไม่ว่าไอคิวหรือหัวคิดทางธุรกิจของเธอนั้นล้วนล้ำหน้ากว่าคนทั่วไปเป็นอย่างมาก สิ่งที่เธอขาดไปมีเพียงแค่การจุดประกายแรงบันดาลใจเท่านั้น เมื่อคิดตามคำแนะนำของลู่เฉิน ความฉลาดเฉียบแหลมที่ฝังอยู่ในตัวเธอก็ปะทุออกมาทันที
“ความคิดนี้ฉันซื้อ…”
ดวงตาของหลี่มู่ซือเต็มไปด้วยเเสงระยิบระยับ เธอไม่มีความลังเลใดๆ “เงื่อนไขแล้วแต่นายเลย”
สิ่งที่เธอพูดกับลู่เฉินก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องล้อเล่น การลงทุนหลายร้อยล้านไปจนถึงหลายพันล้าน มีที่ไหนจะเล่นเป็นเด็กเช่นนี้ แม้ว่าเธอได้ความคิดของลู่เฉินมาแล้วสามารถทิ้งเขาไปทำเองคนเดียวได้ แต่คุณหนูหลี่คนนี้ก็ไม่ได้เป็นคนไร้คุณธรรมขนาดนั้น
ลู่เฉินยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เงื่อนไขเพิ่งจะถูกพี่พูดไปแล้ว ส่วนข้อตกลงอย่างละเอียดพวกพี่ทั้งสามคนตกลงกันเองเถอะ ผมไม่ขอร่วม”
“นายไม่ต้องการถือหุ้นจริงๆ เหรอ”
หลี่มู่ซือรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เธอรู้ดีว่าถ้าหากโครงการนี้สำเร็จจะทำกำไรได้มากแค่ไหน
ตอนนี้คลื่นพลังงานใหม่กำลังเติบโตและพัฒนาอย่างเต็มที่ แนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ซึมลึกเข้าไปในจิตใจของผู้คนแล้ว โครงการจักรยานแชร์ริ่งสอดคล้องตามกระแสความนิยมของยุคสมัยอย่างแท้จริง และมีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก
แต่ทว่าลู่เฉินกลับยกให้เธออย่างง่ายดาย แม้แต่ส่วนแบ่งหุ้นก็ไม่ต้องการ ที่จริงแล้วมันทำให้เธอรู้สึกเหลือเชื่อหน่อยๆ
ลู่เฉินส่ายหัวไปมา “ไม่ต้องจริงๆ พวกพี่ทำกันเพลินๆ เถอะ”
มีความทรงจำมากมายในโลกแห่งความฝันนั้น ไหนจะศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ หากเขาคิดจะหาเงินก็มีความคิดสร้างสรรค์มากมายจริงๆ ในการหาเงิน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ทั้งหมดนั้นเป็นจริง
ที่เสนอไอเดียจักรยานแชร์ริ่งนี้ จริงๆ แล้วก็ที่เพื่อตอบแทนหลี่มู่ซือที่เป็นเสมือนตัวแทนของตระกูลหลี่ ถ้าไม่มีตระกูลหลี่ที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่เป็นที่กันลมกันฝน ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เฉินเฟยมีเดียจะเติบโตในปักกิ่งได้ราบรื่นเช่นนี้
ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ยังต้องเป็นที่พึ่งพาไปอีกนาน ออกความเห็นหน่อยจะเป็นไรไปเล่า
หาผลประโยชน์ให้ลู่ซีและเฉินเฟยเอ๋อร์เสียหน่อยก็ถือเป็นผลพลอยได้แล้วกัน
ในที่สุดหลี่มู่ซือก็แน่ใจว่าลู่เฉินไม่ได้ล้อเล่น เธอพูดกับเฉินเฟยเอ๋อร์อย่างปลงใจว่า “เธอนี่ได้เจอกับสามีที่ดีจริงๆ นะ ขนาดหุ้นหลายร้อยล้านก็ยังไม่ต้องการ”
เฉินเฟยเอ๋อร์เม้มปากหัวเราะเบาๆ ในดวงตาที่มองไปยังลู่เฉินเต็มไปด้วยความรัก
หลี่มู่ซือจู่ๆ ก็รู้สึกอิจฉาเล็กๆ ในใจ เธอส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ไม่เอาก็ไม่เอา ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำกับลู่ซีและเฟยเอ๋อร์ อ่อ ใช่สิ…”
เธอคิดถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้ ก่อนจะคว้าตัวลู่เฉินเอาไว้แล้วพูดว่า “นายคิดชื่อให้ด้วยสิ คงไม่เรียกมันว่าจักรยานแชร์ริ่งใช่ไหม”
ลู่เฉินคิดไปคิดมา แล้วจึงเอาปากกากับกระดาษมาเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัว ‘OFO’
“OFO?” หลี่มู่ซือสงสัย “หมายความว่าอะไร”
ลู่เฉินพูดว่า “พี่ค่อยๆ ดูให้ละเอียด…”
เฉินเฟยเอ๋อร์และลู่ซีได้ฟังก็สงสัย ทั้งคู่เลยหันหัวมาดูว่าลู่เฉินกำลังอุบอิบอะไรเอาไว้
เฉินเฟยเอ๋อร์เหลือบมอง แล้วพูดขึ้นอย่างลังเลว่า “เหมือนจักรยาน?”
ตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัว ‘OFO’ ที่ลู่เฉินเขียนไม่ได้ตรงตามมาตรฐาน ตัว ‘F’ ถูกดึงขึ้นสูงและดัดแปลงรูปร่าง ผสมกับตัว ‘O’ กลมๆ สองตัว คล้ายกับคันจับของจักรยานที่รวมเข้ากับล้อหน้าล้อหลัง ซึ่งนั่นก็คือภาพลักษณ์ของจักรยานทั่วไป
“ถูกต้อง!”
ลู่เฉินยิ้มพร้อมพูดว่า “แต่ไม่มีรางวัลให้นะ พวกเราใช้สิ่งนี้เป็นโลโก้ของจักรยานแชร์ริ่งเถอะ อีกอย่างคำว่า OFOจะเข้าใจว่าเป็น ออนไลน์ ผสมผสาน ออฟไลน์…”
เขาถือโอกาสเขียนภาษาอังกฤษหนึ่งประโยคลงในกระดาษ ‘การผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์!’
“ออนไลน์ ผสมผสาน ออฟไลน์ การผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์…”
หลี่มู่ซืออ่านออกมา แววตาของเธอดูซับซ้อนมากขึ้น ชื่นชม ทอดถอนใจ ตื่นตัว ดีใจ และอารมณ์อื่นๆ ปะปนกันไปหมด เธอจ้องไปที่ลู่เฉินอย่างเงียบๆ “มันน่าเสียดายจริงๆ ที่นายไม่ทำธุรกิจ”
ด้วยพรสวรรค์ด้านธุรกิจของลู่เฉิน รวมกับความแข็งแกร่งของตระกูลหลี่ การสร้างอาณาจักรอาจจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝัน
ลู่เฉินหัวเราะแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลี่มู่ซือตัดความคิดอื่นทิ้งไป พร้อมกับพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ OFO เป็นเครื่องหมายการค้าของจักรยานแชร์ริ่ง ฉันจะไปจดทะเบียนความคิดทางการค้าทั้งในและต่างประเทศก่อนเป็นอย่างแรก แล้วค่อยจดทะเบียนบริษัทใหม่ อืม… แล้วก็โลโก้จะต้องได้รับการออกแบบใหม่โดยนักออกแบบที่ดีที่สุดด้วย…”
พอเธอเข้าสู่โหมดหญิงแกร่งอย่างสมบูรณ์แล้ว ความคิดทุกอย่างก็ปะทุออกมา
ก๊อก! ก๊อก!
