Perfect Superstar - ตอนที่ 874 เพื่อนร่วมชั้นตอนวัยรุ่น (3)
ตอนที่ 874 เพื่อนร่วมชั้นตอนวัยรุ่น (3)
เบนท์ลีย์สีดำวาววับมาจอดที่ประตูโรงเรียนอย่างมั่นคง จากนั้นคนขับในเครื่องแบบก็ลงมาเปิดประตูด้านหลัง ชายวัยกลางคนที่มีสไตล์เก๋ไก๋คนหนึ่งได้ลงจากรถและยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นของพรมแดง
“ประธานจาง!” ผู้บริหารของโรงเรียนท่านหนึ่งที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกรีบเร่งเข้ามาต้อนรับ เขายื่นมือทั้งสองพร้อมกับส่งยิ้มเต็มใบหน้าออกไป “ยินดีต้องรับคุณกลับมาโรงเรียนเพื่อเข้าร่วมงานสถาปนาโรงเรียนครบรอบหนึ่งร้อยปีครับ”
ชายวัยกลางคนจับมือกับเขาอย่างถ่อมตน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
นักข่าวหลายคนกระโดดออกมาจากด้านข้าง กดชัตเตอร์มายังทั้งสองคนอย่างเต็มที่ และตากล้องก็กำลังถ่ายทำอยู่อีกด้วย
นักเรียนชั้นประถมศึกษาอีกสองคนในชุดนักเรียนจากโรงเรียนประถมศึกษาในเครือปินไห่เดินเข้ามา และนำดอกไม้ไปให้ชายวัยกลางคน
คุณจางหลงต๋าเป็นศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงของโรงเรียนมัธยมปินไห่ เขาเป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงในปินไห่ ซึ่งก่อตั้งกลุ่มบริษัทที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งพันล้านหยวน ได้รับการปฏิบัติที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
จางหลงต๋าเดินบนพรมแดงพร้อมกับผู้บริหารของโรงเรียนไปที่กำแพงลายเซ็น และนักข่าวก็เดินตามไปเพื่อถ่ายรูป
หลังจากนั้นไม่นานรถเมอร์เซเดสเบนซ์อีกคันก็หยุดลง
ฉากนี้ทำให้ลู่เฉินรู้สึกเหมือนกำลังจัดพิธีมอบรางวัลทางภาพยนตร์หรือดนตรี ซึ่งค่อนข้างแปลก แต่ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน โรงเรียนหลายแห่งมักจะเล่นใหญ่กับกิจกรรมเฉลิมฉลองของโรงเรียนเพื่อเพิ่มความมีชื่อเสียง และทำทุกวิถีทางเพื่อเชิญศิษย์เก่าชื่อดังมาร่วมงาน
สามารถเดินบนพรมแดงได้ แน่นอนว่าต้องเป็นระดับท็อปสุดแน่นอน
ลู่เฉินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เดิมทีโรงเรียนแจ้งว่าจะส่งรถมารับส่ง แต่ถูกเขาปฏิเสธไปอย่างอ้อมๆ แล้ว
เมื่อคิดดู ลู่เฉินไม่ได้อยากไปสมทบด้วย เขาจึงเดินเข้าไปทางประตูด้านข้าง
เขามีบัตรเชิญอยู่ในมือ แน่นอนว่าเดินเข้าไปได้เลยไม่มีใครรั้ง เนื่องจากสวมแว่นตาดำ คนที่รับผิดชอบตรวจสอบก็จำเขาไม่ได้ หลังจากตรวจบัตรอย่างง่ายๆ ก็โบกมือให้ผ่านไปได้
งานพิธีจัดที่หอประชุมใหญ่ของโรงเรียน แต่เวลายังเหลืออีกมาก ลู่เฉินไม่ได้รีบไปที่นั่น แต่เริ่มเดินเตร่อยู่ในโรงเรียนต่อ
หลายปีที่ไม่ได้กลับมา หน้าตาของในโรงเรียนมัธยมปินไห่ตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมาก รูปปั้นหญิงสาวที่อยู่ตรงน้ำพุยังคงอยู่ ต้นอู่ถงต้นใหญ่ยังคงมีตัวอักษรสลักอยู่มากมาย ถนนเส้นเล็กที่ทะลุไปห้องทดลองยังคงมีใบไม้หล่นอยู่เต็มไปหมด…
