Rebuild World - ตอนที่ 6 วิญญาณจากโลกเก่า
บทที่ 6 วิญญาณจากโลกเก่า
อากิระกลับมาที่ซากโบราณสถานของเมืองคุซึซึฮาระอีกครั้ง เขาปฏิบัติตามทุกคำสั่งของอัลฟ่าอย่างเคร่งครัดเมื่อเขาเดินลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง
ถึงแม้ว่าเขาจะถูกยิงเมื่อไม่นานมานี้ แต่อากิระก็ต้องใช้แรงกายค่อนข้างหนักหน่วงโดยการปีนป่ายซากปรักหักพังเหมือนครั้งที่แล้ว
แต่น่าแปลก ที่อากิระพบว่าไม่มีปัญหาในการทำแบบนั้นเลย
อัลฟ่ายิ้มให้อากิระขณะที่เธอพอใจกับพฤติกรรมที่อากิระทำและเคลื่อนไหวไปมา
“ดูนายสิ ดูเหมือนว่าร่างกายของนายจะชิวๆเลยนะ”
“ใช่ ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่วันนี้ร่างกายดูเหมือนจะพร้อมสุดๆ ถึงจะพักผ่อนเพิ่มขึ้นวันหนึ่งก็เถอะ… แต่ฉันรู้สึกดีกว่าก่อนที่จะถูกยิงซะอีก พูดตามตรง มันค่อนข้างน่ากลัวนะเนี่ย”
น่าแปลกที่อาการของอากิระดีขึ้นอย่างผิดปกติ ไม่มีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อยบนใบหน้าของเขา และจิตใจของเขาก็เฉียบแหลมขึ้นกว่าเดิม
เขารู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาได้เลย
อากิระเริ่มตระหนักถึงสภาพร่างกายของตัวเองและพบว่ามันไม่เป็นธรรมชาติและรู้สึกขนลุกเล็กน้อย อัลฟ่าพูดกับเขาราวกับว่าไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับเรื่องนี้
“นั่นอาจจะเป็นผลของยาที่นายกินไปเมื่อวาน”
“ยา? ฉันก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่บาดแผลของฉันหายเร็วขนาดนั้น แต่มันช่วยอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกว่าก่อนโดนยิงล่ะ?”
“ถึงฉันจะบอกให้กินเยอะ ๆ เพื่อความปลอดภัย แต่ดูเหมือนว่า มันไม่เพียงแต่รักษาบาดแผลจากกระสุนเท่านั้น แต่ยังรักษาบาดแผลอื่นๆ ของนายด้วย”
“แต่ฉันไม่ได้มีบาดแผลอื่นๆบนร่างกายนี่นา…”
ตรงกันข้ามกับอากิระที่เริ่มสับสนมากขึ้น อัลฟ่ากลับยิ้มแย้ม
“เมื่อวาน ตอนที่เราว่าง ฉันถามนายหลายอย่างเกี่ยวกับชีวิตประจำวันใช่ไหมล่ะ? อันนี้เป็นสมมติฐานจากข้อมูลที่ได้มาตอนนั้นนะ ฉันคิดว่า ชีวิตอันยากลำบากที่นายผ่านมาจนถึงตอนนี้
ทำให้ร่างกายของนายอยู่ภายใต้ความเครียดอย่างมาก ดังนั้นร่างกายของคุณจึงอยู่ในสภาพที่มีบาดแผลภายในจำนวนมาก”
“ฉันยอมรับว่าชีวิตในตรอกซอกซอยของฉันมันค่อนข้างลำบาก แต่เธอก็พูดเกินไปล่ะมั้ง… ฉันก็ยังเดินไปไหนมาไหนได้ดีนี่นา…”
“สภาพความเป็นอยู่ที่นายคิดว่าเป็นปกตินั้น จริงๆแล้วมันเลวร้ายมากเลยล่ะ ยกตัวอย่างนะ หากนายยังคงอยู่ในสภาพที่ขาดสารอาหารเป็นเวลานาน ร่างกายของนายก็จะทรุดโทรมลงอย่างมาก
มันเหมือนกับการสะสมบาดแผลขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในร่างกาย ยาที่ฉันบอกให้นายกินเมื่อวานน่าจะเข้าไปรักษาบาดแผลเล็ก ๆ ที่สะสมในร่างกายของนาย
ฉันพนันได้เลยว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนายถึงรู้สึกดีกว่าปกติ”
“…สรุปแล้วหมายความว่า ฉันอยู่ในสภาพใกล้ตายจนกระทั้งเมื่อวานงั้นเรอะ?”
