POWER AND WEALTH (พลังและความมั่งคั่ง) - ตอนที่ 10
ถนนเหอผิงเหนือ
ด้านหน้าอาคารอพาร์ตเมนต์
ดงซูบินที่พึงขึ้นรถแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลมะเร็งแล้วเขาก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน เขากลับมาในเวลาเดียวกันกับฉูยวนและคนอื่นที่นั่งรถเมล์กับมาซึ่งมันใช้เวลานานกว่า ในขณะที่แท็กซี่ขับไปทางย่านที่อยู่อาศัยของดงซูบินเห็นแม่ของเขา และคนอื่น ๆ กำลังเดินอยู่ข้างหน้า เขาให้แท๊กซี่หยุดทันทีและลงไปเดินด้วยกับพวกเขา ก่อนที่จะอธิบายว่า“ แม่! ฉูยวน! ผมขอโทษ ผมมีอะไรที่เร่งด่วนที่ต้องทำและจึงรีบออกไป
“ ซูบิน ……” แม่ของเขาพูดชื่อของเขาแล้วหยุดพูดและถอนหายใจ
ที่ห้องโถงหัวหน้าส่วนซูที่เพิ่งกลับมาจากงาน เขาเดินไปพร้อมกระเป๋าเอกสาร “ ลูกสอบเสร็จแล้วหรอ การทดสอบเรียงความเป็นอย่างไร?”
“ ผม……ผม………” เสี่ยวตงเป็นแตกต่างไปจากเมื่อเช้านี้ เขาดูไม่อวดดีเหมือนเคย
ดงซูบินต้องการหัวเราะออกมา
“ บอกฉันมาสิ!” หัวหน้าส่วนซู ดึงหน้าด้วยความเคร่งขรึม “ พ่อจะได้จัดการกับกรมศุลกากร”
ป้าซูมองไปที่ลูกชายของเขา เสี่ยวตงพูดพึมพำ:“ คำถามเรียงความนั้นยาก ผมไม่คิดว่าทุกคนสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ ผมมั่นใจในเพียงข้อเดียวเท่านั้น ที่เหลือ……คำถามที่เหลือน่าจะผิด……ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถทำได้”
หัวหน้าส่วนซูตะโกน:“ ลูกทำอะไรลงไป? ลูกไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการสอบนี้ใช่ไหม ทำไมลูกถึงพูดออกมาแบบนั้นกัน?”
เสี่ยวตงหมดหวัง “ ผมไม่ได้คาดหวังว่าคำถามจะยากขนาดนี้ ผมไม่คิดว่าผู้สมัครคนอื่นจะสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้เช่นกัน”
หัวหน้าส่วนซูกล่าวต่อ“ หยุด! มันก็เป็นเพียงแค่ลูกยังพยายามไม่หนักพอ!”
“ อย่าโทษเสี่ยวตง!” ป้าซูช่วยพูดกับลูกชายของเธอว่า“ คำถามนั้นยากเกินไป ฉันได้ยินคนมากมายด้านนอกบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ไม่เพียงเสี่ยวตงฉันคิดว่าทุกคนจะอาจจะไม่ผ่านในการสอบนี้ โอ้ลูกชายของป้าลวน ซูบินก็สอบด้วยนิ เขาก็น่าจะไม่ผ่านในการสอบ อย่างน้อยเสี่ยวตงของเราทำได้ดีกว่าเขาแน่ การสอบแบบปรนัยของเขาจะได้คะแนนเกือบเต็ม”
ดงซูบินกลอกตา ‘ใครบอกป้าว่าฉันจะไม่ผ่านการทดสอบนี้?’ เขาคิดอยู่ในใจ
หัวหน้าส่วนซูตอบด้วยความโกรธ:“ หากคะแนนโดยรวมไม่ถึงคะแนนขั้นต่ำ เขาก็ไม่สามารถไปสัมภาษณ์ได้อยู่ดี!”