ในเวลานั้นเองประตูห้องส่วนตัวก็ถูกคนเคาะเบาๆ
หลี่มู่ซือรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะ แต่ก็ยังพูดว่า “เข้ามา”
ประตูห้องถูกเปิดออก พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่มีท่าทีเคร่งครึมเดินเข้ามา “ผู้อำนวยการลู่ ประธานหลี่ คุณเฉิน…”
พอเห็นคนที่เข้ามา หลี่มู่ซือยกยิ้ม “ต้าหย่ง ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ มานั่งเร็ว”
คนที่เพิ่งมาถึงคือวั่นหย่ง
เดิมทีวั่นหย่งเป็นครูฝึกที่สโมสรป๋อรุ่ย แต่ถูกลู่เฉินดึงตัวให้ไปเป็นหัวหน้าทีมตระกูลลู่ ซึ่งได้เข้าร่วมการถ่ายทำเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ เรื่อง ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ และเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ตามลำดับ
ผู้ชายที่มีนิสัยตรงไปตรงมาคนนี้ ตอนนี้ได้กลายมาเป็นผู้ช่วยมือขวาของลู่เฉินแล้ว
ความสัมพันธ์ของเขากับหลี่มู่ซือดีมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนแรกหลี่มู่ซือเป็นคนรับสมัครเขามาด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะมีเรื่องไม่สบายใจ เขายิ้มอย่างฝืนใจก่อนจะพูดว่า “มีเรื่องกวนใจนิดหน่อยครับ…”
ตอนที่กำลังพูด สายตาของเขาก็มองไปที่ลู่เฉิน
ลู่เฉินตกใจก่อนจะพูดออกไปว่า “พี่หย่ง นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ”
วั่นหย่งพยักหน้าตอบแล้วนั่งลง เขารินน้ำชาหนึ่งแก้วแล้วดื่มจนหมด จึงค่อยพูดว่า “ผู้อำนวยการลู่ มีคนในทีมของเราหลายคนต้องการลาออก ผมเกรงว่าจะยื้อไว้ไม่ได้…”
คำพูดของเขาล้วนทำให้ทุกคนตกตะลึง ลู่เฉินขมวดคิ้วพร้อมกับถามว่า “มีกี่คน”
แน่นอนว่าทีมที่วั่นหย่งพูดถึงก็คือทีมตระกูลลู่ ระหว่างการถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ทีมตระกูลลู่นั้นได้พยายามเป็นอย่างมาก หรือจะพูดได้ว่าถ้าไม่มีทีมแอกชันที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางถ่ายหนังกำลังภายให้เป็นที่ถูกใจของผู้ชมอย่างในตอนนี้ได้หรอก
อีกอย่างลู่เฉินทุ่มเทไปกับทีมตระกูลลู่ไม่น้อยเลย นึกไม่ถึงว่าตอนที่ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกอย่างนี้ จะมีใครลาออก!
“เสี่ยวเกา ต้าโถว หวังไคเจิน…”
วั่นหย่งพูดชื่อหกถึงเจ็ดคนในเฮือกเดียว เขาพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พวกเราทำไม่ดีกับพวกเขาตรงไหน เงินเดือน โบนัส สวัสดิการทั้งห้าอย่าง ทุกอย่างรวมกันแล้วก็ไม่ใช่น้อยเลย อีกอย่างบริษัทก็ใช้เงินไปตั้งมากมายในการบ่มเพาะพวกเขามา…”
ใบหน้าของผู้ชายที่ตรงไปตรงมาคนนี้ขึ้นสีแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก
เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา เขารู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของเขา ก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน จึงทำให้รับมือไม่ทัน เขารู้สึกว่าตัวเองทำผิดต่อลู่เฉินมาก
หลี่มู่ซือก็โกรธเช่นกัน “มีสัญญาอยู่ใช่ไหม งั้นก็ฟ้องไปเลยสิ ฉันจะไปไล่พวกเขาออกจากปักกิ่งให้หมดเลย!”
ลู่เฉินส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ถึงไล่พวกเขาออกจากปักกิ่ง ก็ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ…”
เขาใจเย็นมาก รู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ว่าช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น คู่แข่งพวกนั้นไม่ใช่คนโง่ อีกไม่นานรายได้จากการขายตั๋วภาพยนตร์ของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ก็จะเกินพันล้าน พวกเขาคงวิเคราะห์กันมานานแล้ว
การอุทิศตนเพื่องานของทีมตระกูลลู่นั้น ปกปิดแทบจะไม่ได้เลย การถูกแย่งตัวจึงเป็นเรื่องปกติ
อันที่จริงลู่เฉินได้เตรียมการเอาไว้สำหรับสิ่งนี้แล้ว แต่ทว่าใจคนเรานั้นมันยากที่จะเชื่อถือได้ ถึงจะมีสัญญาที่เคร่งครัดก็ยังขวางความเย้ายวนของผลประโยชน์ไม่ได้ และก็ยังปิดช่องโหว่ไม่ได้อีกด้วย
โชคดีที่มีสมาชิกคนสำคัญถูกแย่งตัวไปแค่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ที่ไปไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก ตราบใดที่กำลังหลักยังอยู่ แบรนด์ของทีมตระกูลลู่ก็จะไม่หายไป!
…………………………………………………………………………