ขณะที่อากิระแสดงสีหน้าที่สับสนและประหลาดใจกับคำพูดของอัลฟ่า เธอเพียงแค่ส่งรอยยิ้มให้อากิระ
“ก็นั่นแหละ แต่นายควรดีใจไม่ใช่เหรอที่ตอนนี้นายรอดแล้ว?”
อากิระขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาตระหนักได้ว่าชีวิตในตรอกของเขามันโหดร้ายขนาดไหน แต่การที่จะบอกว่า “ดีใจ”กับเรื่องที่ผ่านมันมาได้ ก็ดูไม่เข้ากับเขาเท่าไหร่
แม้ว่าพวกเขาจะเดินลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง แต่พวกเขากลับไม่พบสัตว์ประหลาดเลยซักตัว อัลฟ่าออกคำสั่งเหมือนเป็นเรื่องปกติและอากิระเองก็ไม่รู้สึกเหมือนกำลังเดินทางผ่านสถานที่ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดเลยซักนิดเดียว
การปฏิบัติตามคำสั่งของอัลฟ่าทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและช่วยให้เขาผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังที่อันตราย แต่เขาก็สามารถใส่ใจกับสิ่งอื่นนอกเหนือจากการระวังสิ่งรอบข้าง
เขาค่อนข้างจะกระวนกระวายใจในระหว่างการเดินทาง เขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายคุยก่อน แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ระหว่างการสำรวจซากปรักหักพังก็ตาม
“อัลฟ่า ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ อยากถามอะไร?”
“ทำไมเธอถึงใส่ชุดแบบนี้ล่ะ?”
อัลฟ่าสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์แขนยาวและท่อนล่างยังเต็มไปด้วยเครื่องประดับแวววาวมากมาย
“โอ้…มันดูไม่เข้ากับฉันเหรอ? หรือนายอยากให้ฉันเปลี่ยนเป็นชุดอื่น? ชุดนี้ไม่ถูกใจนายรึไง?”
จากนั้นอัลฟ่าก็หมุนตัวไปรอบๆ อย่างสนุกสนานพร้อมกับส่งยิ้มหยอกล้อกับอากิระ ชุดของเธอสะบัดไปรอบๆ ผมยาวสยายเป็นวงกลม มันเผยแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า และขับเน้นหน้าอกของเธอให้ชัดขึ้นไปอีก
ที่อากิระถามถึงชุดของอัลฟ่าเพราะเขาคิดว่าชุดเธอมันดูไม่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน… แต่เมื่อเขาได้มองอัลฟ่าที่ทำท่าทางแบบนั้น มันก็ทำให้เขาลืมสาเหตุที่ถามคำถามนั้นออกไป ทำให้เขาได้แต่ตอบอัลฟ่าไป
“…เออ เธอดูดีมาก แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ถ้าเธอจะถามถึงความชอบของฉัน ฉันชอบชุดที่เธอใส่ตอนเจอกันครั้งแรกมากกว่า”
อย่างแรกเลย มันเป็นชุดที่เป็นเอกลักษณ์จากโลกเก่าที่ไม่สามารถพบเห็นได้แล้วในทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าการพบกันระหว่างพวกเขานั้นสร้างความประทับใจให้กับอากิระอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงชอบชุดนั้นมากกว่า
อัลฟ่าหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานเพราะเธอรู้เรื่องนั้นดี
“ชุดที่ฉันใส่ตอนเจอกันครั้งแรกสิน๊าาาา หืม… มันเรียกสั้นๆว่าชุดวันเกิด!!”
