POWER AND WEALTH (พลังและความมั่งคั่ง) - ตอนที่ 16
ในเช้าวันจันทร์เวลา 08.00 น
ดงซูบินเองก็กำลังเดินไปที่สำนักงานสาขาเขตความมั่นคงแห่งรัฐตะวันตก และดูเหมือนว่าเขาเองยังคงคิดถึงเป้าหมายที่ดูไร้สาระที่เขาตั้งไว้เมื่อสองวันก่อน แต่เมื่อเขาคิดขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้ไปรายงานตัวเลย แต่มันก็หยุดไม่ได้ที่จะฝันว่าเขาจะได้เป็นสมาชิกของสำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสแห่งประเทศจีน ตอนนี้ดงซูบินเขินจนตัวบิดเป็นเกลียว หากแม่หรือเพื่อนของเขารู้เกี่ยวกับความฝันของดงซูบิน พวกเขาคงจะหัวเราะเยาะเขาอย่างแน่นอน แต่ถึงยังไงก็ตามดงซูบินจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
เขตตะวันตกถนนฉีอิน
ฝั่งตะวันตกของทางข้ามแยก
นี้เป็นเวลา 8.20 น. ตอนนี้ดงซูบินพอยังมีเวลาก่อนจะถึง 9.00 น. เขาได้เดินไปที่แผงขายของริมถนนและซื้อเครปไส้ไข่เป็นอาหารเช้า เขากินเครปหลังร้านหนังสือเก่าๆ เนื่องจากเขาคุ้นเคยกับสถานที่เหล่านี้ดี มันสถานที่สำหรับการสอบข้อเขียนซึ่งเป็นสนามสอบโรงเรียนมัธยมหมายเลข 15 ที่ตอนนี้มันอยู่ข้างหน้าของเขา เพียงแค่เดินข้ามถนนไปเท่านั้น เพราะมันตั้งอยู่ที่ทางเข้าทิศใต้ของโรงพยาบาลเจียนกง ไกลออกไปทางตะวันออกคือทางเข้าทางเหนือของสวนเต่ารันติง
หลังจากที่ดงซูบินทานเครปเสร็จ เขาก็เห็นรถบัสเข้ามาที่ป้ายรถเมล์ด้านหน้าเขา
ชายคนหนึ่งลงจากรถบัสและผู้โดยสารทั้งหมดหันมามองที่ชายคนนั้น เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความสูง 1.9 เมตรและมีน้ำหนักประมาณ 150 กิโลกรัมอีกทั้งเขาดูอายุใกล้ๆกับดงซูบินแต่หน้าตาเขาดูดุมากซึ่งทำให้พนักงานออฟฟิศคนอื่น ๆ ที่ป้ายรถเมล์คิดว่าเขาเป็นนักเลงหัวไม้และหลีกทางเดินให้ชายผู้นั้นอย่างเกรงกลัว
หลังจากลงจากรถบัสชายร่างสูงและอ้วนก็มองไปรอบ ๆ แล้วเดินไปทางดงซูบิน
เมื่อดงซูบินคิดว่าเขาจะคงจะโดนทำร้ายแน่จากนักเลงร่างใหญ่คนนี้ แต่ชายคนนั้นเพียงแค่เดินไปนั้งข้างเขาห่างกันเพียง 1 เมตร เขายื่นมือออกมาและลูปไปที่แมวจรจัดที่นอนอยู่บนบันได เขาลูบแมวและแมวกำลังร้องและเลียมือของชายคนนั้น
“ หิวไหม?” ชายคนนั้นถามแมวเบา ๆ “เจ้าตัวเล็ก! อย่างกินอะไรไมเอ่ย? เดียวฉันจะไปซื้อเดี๋ยวนี้เลย”
แมวก็ร้องออกมาและเล่นกับชายคนนั้นด้วยเล็บของมัน
ชายร่างใหญ่คนนั้นเล่นกับแมวซักพักก่อนจะเดินไปที่แผงขายของริมถนน เพื่อซื้อไส้กรอกและเอามาให้แมวทาน “ กินช้าๆ เดียวหายใจไม่ออกนะ” การกระทำของเขาตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ภายนอกของเขา ดงซูบินเองไม่ค่อยคุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้เท่าไร แต่เขาก็มองออกว่าชายผู้นี้ดูเป็นคนที่มีจิตใจดีและมีความเป็นห่วงเป็นใย
ในที่สุดนี้ก็เป็นเวลา 8.50 น.