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีนักเรียนน้อยมากในโรงเรียน แต่ในมุมที่เงียบสงบ สามารถเห็นนักเรียนที่ขยันศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง ฉากที่คุ้นเคยชวนให้ลู่เฉินนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น
เขามาถึงอาคารเรียน 3 โดยไม่รู้ตัว และเดินขึ้นบันไดไปยังห้องเรียนที่ห้าบนชั้นสี่
ประตูห้องเรียนถูกปิดไว้แต่ไม่ได้ล็อก ลู่เฉินผลักประตูให้เปิดออกและเดินเข้าไป
ห้องเรียนเงียบสงัด โต๊ะถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย ไม่มีนักเรียน ยกเว้นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังดูรูปวาดบนกระดานดำ
เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบๆ รูปร่างสูงและสง่างาม ผมสีดำขลับของเธอยาวเคลียไหล่ เธอหันหลังกลับมาเมื่อได้ยินเสียงประตูถูกผลักเปิด
ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “เหล่าปันเหรอ”
หญิงสาวที่สวยงามคนนี้ก็คือปันเป้ยเป้ยที่เคยเป็นหัวหน้าห้องเมื่อตอนลู่เฉินเรียนมัธยมปลาย แม้ว่าจะไม่เจอกันมาเจ็ดแปดปีแล้ว เธอดูโตและสุขุมขึ้นมาก แต่ลู่เฉินก็จำได้ในแวบแรก
ปันเป้ยเป้ยขมวดคิ้วที่งดงามนั้น เธอแสดงสีหน้าสงสัยออกมา
ลู่เฉินถอดแว่นตาดำออก ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันเอง”
“ลู่เฉิน!”
ปันเป้ยเป้ยปรากฏสีหน้าดีใจออกมา “นายมานี่ได้ไง”
ลู่เฉินเดินไปหา เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “ฉันมาคิดๆ ดู รู้เลยว่าเธอต้องอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงตั้งใจมาที่นี่ เป็นไงล่ะ ซึ้งใจไหม”
ปันเป้ยเป้ยเม้มปากหัวเราะ “ซึ้งใจจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้นายเป็นดาราใหญ่ ฉันอยู่ที่อังกฤษยังได้ยินเรื่องนายบ่อยๆ รู้ดีว่านายดังแค่ไหน”
ลู่เฉินพยักหน้า “นั่นก็เป็นชื่อเสียงจอมปลอมทั้งนั้น เธออยู่ที่อังกฤษเป็นยังไงบ้าง”
เมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แน่นอนว่าทั้งประหลาดใจและนึกถึงวันเก่าๆ ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่เลวเลย พ่อของปันเป้ยเป้ยและพ่อของลู่เฉินยังเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกันอีก ยังเคยไปร่วมงานศพของพ่อลู่เฉินด้วย
เพียงแต่หลังจากจบมัธยมปลายแล้ว ปันเป้ยเป้ยอพยพทั้งครอบครัวไปที่ประเทศอังกฤษ เธอไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ ทั้งสองขาดการติดต่อไปด้วยเหตุนี้ แต่มิตรภาพของเพื่อนร่วมชั้นเรียนนี้ก็ไม่ได้หายไปตามกาลเวลาที่ผันผ่าน
ปันเป้ยเป้ยเรียนที่ประเทศอังกฤษและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว ตอนนี้ได้ทำงานในบริษัทที่เป็นหนึ่งในห้าร้อยบริษัทที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ครั้งนี้ก็ได้รับคำเชิญจากโรงเรียนและกลับมาจากประเทศอังกฤษเพื่อมาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของโรงเรียนเช่นกัน
“และก็อยากพบเพื่อนเก่าด้วย เมื่อคืนวานเซียวลี่หรงพูดกับฉันว่าได้พบกับนาย…”
ทั้งสองนั่งลงพูดคุยกัน และยังนั่งลงตรงที่เดิมที่เคยนั่งในปีนั้น ห่างกันหนึ่งช่องทางเดิน แววตาของปันเป้ยเป้ยเปล่งประกาย “คืนนี้งานรวมตัวเพื่อนๆ นายจะมาไหม”