ในวินาทีต่อมา ชุดของอัลฟ่าก็หายไป เป็นอีกครั้งที่อากิระได้เห็นเรือนร่างอันงดงามที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดแวววาวเมื่อครู่ อากิระที่เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น!! ฉันหมายถึงชุดหลังจากนั้น!! อย่าลบชุดทิ้งแบบนี้เซ่!! ใส่ใหม่เดี๋ยวนี้เลย!! ทำไมถึงชอบเปลือยแบบนี้ล่ะเนี่ย??!!”
อัลฟ่าคืนสภาพชุดของเธอและหัวเราะคิกคักเล็กน้อย
“ทั้งที่ร่างกายนี้เป็นผลมาจากการคำนวนเชิงตรรกะว่าเป็นที่ชื่อชอบของผู้ชายส่วนใหญ่แท้ ๆ แต่นายกลับก็ไม่สนใจเลย หรือว่าเพราะนายยังเด็กอยู่? นายดูชอบอาหารมากกว่าเด็กผู้หญิงซะอีก”
อากิระขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใช่ ก็อย่างที่เห็น ฉันเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆจากสลัม ถ้าฉันหาเงินไม่พอซื้ออาหาร ฉันก็อดตาย …พูดจริงๆก็ใช่ ฉันชอบอาหารมากกว่าผู้หญิง … แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชุดกันเล่า!!”
มันมีเหตุผลว่าทำไมอัลฟ่าถึงเปลือยกายเมื่อเธอพบเขาครั้งแรก เพราะแบบนั้น เขาจึงคิดว่าอาจมีเหตุผลว่าทำไมอัลฟ่าถึงใช้ชุดที่ดูไม่เข้ากับซากปรักหักพังนี้
ดูจากสภาพตอนนี้ เขาหมดความคิดที่จะหาคำตอบแล้ว ถ้าอัลฟ่าไม่ตอบเขาก็ไม่อยากถามอะไรอีก
แต่แล้วจู่ๆ อัลฟ่าก็หยุดแกล้งอากิระ แม้ว่าเธอจะยังยิ้มอยู่ แต่เธอก็เริ่มพูดอย่างจริงจังมากขึ้น
“ยังจำที่ฉันบอกนายตอนนั้นได้ไหม? ฉันใช้ชุดที่จะเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะสังเกตเห็นฉันและสามารถกระตุ้นปฏิกิริยาจากพวกเขาได้ใช่ไหมล่ะ?
ตอนนี้ก็เหมือนกัน ฉันกำลังส่งสัญญาณไปยังสมองของนายโดยตรง เพื่อให้นายสามารถรับรู้ฉันตัวตนของฉันได้ แต่มีบางอย่างที่ฉันสนใจในกระบวนการถ่ายโอนสัญญาณนั้นอยู่นิดหน่อย”
“หืม…มันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“อันที่จริง ระบบป้องกันของเมืองคุซึซึฮาระยังคงเปิดใช้งานอยู่ และฉันกำลังแทรกแซงระบบนั้นเพื่อเผยแพร่ภาพของฉันในพื้นที่กว้าง ทำให้รูปลักษณ์ของฉันสามารถเห็นได้ผ่านอุปกรณ์ที่ใช้ผ่านระบบการป้องกันของเมืองคุซึซึฮาระ
มันเลยเป็นสาเหตุว่าทำไมสัตว์ประหลาดจักรกลถึงเห็นฉันเมื่อวันก่อน และเพราะแบบนั้น…คนที่มีอุปกรณ์ที่คล้ายกันก็จะสามารถเห็นฉันได้ด้วยเหมือนกัน”
ใบหน้าของอากิระแข็งทื่อเมื่อเขาเข้าใจสิ่งที่อัลฟ่าพยายามจะพูด
“…สรุปก็คือ ตอนนี้มีคนกำลังเห็นเธองั้นเหรอ? หรือว่ามีอุปกรณ์อะไรแบบนั้นแถวนี้?”