นางซูถอนหายใจ:“ เขาจะลองอีกครั้งในปีหน้า” หัวหน้าส่วนซูหันหลังกลับและขึ้นไปชั้นบน นางซูมองที่เสี่ยวตงจากนั้นก็หันไปหาแม่ของดงซูบิน:“ การสอบเข้าของข้าราชการพลเรือนจะมีสอบใหม่อีกไม่กี่เดือน ลูกชายของคุณจะลองอีกครั้งหรือไม่”
แม่ของดงซูบิน ตอบว่า:“ อาจ อาจะ……”
ฉูยวนตบมือของดงซูบิน “ อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป นายสามารถสอบใหม่อีกครั้งในปีหน้า”
เสี่ยวตงเก่งเรื่องการเรียนของเขาเสมอ หากเขาไม่สามารถแม้แต่จะผ่านได้ ดงซูบินก็ไม่ควรทำได้เช่นกัน นี่คือสิ่งที่ทุกคนกำลังคิด
เสี่ยวตงจ้องมองที่ดงซูบินและตามพ่อของเขาขึ้นไป
ดงซูบบินรู้ว่าฉูยวนและแม่ของเขาคิดว่าเขาทำได้ไม่ดีแน่สำหรับการเขียนเรียงความ เขาลูบจมูก แต่ไม่ได้พยายามที่จะอธิบายเพิ่มเติม
เพียงแค่ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิด ถึงแม้ว่าเขาจะทำข้อสอบข้อเขียนได้ แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจในการสัมภาษณ์ ถ้าเขาบอกแม่ของเขาว่าเขาทำได้ดีสำหรับการสอบข้อเขียนและเขาไม่ผ่านไปในการสัมภาษณ์ในภายหลัง แม่ของเขาอาจไม่สามารถจปรับอารมณ์ได้ทัน เธอมีโรคความดันโลหิตสูงและอาจส่งผลต่อสุขภาพของเธอ ดงซูบินตั้งใจจะบอกความจริงกับพวกเขาหลังจากเขาสัมภาษณ์ได้
หลังอาหารค่ำ ดงซูบินกลับไปที่ห้องของเขาและเปิดคอมเครื่องเก่าของเขาเพื่อการเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ โดยค้นหาคำถามสัมภาษณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทางอินเทอร์เน็ต
5 นาทีต่อมา ดงซูบินไม่ได้ข้อมูลใดๆจากอินเทอร์เน็ตเลย เขาจำได้ว่ากรมที่เขาสมัครไม่ได้มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหาคำถามสัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้วได้มากนัก
กรมที่ดงซูบินหมายถึงคือ กรมความมั่นคงของรัฐ
ชื่อเต็มของกรมความมั่นคงของรัฐคือกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ มันเป็นหน่วยงานภายใต้เขตอำนาจของสภาแห่งรัฐและถือว่าเป็นกรมตำรวจ กรมนี้เป็นกรมที่มีรัฐมนตรีในระดับจังหวัดและมีสาขาย่อยในทุกภูมิภาค ในต่างจังหวัดสำนักงานแห่งนี้เรียกว่ากระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ ในเมืองของหลวงจะเรียกว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งรัฐ
เนื่องจากปักกิ่งเป็นเมืองหลวงและขึ้นตรงกับรัฐบาลกลางทำให้สำนักงานความมั่นคงแห่งรัฐมีความแตกต่างกันจากหน่วยงานอื่นอยู่เล็กน้อย เพราะส่วนงานนี้ยังคงต้องส่งรายงานไปยังกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐโดยตรงแต่ก็ยังถูกเรียกว่าสำนักความมั่นคงแห่งรัฐอยู่ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วสำนักความมั่นคงแห่งรัฐปักกิ่งจะจัดอยู่ในระดับอำนวยการและสำนักงานสาขาในเขตต่าง ๆ ของปักกิ่งอยู่ในระดับรองลงมา
สำนักความมั่นคงของรัฐเป็นแผนกลึกลับ อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ว่าสำนักนี้ทำอะไร มันรวบรวมพวกที่มีสติปัญญาเอาไว้ที่นี้
แต่ดงซูบินได้ยินจากคนที่ไม่ได้มาจากสำนักความมั่นคงแห่งรัฐพูดกันว่าที่ทำงานของพวกเขานั้นถือว่าเป็นความลับสุดยอด ไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้
