Rebuild World - ตอนที่ 4 ผลตอบแทนหลังเสี่ยงชีวิต
เสียงปืนใหญ่ด้านนอกอาคารหยุดลงอากิระเองก็ใจเย็นลงแล้วหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมองไปที่อากิระที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว อัลฟ่าจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาสำรวจซากปรักหักพังต่อไป
“ดูเหมือนว่าสถานการณ์ข้างนอกจะสงบลงแล้ว งั้นเราจะสำรวจซากปรักหักพังกันต่อดีไหม? แต่ครั้งนี้ต้องแน่ใจว่าได้ทำตามคำสั่งของฉัน โอเค?”
อากิระพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใช่ ฉันสัญญาว่าฉันจะทำตามคำสั่งทั้งหมดของเธออย่างครบถ้วนเลย”
“ดี ไปกันเถอะ”
เมื่ออัลฟ่าแสดงรอยยิ้มที่แสดงความพึงพอใจ เธอก็เริ่มเดินออกไปข้างนอก อากิระเดินตามหลังเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
พวกเขาออกจากอาคารและไปยังตำแหน่งที่พวกเขาพบกับสัตว์ประหลาดขนาดมหึมา พวกเขาเดินผ่านอาคารที่ถูกทำลายและปีนขึ้นไปบนภูเขาเศษซากอาคาร พวกเขาผ่านพื้นที่ที่ต่อสู้ครั้งก่อน จากนั้นพวกเขาก็เดินทางลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง
อากิระรู้ว่าเขาไม่มีโอกาสชนะสัตว์ประหลาดตัวนั้นด้วยปืนพกราคาถูกที่เขามี ถึงจะมีอาวุธพิเศษสำหรับต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแบบนั้นโดยเฉพาะ เขายังคงไม่สามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าสัตว์ประหลาดแบบนั้นเดินเตร่ไปทั่วบริเวณในขณะที่ล่องหน
แม้ว่าจะผ่านประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้ว แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจอากิระอย่างมาก ใบหน้าของเขายังดูตึงเครียด แต่เขาก็ต้องบังคับความกลัวของตนเองที่กำลังคืบคลานเข้ามาหายไป เขาเชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยตราบใดที่เขายังคงปฏิบัติตามคำแนะนำของอัลฟ่าในขณะที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
อัลฟ่าดูพอใจกับพฤติกรรมของอากิระ เธอใช้ความพยายามเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้อากิระต้องพบเจอกับสัตว์ประหลาดใดๆ ที่เดินเตร่อยู่รอบๆ ซากปรักหักพัง
หลังจากเดินลึกเข้าไปอีกเล็กน้อย ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเขตที่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขตชานเมืองของซากปรักหักพังอีกต่อไป อัลฟ่าชี้นิ้วไปที่ซากอาคารหลังหนึ่งท่ามกลางอาคารอื่นๆ ในบริเวณนั้น
“อากิระ เราสามารถรวบรวมโบราณวัตถุของเราที่นั่นได้”
อากิระมองดูซากปรักหักพังที่อัลฟ่าชี้อย่างอยากรู้อยากเห็น เนื่องจากเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อมาไกลถึงจุดนี้ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่จะคาดหวังผลลัพธ์บางอย่าง แต่อากิระไม่เห็นอะไรเลยนอกจากซากปรักหักพังเก่าๆเหมือนที่เขาเห็นตามรายทางที่มาถึงที่นี่
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ มันดูไม่เหมือนอาคารที่เขาคาดว่าจะได้เห็นหลังจากที่มาไกลขนาดนี้
“จะเป็นไรไหมถ้าจะขอถามสักหน่อย ว่าทำไมเธอถึงเลือกที่นี่”
หลังจากที่เขาโพล่งคำถามออกไป เขาก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะเขาตระหนักว่ามันเป็นคำถามที่แสดงความแคลงใจในตัวอัลฟ่า แต่อัลฟ่าก็ตอบคำถามของเขาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“แน่นอนว่าไม่เป็นไร ฉันจะอธิบายให้คุณฟังเมื่อคุณรวบรวมของข้างใน”
หลังจากเห็นว่าอัลฟ่าตอบด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ อากิระก็รู้ว่าเขาสามารถคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีได้ เขาจึงเข้าไปในตัวอาคารด้วยความอารมณ์ดี
อาคารที่อัลฟ่าเลือกนั้นเคยเป็นอาคารพาณิชย์จากโลกเก่า ขณะที่เขาเดินเข้าไปข้างใน อากิระก็มองเห็นเศษเสี้ยวของความหรูหราที่มีอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เขาพบประตูที่อยู่ใกล้ๆกับตู้ที่ถูกทำลาย เมื่อเขามองลอดเข้าไป