ดงซูบินเดินผ่านชายคนนั้นและเลี้ยวตรงมุมถนน เขาเดินไปที่ประตูที่เป็นสนิมและเขาสามารถเห็นอาคารเก่าอยู่ 2 หลังซึ่งถูกสร้างขึ้นประมาณยุค 70 หรือ 80 ประตูโลหะปิดอยู่และมีเพียงหน้าต่างที่เปิดอยู่ข้างๆป้อมยามเล็ก ๆ มีคนสองสามคนที่กำลังปั่นจักรยานช้าๆผ่านประตู ดงซูบินคิดว่าเขาอาจจะมาผิดที่ เขาคิดว่านี่เป็นอาคารสำนักงานที่สภาพแย่มาก ไม่มียามอยู่ข้างนอก นี่เป็นเหมือนโรงงานของรัฐมากกว่าสาขาของสำนักความมั่นคงแห่งรัฐ
ไม่มีสัญลักษณ์ที่ทางเข้า
ดงซูบินมองไปรอบ ๆ จากนั้นพยายามติดตามชายวัยกลางคนที่จูงจักรยานผ่านประตูเข้าไป
“เอ๊ะ! หลานชาย. เดี๋ยวก่อน!” ชายชราคนหนึ่งยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ของห้องยาม “ หลานชายกำลังมองหาใครอยู่หรอ??”
ดงซูบินตกใจขึ้นมาและตอบทันที:“ นี่คือสำนักงานสาขาความมั่นคงแห่งรัฐเขตตะวันตกหรือป่าวครับ? ผมเพิ่งผ่านการสอบข้าราชการของในปีนี้และสำนักงานส่วนการเมืองเรียกให้ผมมารายงานตัววันนี้เวลา 9.00 น. ผมชื่อดงซูบินครับ”
ชายชราพยักหน้าของเขาและยกสายโทรศัพท์เพื่อโทรออก หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีชายชราคนนั้นก็วางหูโทรศัพท์และพยักหน้าให้กับดงซูบิน เขามอบสมุดลงทะเบียนให้เขา “ เซ็นชื่อตรงนี้! และหลานชายก็เข้าไปได้เลย สำนักงานการเมืองตั้งอยู่ที่อาคารตะวันออกเฉียงใต้ อาคารสีเทานั่นนะ มันอยู่บนชั้นสองด้านขวาสุดของทางเดิน หลานชายต้องเดินไปตรงนั้นนะ อย่าเดินไป รอบ ๆ ล่ะ”
“ได้ครับ. ขอบคุณ.”
บรรยากาศในบริเวณนั้นแตกต่างจากหน่วยงานภาครัฐอื่นมาก คนปักกิ่งมีอัธยาศัยดีมากและจะทักทายและพูดคุยกันเสมอเมื่อพวกเขาเห็นคนที่พวกเขารู้จัก พวกเขาจะพูดเรื่องทั่วไป เช่น“ คุณกินข้าวเช้าแล้วหรือยัง?”“ อาการไข้หวัดใหญ่เป็นอย่างไร”“ ลูก ๆ ของคุณอยู่ที่โรงเรียนหรือป่าว” เป็นต้น แต่ในบริเวณนี้ผู้คนต่างพยักหน้าให้กันและไม่พูดอะไรกันเลย เฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นหัวหน้า พวกเขาจึงจะอ้าปากแล้วทักทาย“ อรุณสวัสดิ์หัวหน้าแผนก” หรือ“ อรุณสวัสดิ์ผู้อำนวยการ” ไม่มีการพูดคุยที่ไร้สาระเลย
ณ อาคารสีเทา
ทางเดินชั้นสอง
ดงซูบินเห็นป้าย “สำนักงานส่วนการเมือง” บนผนัง แต่มีสำนักงานจำนวนมากอยู่ที่นั่นด้วย และเขาไม่รู้ว่าจะต้องเข้าไปที่สำนักงานไหน เมื่อเขาลังเลเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างหลังของเขา เขาหันหลังกลับ ฮะ? มันเป็นผู้ชายตัวใหญ่ที่เขาเจอที่ป้ายรถเมล์ เขามาจากสำนักความมั่นคงแห่งรัฐหรือไม่?