ตัวอย่างเช่น สำนักงานที่ดงซูบินสมัครนั้นเป็นสำนักงานบริหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักความมั่นคงแห่งรัฐ คนที่ทำงานที่นั่นจะมีเวลาทำงานปกติและพวกเขาจำเป็นต้องนั่งรถเมล์ในชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเช้าเหมือนคนปกติทั่วไป อีกทั้งพวกเขายังไม่ได้ถูกห้ามให้พูดถึงงานของพวกเขากับบุคคลภายนอกว่าพวกเขาทำงานที่ไหนเพราะมันไม่ได้เป็นความลับอะไร ซึ่งหนึ่งในรุ่นพี่ของดงซูบินที่มหาวิทยาลัยของเขา ที่กำลังทำงานในสำนักความมั่นคงของรัฐ เขามักจะพูดเล่นๆว่า คนที่นั่งทำงานในสำนักงานบริหารอย่างเขาไม่มีโอกาสได้เข้าถึงรายงานลับจากเจ้าหน้าที่ภายในหรอก เพราะตำแหน่งนั้นมันไม่มีอะไรดีเลย ถ้าพูดถึงเกี่ยวกับการทำงานในสำนักความมั่นคงของรัฐจริงๆ พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มหรือบอกคนอื่นว่ากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลของพวกเขาต่อผู้อื่นได้-รวมถึงครอบครัวของพวกเขาเอง อีกทั้งยังมีข้อห้ามหลายๆอย่างที่ไม่ให้ปฏิบัติสำหรับพวกเขา
ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นทางเลือกแรกของดงศูบินที่จะสมัครเข้าร่วมแผนกนี้
เขาไม่มีทางเลือกอื่น มีข้อ จำกัด มากเกินไปสำหรับผู้สมัครเมื่อสมัครในสำนักต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่นสำนักความปลอดภัยสาธารณะของเขตเทศบาล สำนักกำกับดูแลความปลอดภัย ฯลฯ กำหนดให้ผู้สมัครไม่เพียง แต่สอบการเขียนเรียงความ เอเอที และการเขียนเรียงความ ผู้สมัครสอบจะต้องสอบเพิ่มด้านวิชาชีพอีก ดงซูบินกำลังดิ้นรนกับการการสอบแค่สองครั้ง เขาจะรับมือกับการสอบวิชาชีพอีกครั้งได้อย่างไร เขายอมแพ้ในการสมัครงานในแผนกเหล่านี้โดยไม่คิดเพิ่มอีก
การประชุมที่ปรึกษาการเมืองเขตเทศบาบ, คณะกรรมการการศึกษาเขตเทศบาล และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ใหญ่กว่าต้องใช้ประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 2 ปี
บางกรมเช่นสภากาชาดและกระทรวงวัฒนธรรมกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
บางกรมเช่นสำนักงานที่ดินและทรัพยากรกำหนดให้ผู้สมัครอย่างน้อยต้องมีปริญญาโทหรือปริญญาเอก
บางกรมจำเป็นต้องมีการรับรองด้านความสูงเกิน 180 ซม. หรือเป็นผู้หญิงเท่านั้น
ดงซูบินตระหนักว่าตำแหน่งที่เขาสามารถสมัครนั้นรับเพียงน้อยกว่า 3% ของตำแหน่งทั้งหมด ตำแหน่งเหล่านี้บางแห่งอยู่ในพื้นที่ชนบทซึ่งข้อกำหนดไม่เข้มงวดนัก แม้แต่บัณฑิตที่จบใหม่ก็สามารถสมัครได้ แต่มีเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น การแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นสำหรับตำแหน่งที่ว่างนั้นน่าจะยาก ดงซูบินรู้ว่าเขาจะไม่ได้มีโอกาส
เมื่อดงซูบินเกือบจะหมดหวังแล้วเขาบังเอิญได้ยินคนจากสำนักความมั่นคงของรัฐที่พูดกับใครบางคน
สำนักความมั่นคงกำลังสรรหาคนซึ่งคุณสมบัตินั้นไม่ได้มากมายอะไร ตราบใดที่ผู้สมัครไม่มีข้อบกพร่องทางกายภาพและไม่ได้อยู่ต่างประเทศเป็นระยะเวลานาน ใครๆก็สามารถสมัครได้ไม่จำกัดเฉพาะชายหรือหญิง, ไม่ต้องประสบการณ์การทำงาน ฯลฯ โดยแผนกนี้จะรับสมัครผู้สมัคร 4 คน เมื่อเทียบกับแผนกอื่น ๆ นี่เป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก
ต่อมาดงซูบินพบว่าสำนักความมั่นคงของรัฐมักจะรับสมัครพนักงานใหม่
นี่เป็นเพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่ได้มีเบื้อหลังและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับรัฐ พวกเขาถูกพิจารณาว่า ‘สะอาด’ ผู้ที่มีประสบการณ์การทำงาน 2 ปีจะไม่ได้รับการคัดเลือกจากสำนักความมั่นคงของรัฐ
นี่คือเหตุผลที่ดงซูบินโน้มน้าวให้แม่ของเขาปล่อยให้เขาสมัครตำแหน่งสำนักความมั่นคงแห่งรัฐ นี่เป็นตำแหน่งเดียวที่มีความเป็นไปได้สูงสุดในการที่เขาจะได้รับราชการ และ หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้