เขาสามารถเห็นซากของสัตว์ประหลาดจักรกลที่ถูกทำลายกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นเปื้อนเลือด นอกจากกระดูกขนาดใหญ่จากสัตว์ประหลาดทางชีววิทยาที่ตายแล้ว เขายังเห็นซากโครงกระดูกของมนุษย์ที่มีอุปกรณ์ครบครัน
ที่นี่คงเป็นสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยของหลายอย่าง แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยข้อเท็จจริงที่ว่ามีนักล่ามากมายที่มาที่นี่เพื่อค้นหาวัตถุโบราณและมีการต่อสู้เกิดขึ้น
สิ่งก่อสร้างในโลกเก่าส่วนใหญ่เป็นสิ่งก่อสร้างที่แข็งแรง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีรูบนกำแพงและรอยไหม้บนเพดาน มันแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในอาคารเหล่านี้
นักล่าที่มีอาวุธรุนแรงพอที่จะสร้างความเสียหายแบบนั้น ได้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยอาวุธที่ทรงพลังแบบเดียวกันที่นี่ ทั้งหมดก็เพื่อแย่งชิงวัตถุโบราณจากโลกเก่า
ซากศพที่กระจัดกระจายอยู่ภายในเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดในการวัดคุณค่าของวัตถุโบราณของสถานที่แห่งนี้ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงเศษซากความละโมบของนักล่าที่ค้นหาวัตถุโบราณด้วยเช่นกัน
“สำหรับเหตุผลที่ฉันเลือกที่นี่เป็นเพราะระดับความปลอดภัย เดิมทีที่นี่มีมอนสเตอร์จักรกลเป็นส่วนหนึ่งของระบบรักษาความปลอดภัย แต่ว่าคงมีใครบางคนไปทำให้ระบบควบคุมถูกทำลายทำให้พวกสัตว์ประหลาดชีวภาพเข้ามาได้
ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทำหน้าที่โดยไม่สนเป้าหมาย เพราะงั้นสัตว์ประหลาดทางชีวภาพจึงกลายเป็นเป้าหมายในการกำจัดของมันด้วย สรุปก็คือ มีโอกาสน้อยมากที่จะเจอสัตว์ประหลาดชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องจากสัตว์ประหลาดจักรกลเหล่านี้”
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะมีโอกาสถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดจักรกลเหล่านี้แทนเหรอ?”
“สัตว์ประหลาดจักรกลส่วนใหญ่ปฏิบัติตามกิจวัตรการลาดตระเวนที่เข้มงวด ดังนั้นพวกมันจึงย้ายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งตามช่วงเวลา นั่นเป็นเหตุผลว่านายจะไม่ถูกค้นพบหากนายมีความรู้เกี่ยวกับกิจวัตรของพวกมัน
ในทางกลับกัน สัตว์ประหลาดทางชีวภาพมักจะย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่มันจะเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ซึ่งทำให้คาดเดาตำแหน่งของพวกมันได้ยาก ดังนั้นตราบใดที่นายอยู่กับฉัน การไปที่ที่มีสัตว์ประหลาดจักรกลจำนวนมากจะค่อนข้างปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดทางชีวภาพ”
สำหรับอากิระที่ไม่รู้แม้แต่ตรอกซอกซอยด้านหลังของสลัม เขาฟังอัลฟ่าในขณะที่แสดงความสนใจ
“อ่าหะ แต่เธอรับรู้กิจวัตรของพวกมันได้ยังไงล่ะ?”
“มีหลายวิธีในการทำแบบนั้นล่ะนะ แต่นายต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ เพราะงั้นฉันขอข้ามการอธิบายแล้วกัน”
จากนั้นอัลฟ่าก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับว่าเธออยู่เหนือกว่า
“ได้ยินแบบนี้ นายยังอยากฟังฉันอธิบายอยู่รึเปล่า? ฉันบอกว่าฉันจะตอบคำถามของนายทุกข้อ ช่าย… ฉันไม่รังเกียจที่จะบอกนายหรอกนะ”
“อา…ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร ขอบคุณ”
อากิระคิดว่าเธอกำลังเล่นตลกกับเขา เขาคิดว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายให้เขาฟังตั้งแต่ต้น ยิ่งไปกว่านั้น เขามีความรู้สึกว่าเขาจะต้องฟังคำอธิบายที่ยาวมากหากเขาตอบกลับด้วยการพูดว่า ‘ใช่’
ดังนั้นเขาจึงสะดุ้งเล็กน้อยขณะที่ปล่อยเรื่องนี้ไป เมื่อเห็นอย่างนั้น อัลฟ่าก็ยิ้มเพราะอากิระมีปฏิกิริยาในแบบที่เธอคิดว่าเขาจะเป็น
“เอาแบบนั้นเหรอ? บอกฉันด้วยแล้วกันถ้านายเปลี่ยนใจ นอกเหนือจากนั้น ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมฉันถึงเลือกที่นี่ นั่นเพราะวัตถุโบราณในสถานที่แห่งนี้”
“วัตถุโบราณที่นี่งั้นเหรอ? วัตถุโบราณที่ถูกทิ้งไว้ที่นี่มีค่าขนาดนั้นเลยรึไง?”