รอยยิ้มของอัลฟ่าหายไปเมื่ออากิระพูดแบบนั้น
“ใช่…อย่าหันกลับมาไม่ว่ายังไงก็ตาม คนนั้นกำลังตามล่านายแน่นอน เขาทั้งรักษาระยะห่างและคอยสังเกตนายอยู่ แม้กระทั่งตอนนี้ก็ด้วย”
อากิระมีสีหน้าเคร่งขรึม คำอธิบายของอัลฟ่านั้นง่ายพอที่จะทำให้เขาเข้าใจถึงสถานการณ์เลวร้ายที่เขาประสบอยู่
ห่างจากอากิระออกไปเล็กน้อย มีนักล่า 2 คน กำลังเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของอากิระ ชายคนหนึ่งชื่อคาฮิโมะกำลังมองอากิระผ่านกล้องส่องทางไกล
ในขณะที่ชายอีกคนหนึ่งชื่อ เฮย์ยะ กำลังมองอากิระผ่านดวงตาเทียมที่ติดอยู่บนหัวครึ่งไซบอร์กของเขา ด้วยวิสัยทัศน์ระยะไกลที่มี ทั้งคู่สามารถสะกดรอบตาอากิระจากระยะไกลได้
พวกเขามั่นใจมากว่ามือสมัครเล่นอย่างอากิระจะไม่สามารถสังเกตเห็นพวกเขาได้ เมื่อพิจารณาจากอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้และวิธีที่พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ใช่นักล่าหน้าใหม่ที่หาเศษหาเลยตามรอบนอกของซากเมืองคุซึซึฮาระเท่านั้น
คาฮิโมะมีสีหน้างุนงงในขณะที่เขามองอากิระผ่านกล้องส่องทางไกล
“ไอ้เด็กนั่น มันกำลังเข้าไปในซากปรักหักพังลึกมากทีเดียว การที่เข้าไปด้วยอุปกรณ์ติดตัวแค่นั้นนี่เท่ากับการฆ่าตัวตายชัดๆ มันคิดอะไรอยู่วะน่ะ”
เฮย์ยะแค่ยักไหล่กับคำถามของคาฮิโมะพร้อมกับหัวเราะ
“มันไม่คิดอะไรเลยมากกว่า มันเป็นแค่เด็กโง่ๆทั่วไปนั่นล่ะ มันเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมไอ้เด็กนั่นถึงไม่ถูกจำกัดด้วยสามัญสำนึกและได้เจอวัตถุโบราณพวกนั้น
พื้นที่รอบนอกของสถานที่นี้ไม่มีอะไรมีค่าเหลืออยู่ มันคือสามัญสำนึกของนักล่าทั่วไป ฉันถึงได้บอกว่าให้เราอัดเด็กนั่นให้คายข้อมูลวัตถุโบราณเลยน่าจะง่ายกว่า”
คาฮิโมะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ถุย!! นายเป็นคนห้ามไม่ให้ฉันทำอย่างนั้นไม่ใช่เรอะ!! อ้างเหตุผลว่าคงจะไม่ดีถ้ามันตายก่อนที่เราจะถามคำถามอะไรนั่นน่ะ”
เฮย์ยะ แค่หัวเราะกับการพูดคุยที่ค่อนข้างตึงเครียดและพยายามทำให้สถานการณ์เย็นลง
“อย่าพูดอย่างนั้นเซ่ ฉันเองก็ไม่คิดเลยว่าเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอย่างมันจะสามารถเข้าไปส่วนลึกของซากปรักหักพังได้ ก็อย่างที่เห็น
แม้แต่นายก็คิดเหมือนกันนี่ว่าไอ้เด็กนั่นคงหาวัตถุโบราณจากอาคารแถวชานเมืองที่ไหนซักที่มากกว่า”
“ก็จริง ใครจะไปคิดว่าเด็กจากสลัมจะสามารถเข้าไปลึกได้ขนาดนี้ด้วยตัวเอง แค่ซากโบราณสถานรอบนอกก็ค่อนข้างอันตรายแล้ว หากเราเข้าไปลึกกว่านี้ แม้แต่พวกเราก็คงไม่รอดเหมือนกัน”
“ก็นั่นแหละ เพราะงั้นค่อยๆดูไปก่อนดีกว่า”