“ ขอโทษครับผม” ดงซูบินถาม “ นี่เป็นวันแรกของผม คุณพอจะรู้มั้ยว่าผมควรไปติดต่อออฟฟิศที่ไหน?”
ชายร่างใหญ่หยุดและเกาหัวของเขาไว้ “ ฉันมาที่นี่เพื่อรายงานตัวเหมือนกัน และฉันก็กำลังมองหาสำนักงานเช่นกัน”
“ฮะ? เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ “ทั้งคู่ต่างยืนเงียบดงซูบินรู้สึกได้ว่าคน ๆ นี้พูดเก่งไม่เก่ง เขาล้างคอของเขาและพูดว่า: “เอ่อ … ใช่ ฉันชื่อดงซูบินนะ”
ชายร่างใหญ่นั้นยิ้ม:“ ฉันคือซุนจ้วง ฉันเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย เพื่อน ๆ ในโรงเรียนเรียกฉันว่าจ้วงจือ (แปลว่าเสาหลักในภาษาจีน)”
ทั้งสองจับมือและเดินเข้าไปในสำนักงานที่ใกล้ที่สุด ซึ่งพวกเขาทั้งคู่ก็เข้าไปถูกห้องพอดี พนักงานคนหนึ่งในชุดพลเรือนบอกให้พวกเขารอที่นั่น รองหัวหน้าฝ่ายจากสำนักงานการเมืองเข้ามาในห้องและนำเอกสารทั้งหมดและบอกกฎและข้อบังคับภายในแผนก
มันใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง
รองหัวหน้าหยิบน้ำชาขึ้นมาจิบ:“ นั่นคือทั้งหมดที่ควรรู้ นายทั้งสองจะถูกส่งไปยังฝ่ายกิจการทั่วไป ฉันได้ยินมาว่าแผนกนั้นกำลังขาดคน พยายามทำความคุ้นเคยกับสถานที่นี้ไว้นะ พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกของพวกนายอย่างเป็นทางการ สำหรับเครื่องแบบของนายทั้งคู่ เราจะมอบให้นายเมื่อพร้อม อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการประชุมในสำนักเมืองเราไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องแบบของรัฐ เพราะมันไม่ค่อยสำคัญเท่าไร”
หลังจากเสร็จสิ้นสิ่งที่เขาพูด เขาขอให้พนักงานพาดงซูบิยและจ้วงซื่อไปที่สำนักงานของพวกเขา
ฝ่ายกิจการทั่วไปตั้งอยู่ที่ชั้นล่าง มันเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานเล็กๆ มีโต้ะแปดเก้าตัวที่นั้น
เจ้าหน้าที่จากสำนักงานการเมืองเดินเข้ามาและพูดว่า:“ เรามีข้าราชการใหม่ ทั้งสองเป็นบัณฑิตจบใหม่ นี่คือดงซูบิน และนี่คือซุนจ้วง”
ดงซูบิน รู้สึงว่าการสร้างความประทับใจครั้งแรกนั้นสำคัญและเขาก็พูดอย่างสุภาพว่า:“ ผมมาใหม่ที่นี่และไม่รู้อะไรเลย โปรดชี้นำผมในอนาคตด้วยนะครับ ขอบคุณ.”
ซุนจ้วง ได้ยินดงซูบินพูดและเขาก็พูดต่ออย่างรวดเร็ว:“ ผมด้วยครับ กรุณาชี้แนะพวกเราด้วย”
ผู้คนในสำนักงานดูทั้งคู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผู้หญิงคนหนึ่งในสำนักงานหัวเราะ “ ไม่ต้องกังวล เมื่อพวกนายเข้ามาสู่สำนักงานนี้ เราก็เป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งแล้ว”
เจ้าหน้าที่จากสำนักงานการเมืองชี้ไปที่พนักงาน 5-6 คนในสำนักงาน “ หัวหน้าโจวไปหาหมอเหรอ? ดูเหมือนเขาจะไม่อยู่แถวนั้น ผู้หญิงคนนี้คือต้าหลินเหม่ย นั่นก็ พี่ยาง, เกา แพนเวย, เกาฉางจี้, ฉางจ้วง ……”