“อืม มูลค่าของโบราณวัตถุนั้นสำคัญก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือนายจะนำมันกลับไปได้หรือไม่ แม้ว่าจะมีวัตถุโบราณที่มีมูลค่ามาก แต่นายจะทำยังไงถ้ามันหนัก 10 ตัน?
แล้วถึงแม้ว่ามันจะเป็นวัตถุโบราณที่นายสามารถถือได้ด้วยมือเดียว แต่มันก็ยากที่จะนำมันกลับไปในกรณีที่นายพบกับสัตว์ประหลาด”
“อืม ก็จริง”
“ดังนั้น มันต้องเป็นสิ่งที่นายสามารถนำมันกลับไปง่ายๆและมีค่าในระดับหนึ่ง ฉันเลือกที่นี่หลังจากพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว”
อากิระเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่ามันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงชีวิตมายังสถานที่แห่งนี้หลังจากฟังคำอธิบายของอัลฟ่า แต่จากนั้นเขาก็คิดอย่างอื่น
“…เดี๋ยวนะ หมายความว่าพื้นที่ที่ฉันสำรวจเมื่อวานไม่มีวัตถุโบราณล้ำค่าเลยเหรอ?”
“บริเวณนั้นถูกกวาดไปหมดแล้ว มันเป็นสถานที่ที่แม้แต่เด็กอย่างคุณก็สามารถสำรวจได้ ดังนั้นหากมันยังมีวัตถุโบราณล้ำค่าเหลืออยู่อีกล่ะก็ พื้นที่ก็ควรที่จะเต็มไปด้วยนักล่าเต็มไปหมดแล้ว แต่ที่นั่นก็ไม่มีใครนี่ใช่ไหมล่ะ”
“อืม…เธอพูดถูก นั่นก็สมเหตุสมผลดี”
ขณะที่อากิระคิดว่าความเสี่ยงทั้งหมดที่เขาได้รับเมื่อวานนี้นั้นไร้ประโยชน์ เขาก็หมดแรงทันที
“ฉันคิดอยู่เสมอ ว่าฉันสามารถค้นหาวัตถุโบราณในซากปรักหักพังได้ ตราบเท่าที่ฉันทำงานหนัก แต่… ดูเหมือนว่าฉันจะไร้เดียงสาเกินไป มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสินะ…”
เมื่อมองดูว่าอากิระเศร้าใจเพียงใด อัลฟ่าก็ส่งยิ้มให้เขาราวกับว่าเธอกำลังพยายามให้กำลังใจเขา
“แต่ก็ต้องขอบคุณที่มันทำให้คุณได้พบฉันไง ดังนั้น ฉันคิดว่ามันคุ้มที่นายจะเสี่ยงชีวิตเพื่อมันนะรู้ไหม? จากนี้นายจะได้เห็นว่านายโชคดีแค่ไหนที่ได้พบฉัน ดังนั้นตั้งตารอได้เลย โอเค?”
อากิระหัวเราะราวกับว่าเขามีกำลังใจขึ้นเล็กน้อย
“เธอพูดถูก ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอเลย”
“แค่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน”
อัลฟ่าแสดงรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจให้เขาขณะที่เธอตอบกลับ
มีวัตถุโบราณมูลค่าต่ำจำนวนมากกระจายอยู่บริเวณรอบนอกของซากปรักหักพังที่เขาอาศัยอยู่ นักล่าทั่วไปไม่แม้แต่จะชายตามองวัตถุโบราณราคาถูกเช่นนี้ แต่วัตถุโบราณเหล่านั้นก็มีค่ามากในสายตาเด็กจากสลัมอย่างอากิระ เพราะแบบนั้น อากิระจึงไม่ต้องมุ่งมั่นเพื่อค้นหาวัตถุโบราณที่ระดับสูงกว่านี้ อัลฟ่าเห็นถึงข้อเท็จจริงนั้นทำให้เธอนำทางเขามาที่ซากปรักหักพังนี้
มีผู้คนจำนวนมากนอกเหนือจากนักล่าที่เข้ามาสำรวจซากปรักหักพัง ตัวอย่างเช่น บริษัทต่างๆที่มักจะใช้เงินจำนวนมากเพื่อส่งทหารเข้ามาในซากปรักหักพัง คนเหล่านี้บางครั้งก็ช่วยเหลือกันและกัน บางครั้งก็ฆ่ากันเองเพื่อเป็นเจ้าของวัตถุโบราณ พวกเขาจะหยุดก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายคิดว่าวัตถุโบราณชิ้นนั้นไม่คุ้มกับการนองเลือด