ลู่เฉินพูดว่า “ถ้ามีเวลาฉันมาแน่ ฉันก็อยากพบกับฟางเจี้ยน จ้าวหลินเฉิง หลี่หยวนด้วย…”
ปันเป้ยเป้ยหยอกเย้าว่า “รู้แล้วแหละว่าตอนนี้นายงานยุ่ง ขนาดเฟยซวิ่นยังไม่เล่นเลย”
ลู่เฉินละอายใจ “ตอนนี้ฉันเปลี่ยนบัญชีแล้ว เธอแอดหน่อยสิ”
หลังจากแลกบัญชีเฟยซวิ่นใหม่กันแล้ว ปันเป้ยเป้ยเอ่ยถามอย่างตั้งใจแต่ก็ดูไม่ตั้งใจว่า “นายยังติดต่อกับเสี่ยวม่านอยู่ไหม”
ลู่เฉินส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น “ไม่ได้ติดต่อกันตั้งนานแล้วละ…”
ปันเป้ยเป้ยพูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “ตอนนี้เธอก็สบายดี เธอเปิดบริษัทของตัวเองที่เซินไห่ ได้ยินมาว่าเป็นได้ด้วยดีเลย…”
ลู่เฉินฟังอย่างเงียบๆ แต่อารมณ์กลับหวนนึกไปถึงวันคืนช่วงยังเป็นวัยรุ่นเหล่านั้นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
กู้เสี่ยวม่านเป็นเพื่อนร่วมเรียนที่นั่งโต๊ะข้างกันกับปันเป้ยเป้ย และก็เป็นแฟนคนแรกของลู่เฉินด้วย ความรักของทั้งสองถือได้ว่าครึกโครมมากในโรงเรียนมัธยมปินไห่ในตอนนั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความรักที่สวยงามนี้ ก็เหมือนความรักในช่วงวัยรุ่นของหลายๆ คู่ที่ไม่ออกดอกออกผล
ลู่เฉินยังจำได้ว่าตอนแรกที่เขาแอบไปเดตกับกู้เสี่ยวม่าน ยังขอให้ปันเป้ยเป้ยช่วยปกปิดด้วย
ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไป ในใจรู้สึกแปลกไปอีกแบบ
ลู่เฉินไม่มีความคิดที่จะไปรื้อฟื้นความรักเก่า ในใจเขาถูกเติมเต็มด้วยเฉินเฟยเอ๋อร์ไปแล้ว เพียงแต่ความทรงจำเกี่ยวกับรักครั้งแรกได้ฝังรากลึกลงในจิตวิญญาณ คงลืมไม่ได้ตลอดไป
วันนี้เมื่อได้ยินข่าวคราวของกู้เสี่ยวม่าน และรู้ว่าเธอมีชีวิตที่ดี นั่นก็เพียงพอแล้ว
ลู่เฉินถาม “เหล่าปัน แล้วเธออยู่ที่อังกฤษไม่มีแฟนบ้างเลยเหรอ”
ปันเป้ยเป้ยหัวเราะ “ไม่มีเลย ฉันไม่ชอบผู้ชายอังกฤษหรอก ทำไม นายจะแนะนำให้ฉันเหรอ”
ลู่เฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉันยังไม่มีใครดีๆ จะมาแนะนำให้เธอได้จริงๆ”
ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน หยิบยกเรื่องราวในอดีตมากมายมาพูดถึง จนกระทั่งมีคนเดินเข้ามาในห้องเรียน
“เอ๊ะ พวกเธอ?”
คนที่มาอายุประมาณห้าสิบหกสิบปี จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาใบหน้าสูงวัย สวมชุดธรรมดามาก แต่เมื่อเห็นเธอ ลู่เฉินและปันเป้ยเป้ยรีบยืนขึ้นพร้อมกันก่อนจะตะโกนเรียกว่า “อาจารย์ข่ง!”
ท่านนี้ก็คืออาจารย์ประจำชั้นของลู่เฉินในตอนนั้น และยังเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนกลางด้วย!
อาจารย์ข่งมองทั้งสองคนด้วยความงุนงง ผ่านไปสักพักถึงได้แสดงท่าทางเข้าใจขึ้นมาทันที “ลู่เฉิน ปันเป้ยเป้ย!”
ลู่เฉินและปันเป้ยเป้ยยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินขึ้นไปทักทายพร้อมกันว่า “อาจารย์ข่ง สวัสดีครับ/ค่ะ!”
ในช่วงเวลานี้ ราวกับได้ย้อนกลับไปในอดีตอีกครั้งเลย
…………………………………………………………………………