ทั้งสองคนติดตามอากิระไม่ใช่ว่าพวกเขาสนใจที่จะเป็นเพื่อนกับเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาได้ยินว่าเด็กชายที่มีเพียงปืนแค่กระบอกเดียวจากสลัมมาที่ศูนย์แลกเปลี่ยนพร้อมวัตถุโบราณราคาแพง
มันทำให้พวกเขาสนใจแหล่งที่มาของวัตถุโบราณที่อากิระนำมา
เป็นที่ทราบกันทั่วไปในหมู่นักล่าว่าบริเวณรอบนอกของซากโบราณสถานเมืองคุซึซึฮาระนั้นไม่เหลือของมีค่าใดๆอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีสิ่งที่มีค่าโดยสิ้นเชิง มันยังมีโอกาสที่จะได้พบกับวัตถุโบราณจำนวนมากที่ฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง
ในอดีตมีรายงานมากมายที่ผู้คนพบทางเข้าสู่สถานที่บางแห่งซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีรายงานอย่างคลังสินค้าที่ถูกเปิดโดยบังเอิญจากการโจมตีของสัตว์ประหลาด แต่แน่นอนว่ามันไม่คุ้มถ้าจะเสียเวลาในการค้นหาเหตุบังเอิญแบบนั้น เพราะเหตุการณ์แบบนั้นหายากมากๆ
แต่เมื่อมันเกิดขึ้น นักล่าจำนวนมากก็จะเทเข้ามาที่ซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้างนี่อีกครั้ง หากคนแรกที่ค้นพบสถานที่แห่งนั้นไม่สามารถนำวัตถุโบราณทั้งหมดมาได้ในคราวเดียว
แน่นอนว่าวัตถุโบราณที่เหลือจะต้องถูกแย่งชิง ดังนั้นเพื่อเป้าหมายที่ว่ามานี้ จึงมีกลุ่มคนที่คอยติดตามข่าวสารพวกนี้อยู่… คาฮิโมะ และ เฮย์ยะ ก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น
มีข่าวลือไปทั่วว่าเด็กตัวเล็ก ๆ จากสลัมนำวัตถุโบราณราคาแพงมาที่จุดแลกเปลี่ยน และเข้าไปพัวพันกับการยิงปะทะกับเด็กคนอื่นที่เข้าไปชิงเงินของเขา คาฮิโมะเองก็ได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือนี้ หลังตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องแล้ว มันทำให้พวกเขาเชื่อว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งในโบราณสถาน
ที่เด็กเล็กๆจากสลัมก็ยังสามารถเข้าถึงได้ และยังเต็มไปด้วยวัตถุโบราณราคาแพง พวกเขาเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของซากโบราณสถานเมืองคุซึซึฮาระ เพราะไม่มีสถานที่อื่นรอบเมืองคุกามายามะที่เด็กเล็กๆ สามารถสำรวจได้อย่างปลอดภัย
พวกเขาคิดว่าหากมีวัตถุโบราณจำนวนมากอยู่ในสถานที่ที่เด็กพบ เด็กคนนั้นจะต้องกลับไปที่สถานที่นั้นเพื่อสำรวจอีกครั้งอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจดักรอใกล้ซากปรักหักพังเพื่อตามหาเด็กที่ตรงตามคำอธิบายในข่าวลือ เพื่อขอรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่จากเขา
และในที่สุดพวกเขาก็พบอากิระ
จริงๆ แล้วคาฮิโมะกำลังวางแผนที่จะจับตัวอากิระและทำให้เด็กชายคายที่อยู่สถานที่นั้นออกมา แต่เฮย์ยะหยุดเขาโดยบอกว่ามันคงไม่ดีถ้ามันกลายเป็นการต่อสู้และเผลอฆ่าอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ
ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนแผนมาเป็นการติดตามอากิระแทน โดยหวังว่าจะพาพวกเขาไปยังที่ตั้งของโบราณสถาน แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มสงสัยในแผนการของพวกเขาแล้ว
“เฮย์ยะ… อย่างที่ฉันบอกไง เราเข้าไปบังคับให้มันคายสถานที่ออกมาเลยดีกว่า มันแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่มีแต่อุปกรณ์รดับต่ำ เราแค่ระวังไม่ให้มันตายโดยไม่ได้ตั้งใจแค่นั้นเอง แบบนี้เร็วกว่าเยอะ”
เฮย์ยะไม่ตอบ ดังนั้นคาฮิโมะจึงรู้สึกรำคาญอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้ มันอะไรกันน่ะ?”
ในที่สุดเฮย์ยะก็เปิดปากพึมพำ
“…ไอ้เด็กนั่น… มันควรจะอยู่คนเดียวใช่ไหม?”
“ใช่ เขาควรจะอยู่คนเดียว ต่อให้มีเพื่อน คนเหล่านั้นก็ไม่มีทางซ่อนตัวอยู่แถวนี้ได้หรอก”
คาฮิโมะงุนงง เขาหยิบกล้องส่องทางไกลคู่ใจขึ้นมาดูอากิระอีกครั้ง
กล้องสองตาที่เขาใช้นั้นเป็นกล้องที่ค่อนข้างดี มันสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากระยะที่ไกลมาก นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นการมองเห็นตอนกลางคืน มันทำให้เขามองเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางคืนราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน
นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับแสงที่มองไม่เห็นหรือมองผ่านลายพรางแบบธรรมดาได้ ยังมีฟังก์ชั่นที่ไฮไลท์สัตว์ประหลาดและผู้คนอีกด้วย
นอกจากกล้องส่องทางไกลไฮเทคนี้แล้ว ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ อีกจำนวนมากที่ใช้การเข้าถึงเครือข่าย ทำให้พวกเขาสามารถดึงข้อมูลที่กระจายออกมาจากเสาสัญญาณของซากปรักหักพังได้
แต่ฟังก์ชั่นนั้นไม่สามารถใช้งานได้กับกล้องสองตานี้ เพราะมีบางครั้งที่สัตว์ประหลาดจักรกลใช้ฟังก์ชั่นนั้นเพื่อประโยชน์ของพวกมันแทน ในตอนนั้นพวกเขามองไม่เห็นศัตรูที่ปกติสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทำให้เกือบถูกฆ่าตาย จากประสบการณ์ดังกล่าว พวกเขาจึงตั้งกล้องส่องทางไกลสำหรับการทำงานบางครั้งเท่านั้น
“มันอยู่คนเดียว ฉันไม่เห็นสัตว์ประหลาดตัวไหนอีก มีแต่มันนั่นแหละ”
ใบหน้าของเฮย์ยะบิดเบี้ยวเล็กน้อยและตอบกลับมาราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่จะพูด
“เฮ้… ฉันขอบอกก่อน ฉันไม่ได้เมายาหรืออะไรนะ และก็ฉันไม่ได้แกล้งหรืออะไรแบบนั้นด้วย…”
“เอ้า มีอะไรจะพูดก็พูดมาไม่ได้รึไง? แกนี่ทำตัวแปลกๆ นะ”
“…ฉันเห็นผู้หญิงอยู่ข้างๆ ไอ้เด็กนั่น”
“ผู้หญิง?”