เมื่อพวกเขาตัดสินใจว่าซากปรักหักพังไม่คุ้มกับสำรวจ พวกเขาจะออกจากสถานที่นั้นไป ด้วยการให้ทหารออกจากที่นี่เป็นอย่างแรก เนื่องจากหน่วยทหารเหล่านี้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก มันส่งผลให้พวกเขามีอุปกรณ์และทักษะที่ดีกว่าปกติ แต่เพราะแบบนั้น การตายของทหารทุกนายทำให้พวกเขาขาดทุน ดังนั้นบริษัทจะรีบเรียกทหารกลับ เว้นแต่จะเป็นวัตถุโบราณที่หายากและประเมินค่าไม่ได้ อย่างพวกอุปกรณ์การผลิตจากโลกเก่าที่เทคโนโลยีปัจจุบันไม่สามารถทำซ้ำได้ เพราะไม่ว่ายังไง ถ้าเป็นโบราณวัตถุระดับทั่วไปพวกเขาสามารถซื้อได้จากนักล่า สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเงิน เหมือนพวกบริษัทเหล่านี้ พวกเขาจะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยเงินตราบเท่าที่เป็นไปได้
หลังจากที่ทหารออกจากซากปรักหักพังแล้ว นักล่าก็จะถอยเช่นกัน แต่หลังจากชั่งน้ำหนักผลที่ตามมาจากการตัดสินใจของพวกเขาแล้วเท่านั้น
แต่หลังจากที่พวกเขาคำนวนอะไรหลายๆอย่างเช่นอัตราความเสี่ยงกับมูลค่าวัตถุโบราณแล้ว หากคิดว่ายังได้กำไร พวกเขาจะตัดสินใจกลับไปยังซากปรักหักพังเพื่อเอาวัตถุโบราณที่ยังเหลืออยู่
พวกสุดท้ายที่จะถอนตัวออกจากซากปรักหักพังคือเหล่าคนธรรมดาซึ่งแยกได้เป็นสองแบบ คือคนที่มีทักษะพอที่จะเอาชีวิตรอดและสังหารสัตว์ประหลาดเพื่อหาวัตถุโบราณ กับเหล่าคนที่ถูกความโลภของตัวเองหลอกล่อและวิ่งเข้าหาความตายในซากปรักหักพัง เพราะคนทั้งสองแบบนี้ทำให้จำนวนของวัตถุโบราณที่เหลืออยู่ในซากปรักหักพังจะลดลงผกผันกับจำนวนศพที่มากขึ้น พวกเขาจะถอนตัวจากซากปรักหักพังเมื่อจำนวนศพมีมากกว่ามูลค่าของโบราณวัตถุที่พวกเขาสามารถหาได้ หลังจากที่คนเหล่านี้ถอนตัวออกไป ซากปรักหักพังก็จะถูกทิ้งร้างในที่สุด
วันนี้ อากิระได้ก้าวเข้าสู่ซากปรักหักพังแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้าง เนื่องจากมีสัตว์ประหลาดจำนวนมากเดินไปมาอยู่รอบๆ หากเป็นตอนปกติเขาจะไม่สามารถเข้าถึงที่นี่ได้ด้วยซ้ำ มันเป็นสถานที่ที่นักล่าระดับสูงก็ยังไม่เข้ามา เนื่องจากพวกเขาคิดว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยง ทำให้ยังมีวัตถุโบราณที่มีค่าหลงเหลืออยู่จำนวนมาก
แต่อากิระไม่รู้ถึงมูลค่าของวัตถุโบราณเหล่านี้ เขาเอาแต่ยัดของที่อัลฟ่าชี้ใส่ถุง แม้แต่ถุงที่เขาถืออยู่ก็เป็นสิ่งที่เขาพบในซากปรักหักพัง เนื่องจากถุงที่เขานำมาจากสลัมนั้นฉีกขาดจากน้ำหนักของวัตถุโบราณที่ใส่เข้าไป
หลังจากที่เขารวบรวมวัตถุโบราณทั้งหมดในพื้นที่เสร็จแล้ว อากิระก็ดูค่อนข้างกังวล เพราะถุงที่เขาใช้นั้นค่อนข้างบางและดูไม่ทนทานเอาเสียเลย
“…มันจะไม่ฉีกขาดก่อนที่เราจะไปถึงเมืองใช่ไหม?”
“ไม่ต้องกังวล ถุงนี่มาจากโลกเก่า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นของที่ระลึกจากโลกเก่า มันแข็งแกร่งกว่าที่เห็น ดังนั้นมันจะไม่เป็นไร”
“อาหะ เทคโนโลยีโลกเก่านี่เป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ”
หลังจากนั้นอากิระก็มองเข้าไปในกระเป๋า มันเต็มไปด้วยวัตถุโบราณที่อัลฟ่าเลือกมา วัตถุโบราณเหล่านี้เป็นวัตถุขนาดเล็กที่แม้แต่เด็กเล็กก็สามารถพกพาไปได้ มีวัตถุมากมายที่อากิระไม่รู้จัก มีดชั้นดีพร้อมปลอก ชิ้นส่วนกลไกบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก กล่องหลายกล่องที่อัลฟ่าบอกว่าเต็มไปด้วยยา สิ่งที่ดูเหมือนผ้าพันแผล วัตถุที่ดูเหมือนนาฬิกาข้อมือ และอื่นๆ อีกมากมาย ยังมีที่ว่างเหลือในกระเป๋าและมันก็ไม่หนักเกินไป
“…เราจะไม่เอาวัตถุโบราณไปมากกว่านี้หน่อยเหรอ?”
เขาอุตส่าห์มาไกลขนาดนี้ เขาอยากจะขนวัตถุโบราณไปให้ได้มากที่สุด แต่อัลฟ่ากลับตอบคำถามของเขาด้วยการส่ายหัวและทำหน้าจริงจัง
“ไม่… นี่เป็นขีดจำกัดของจำนวนวัตถุโบราณที่นายถือได้แล้ว มันเป็นขีดจำกัดน้ำหนักสูงสุดที่นายสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระระหว่างทางกลับเมือง ฉันจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้นายปลอดภัยระหว่างทางกลับ แต่ในกรณีที่นายเจอเข้ากับสัตว์ประหลาด นายจะต้องวิ่งหนีในขณะที่ถือถุงใบนี้ไปด้วย ดังนั้น ถ้ามันหนักเกินไป นายจะไม่สามารถวิ่งหนีได้และจบลงด้วยการถูกฆ่า นายมีทางเลือกเพียงแค่ทิ้งโบราณวัตถุไว้เบื้องหลัง จะดีกว่าถ้ามันไม่หนักเกินไป ดังนั้นมันจะไม่ใช้พลังงานของคุณมากนัก ดังนั้นอย่าโลภ ตกลงไหม?”
อากิระให้ความสำคัญกับชีวิตของเขาเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้น เขาตัดสินใจที่จะเชื่อฟังคำสั่งของอัลฟ่าให้มากที่สุด แม้ว่ามันจะค่อนข้างน่าหงุดหงิด แต่เขาก็พยักหน้าและล้มเลิกความคิดที่ไร้เดียงสาของเขา
“…อืม ถ้าเป็นแบบนี้ หมายความว่าของพวกนี้ก็ได้ราคาอยู่ใช่ไหม?”
“บอกตามตรงว่าฉันไม่รู้ สุดท้ายราคาของวัตถุโบราณจะเปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาด และไม่ใช่ว่านายจะต้องขายทุกอย่าง อย่างน้อยก็เก็บมีดและอาจจะดีกว่าถ้านายไม่ขายยานั่นด้วย มันคงแย่แน่ถ้านายได้รับบาดเจ็บและไม่มีวิธีรักษาตัวเอง คิดซะว่าเอามันไว้เผื่อใช้ก็แล้วกัน”
“ก็หมายความว่าของที่ขายได้ก็น้อยลงอีกน่ะสิ…”
“มันเป็นสิ่งจำเป็นน่ะ เพราะงั้นตอนนี้อดทนไปก่อนแล้วกันนะ”
“…อืม”
เพราะเป็นแบบนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะขายวัตถุโบราณครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดที่เขามีอยู่ แม้ว่าเขาจะค่อนข้างไม่พอใจ แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำได้ในเวลานี้ มันทำให้เขายอมรับมันได้อย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับเมืองกันเถอะ ขากลับของเราจะไม่ง่าย ดังนั้นระวังตัวด้วย โอเค?”
“อ่า โอเค”
“ถ้านายก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่มีมอนสเตอร์เหล่านั้นปกป้องในขณะที่ถือวัตถุโบราณเหล่านี้ การเคลื่อนไหวของนายจะช้าลง หากเหตุการณ์แบบครั้งก่อนเกิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้นายจะกลายเป็นฝุ่นอย่างแน่นอน ดังนั้นนายต้องระวังดีๆล่ะ”
ขณะที่อัลฟ่ายิ้มอย่างมีความหมาย อากิระก็สะดุ้งเล็กน้อย
“ดะ…ได้”
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
เป็นอีกครั้งที่อากิระตามอัลฟ่าอย่างกระวนกระวายในขณะที่เธอหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริง
อากิระสามารถกลับมาที่ชานเมืองของซากปรักหักพังได้ด้วยคำแนะนำของอัลฟ่า ซึ่งมันยังเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรกร้าง มันจึงเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างอันตราย แต่เมื่อเทียบกับส่วนลึกของซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดนั่นแล้ว
ที่นี่กลับปลอดภัยกว่ามาก เพราะเขาไม่เคยเจอสัตว์ประหลาดที่นี่เลย ความกังวลใจของเขาหายไปหลังจากออกมาจากซากปรักหักพัง ทันทีที่เขารู้ว่าเขารอดจากที่แบบนั้นมาได้ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ถาโถมเข้าใส่เขาทันที และเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมื่อมองไปที่เขาที่ถอนหายใจ อัลฟ่าก็ยิ้มและพูดว่า
“เราพักสักหน่อยไหม ถ้านายเหนื่อยขนาดนั้น? ฉันจะคอยดูรอบๆเอง นายจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ”
“อืม… แต่ฉันอยากกลับเมืองให้เร็วที่สุด เราไปต่ออีกหน่อยเถอะ”
“เอาล่ะ เรามาคุยกันระหว่างเดินกลับกันดีไหม”
แม้ว่าเธอจะพูดเช่นนั้น อากิระ เด็กที่เติบโตมาในตรอกหลังของสลัมก็ไม่มีอะไรจะคุยมากนัก สุดท้ายอัลฟ่าจะเป็นคนเริ่มหัวข้อในขณะที่อากิระตอบเธอ
อัล-“นายรู้รึเปล่าว่าจริงๆแล้วเมืองคุกามายามะที่นายอาศัยอยู่เนี่ย มันถูกสร้างขึ้นเพื่อสำรวจซากปรักหักพังคุซึซึฮาระเลยนะ”
อา-“โอ้ งี้นี่เอง เหมือนว่าเธอรู้เรื่องอะไรแบบนี้เยอะเลยนะ”
อัล-“เห็นฉันแบบนี้ก็นะ จริงๆแล้วฉันรู้หลายอย่างเลย แต่ก็แค่เกี่ยวกับภูมิภาคตะวันออกเท่านั้นแหละ ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศูนย์กลางกับภูมิภาคตะวันตก”
อา-“ภูมิภาคตะวันตก เอ่อ… ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าไหร่เหมือนกัน แต่ฉันได้ยินมาว่าเป็นที่อยู่อาศัยของพวกปีศาจ”
อัล-“นั่นสินะ ฉันได้ยินแต่ข่าวลือเกี่ยวกับสถานที่นั้น เช่น เทคโนโลยีในที่นั้นไม่ก้าวหน้าเลย แต่กลับมีสิ่งที่เหมือนกับนักเวทย์อยู่ที่นั่น”
อา-“สำหรับศูนย์กลาง พวกเขาเรียกมันว่าอะไรนะ? ‘รัฐชาติ(Nation State)’ล่ะมั้ง? ฉันได้ยินมาว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นที่นั่น”
อัล-“ถ้าจะให้อธิบายอย่างคร่าว ๆ สหประชาชาติกลาง(The Central United Nations)หรือเรียกสั้น ๆ ว่าสหประชาชาติ(United Nations) คือทุกประเทศที่รวมกันภายใต้รัฐบาลนั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลาง
และระบบการปกครองของพวกเขาเรียกว่ารัฐประชาชาติ พื้นที่ทางตะวันออกที่ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของศูนย์กลางจะถูกเรียกว่าภาคตะวันออก (Corporatocracy of the Eastern Region)
และพื้นที่ทั้งหมดทางตะวันตกที่ไม่ได้ปกครองโดยศูนย์กลางเรียกว่าภาคตะวันตก เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยข่าวลือที่ฉันไม่รับประกันว่าจะจริงหรือไม่ ข่าวลือที่ว่าที่นั่นไม่มีปืนแต่กลับมีเวทมนตร์อยู่ในสถานที่นั้น
มีกระทั้งเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าเอลฟ์อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ทำให้มีผู้คนมากมายที่ต้องการสำรวจพื้นที่นั้น อากิระ นายสนใจรึเปล่าล่ะ?”
อา-“ไม่หรอก ฉันสนใจที่จะเรียนเรื่องพื้นฐานของที่นี่ก่อน เพราะตอนนี้ฉันยังอ่านหนังสือไม่ออกด้วยซ้ำ”
อัล-“ฉันเข้าใจ นอกจากการอ่านและเขียนแล้ว ฉันจะเพิ่มการบรรยายสามัญสำนึกในการฝึกอบรมพิเศษของนายไปด้วยเลย ไว้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
“อืม ขอบคุณนะ”
“ด้วยความยินดี”
เนื่องจากอัลฟ่ายื่นข้อเสนอมากมายให้กับเขา เขาจึงรู้สึกขอบคุณผสมกับความกลัวเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า ‘ไม่มีอาหารกลางวันฟรีในโลกนี้’ ได้ฝังรากลึกอยู่ในตัวเขาแล้ว อัลฟ่าแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนให้อากิระ ทุกสิ่งที่เธอทำก็เพื่อประโยชน์ของเธอเองเช่นกัน
เมื่อเข้ามาถึงเมืองคุกามายามะ อากิระก็มุ่งหน้าไปยังศูนย์แลกเปลี่ยนของสำนักงานนักล่าทันที มีศูนย์แลกเปลี่ยนหลายแห่งทั้งในและนอกเมือง ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณ มูลค่าของวัตถุโบราณนั้นไม่แน่นอน ศูนย์แลกเปลี่ยนภายในกำแพงส่วนใหญ่ให้บริการแต่กับนักล่าระดับสูง
สถานที่เหล่านั้นจึงเต็มไปด้วยวัตถุโบราณที่มูลค่ามหาศาลอยู่เสมอ ยิ่งบวกกับการแข่งขันระหว่างบริษัทต่างๆ ที่ต้องการเป็นเจ้าของวัตถุโบราณดังกล่าวทำให้ราคามีแต่สูงขึ้นและสูงขึ้น
อากิระไปที่ศูนย์แลกเปลี่ยนที่ตั้งอยู่ในเขตล่างใกล้กับสลัม คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่เป็นนักล่าหน้าใหม่และผู้คนจากสลัม มีอัตราแลกเปลี่ยนที่แย่ที่สุดในบรรดาศูนย์แลกเปลี่ยนทั้งหมดที่มี ผู้คนต่างเอาวัตถุโบราณที่ไม่สามารถระบุประเภทได้มาแลกเปลี่ยนที่นี่
ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปสถานที่ที่ควรจะซื้อขายได้เฉพาะวัตถุโบราณ กลับกลายเป็นร้านค้าที่ซื้อขายได้เกือบทุกอย่าง กลายเป็นสถานที่สำคัญของชาวสลัม เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้ทางเดียวของพวกเขา
เมื่อเข้าไปในสถานที่นั้นแล้วอากิระก็หยิบวัตถุโบราณที่เขาจะขายออกจากถุงใส่ลงไปในถาด จากนั้นเขาก็หยิบถาดไปวางเรียงหน้าเคาน์เตอร์ ตามที่อัลฟ่าบอกเขา เขาไม่ได้ขายมีดและกล่องยา
พนักงานที่เคาน์เตอร์เป็นชายหนุ่มชื่อโนจิมะ เมื่อเขาเห็นรูปลักษณ์ของอากิระ เขาก็รู้ว่าอากิระเป็นเพียงเด็กจากสลัม ดังนั้นเขาจึงจะให้บริการเขาเหมือนตอนที่เขาทำเด็กคนอื่นๆจากสลัม
แต่เมื่อเขาเห็นวัตถุโบราณบนถาดก็เปลี่ยนใจทันที ท้ายที่สุด พวกมันไม่ใช่สิ่งของที่จะหาได้ในสลัม
“แสดงบัตรนักล่าออกมา ถ้านายมี”
อากิระหยิบบัตรนักล่าที่ดูเหมือนเศษกระดาษออกมา โนจิมะรับบัตรนั้นไปใช้งานกับเครื่องที่อยู่ข้างหน้าเขา จากนั้นเขาก็คืนบัตรฮันเตอร์ของอากิระพร้อมกับเหรียญ 3 เหรียญ จากนั้นจึงหยิบถาดที่ใส่วัตถุโบราณวางบนชั้นด้านหลัง
อากิระยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องมองที่เหรียญทั้งสาม 1 เหรียญมีค่าเท่ากับ 100 ออรัม รวมเป็น 300 ออรัม ออรัม เป็นสกุลเงินที่ออกโดย บริษัทอุตสาหกรรมซาคาชิตะ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 บริษัทใหญ่ในส่วนปกครอง(Corporate Government)
การหมุนเวียนของสกุลเงินออรัมนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัดของบริษัทอุตสาหกรรมซาคาชิตะ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสกุลเงินนี้ ดังนั้นมันจึงถูกใช้ในพื้นที่เศรษฐกิจภายใต้อิทธิพลของบริษัทเป็นส่วนใหญ่ เมืองคุกามายามะก็เป็นหนึ่งในพื้นที่เหล่านั้น
มูลค่าของ 300 ออรัม นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเขตล่างของเมืองคุกามายามะ การซื้ออาหารราคาถูกก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับคนในเมืองแล้ว มันเป็นเศษเงินที่ไม่พอที่จะซื้อน้ำดื่มซักแก้วด้วยซ้ำ
เพื่อที่จะหาเงินจำนวนนี้ อากิระต้องเอาตัวรอดจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่เกือบทำให้เขาเสียชีวิต เขาโชคดีที่รอดมาได้เพราะการช่วยเหลือของอัลฟ่า เขาทำกระทั้งไปยังพื้นที่ที่ปกติไม่สามารถเข้าถึงได้เพื่อนำวัตถุโบราณมา
เมื่อคิดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา เขายืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับเงินที่เขาได้รับหลังจากความยากลำบากทั้งหมดที่เขาเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อได้มา… 3 เหรียญ… แค่ 300 ออรัม
ใบหน้าของอากิระแดงก่ำด้วยความโกรธเมื่อสายตาของเขาสบเข้ากับดวงตาของโนจิมะ โนจิมะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอากิระจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ขณะที่อากิระกำลังจะบ่น โนจิมะก็อธิบายให้เขาฟังราวกับกำลังเตือนเขา
“ฉันรู้ว่านายมีหลายอย่างที่อยากจะพูด แต่สำหรับนักล่าปลายแถว ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีประวัติใดๆ มีระเบียบสำหรับค่าคอมมิชชั่นแรกจะจ่ายเพียง 300 ออรัม เท่านั้น การตรวจสอบสินค้าจะเสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้หรือนานกว่านั้น
นายควรรู้สึกขอบคุณที่ได้รับเงิน 300 ออรัม สำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร มันอาจจะเป็นแค่ขยะก็ได้จริงไหม? เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น ฉันจะให้เงินส่วนที่เหลือในครั้งต่อไปที่นายมาที่นี่
แต่ถ้ามันมีค่าน้อยกว่า 300 ออรัม นายต้องคืนส่วนต่างมาด้วย แต่ถ้านายมั่นหน้าว่าของที่เอามามันแพงล่ะก็… คราวหน้าค่อยมาขายอย่างอื่นกันใหม่ การยืนยันตัวตน จะทำผ่านบัตรนักล่า ของนาย ดังนั้นหากทำมันหาย
นายก็ลืมเรื่องเงินและความไว้วางใจของเราไปได้เลย แค่นั้นแหละ… มีคำถามอะไรไหม?”
หลังจากฟังคำอธิบายของโนจิมะ อากิระก็เข้าใจสถานการณ์และสามารถยอมรับได้บางส่วน แต่ใบหน้าของเขายังคงดูไม่เป็นมิตร เพราะเขาไม่สามารถยอมรับสถานการณ์ทั้งหมดได้ ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าการประท้วงนั้นไร้ความหมาย
“…พรุ่งนี้ฉันต้องมาที่นี่อีกใช่ไหม?”
“นั่นก็ต่อเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้นภายในวันพรุ่งนี้เท่านั้น ยิ่งวัตถุโบราณมีราคาแพงแค่ไหนก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบมากขึ้นเท่านั้น… แม้ว่าเราจะตรวจสอบเสร็จแล้ว ก็ยังไม่มีความหมายหากนายไม่ได้นำสินค้าใดๆ มาในครั้งต่อไป
ฉันจะให้เงินของส่วนนี้หลังจากที่นายส่งมอบสินค้าครั้งต่อไปให้เราเท่านั้นแหละ”
แม้ว่าโนจิมะจะเข้มงวดกับอากิระมาก แต่อากิระก็รู้สึกว่าโนจิมะยังเกรงใจเขาอยู่
ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเด็กน้อยอย่างอากิระผู้ซึ่งตั้งเป้าจะเป็นนักล่ามาที่จุดแลกเปลี่ยนนี้หลังจากได้สมบัติบางอย่างมา โนจิมะเคยเห็นเด็กประเภทนี้มาก่อนสองสามครั้ง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมาที่นี่ได้เป็นครั้งที่สอง
อาจเป็นเพราะพวกเขาเลิกเป็นนักล่าหรือถูกฆ่าตาย และจำนวนเด็กที่จะกลับมาหลังจากผ่านไปแล้ว 10 วันก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
“…ฉันไม่รู้ว่านายต้องทำเรื่องอะไรแปลกๆสักกี่หนเพื่อให้ได้วัตถุโบราณเหล่านั้นมา แต่ถ้านายมีเป้าหมายที่จะใช้ชีวิตในฐานะนักล่า นายจะต้องทำอะไรแบบนั้นทุกวัน ถ้ามันทำให้นายฝันสลายแล้วล่ะก็ นายก็ควรจะหยุด ไม่งั้นก็มีแต่ตายกับตาย”
อากิระตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่มีทาง อีแค่การเสี่ยงชีวิต ก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตในสลัม ฉันต้องประสบความสำเร็จ ฉันต้องทำให้ได้”
คนที่มีความตั้งใจแน่วแน่จะได้รับความแข็งแกร่ง และในอีกแง่หนึ่ง ความแข็งแกร่งนี้จะดึงศักยภาพสูงสุดของบุคคลนั้นออกมา โนจิมะยิ้มเล็กน้อยเมื่อเขารู้สึกถึงสิ่งนั้นจากคำพูดของอากิระ
“อย่างนั้นเหรอ? เอาเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ”
โนจิมะแอบให้กำลังใจเด็กชายตรงหน้า เขาหวังว่าเด็กชายจะไม่เป็นไร
———–
Avolenn : เหมือนตอนมันสั้นลง…ดีแล้ว
———-
สนับสนุนผู้แปลได้ที่นี่นะครับ กสิกร 475-2-65694-8 เมือง บ.