คาฮิโมะตัดสินใจตรวจสอบอีกครั้ง เขาส่องกล้องไปทางอากิระอีกครั้งพร้อมกับทำหน้าฉงน
“ไม่นี่… รอบๆไม่มีอะไรเลยนะ มีแค่มันคนเดียว ฉันไม่เห็นผู้หญิงซักคนแบบที่แกว่าเลย”
“…อาหะ เข้าใจล่ะ แกไม่เห็นเธอใช่ไหม? แต่ฉันมองเห็นเธอได้ชัดเจน สาวสวยคนนั้นกำลังนำทางไอ้เด็กนั่นอยู่”
“ถ้าเป็นแบบนั้น… บอกฉันมา ว่าเธอเป็นยังไง ขอรายละเอียดทั้งหมดเลย”
“…เธอสวมชุดราตรีสีขาวฟูฟ่องที่ดูแพงสุดๆ”
“ชุดราตรี?? จะบ้าเรอะ?? นี่คิดว่าเราอยู่ที่ไหนกัน? เราอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังนะเว้ย!!”
“มันเป็นความจริง!! ฉันไม่ได้โกหก!! แล้วก็ไม่เมาด้วย!! ไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน!! ฉันรู้ดีน่า ว่าต้องไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพยา ก่อนเข้ามาที่ซากปรักหักพัง!!”
เมื่อมองดูปฏิกิริยาของเขา คาฮิโมะก็รู้ว่าเฮย์ยะไม่ได้โกหก แต่เขามองไม่เห็นหญิงสาวคนนั้นจริง ๆ เขาทำหน้าตางุนงงเหมือนกำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้
“เฮย์ยะ ดวงตาทั้งสองข้างของนายเชื่อมต่อกับเครือข่ายใช่ไหม?”
“ใช่ มันเป็นชิ้นส่วนคุณภาพสูง และแน่นอนว่าฉันจ่ายเงินก้อนโตเพื่อมันเลยนะ มันจะมีฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ฉันภูมิใจมาก
มันเป็นตาไฮเทคที่มีฟังก์ชั่นมากมายในการเข้าสำรวจซากปรักหักพัง แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือบางครั้งมันรับสัญญาณช่องทั้งหมดด้วยตัวมันเอง”
“นั่นเป็นเพราะนายได้ชิ้นส่วนเหล่านั้นมาด้วยวิธีผิดๆนั่นแหละ …ฉันพนันได้เลยว่านายได้ชิ้นส่วนเหล่านั้นจากการปล้นซากศพในซากปรักหักพัง
ฉันแน่ใจว่าสาเหตุที่เจ้าของคนเก่าเสียชีวิตก็เพราะการมองเห็นผิดปกติกะทันหันจากอุปกรณ์แบบนั้น”
“หุบปากน่า ซ่อมแซมมันถูกกว่าสร้างใหม่ อย่างน้อยมันก็ช่วยได้มากเมื่อสำรวจซากปรักหักพัง แต่เพราะอุปกรณ์ควบคุมของมันระเบิดไปพร้อมกับหัวของเจ้าของคนก่อน
การเปลี่ยนจากฟังก์ชันหนึ่งไปยังอีกฟังก์ชันหนึ่งเลยขัดข้องนิดหน่อย อีกอย่าง การสร้างอุปกรณ์ควบคุมใหม่จะต้องใช้เงินอย่างเยอะ ฉันเลยเอาไว้ที่หลัง แต่ทำไมนายถึงถามฉันแบบนั้นล่ะ”
สีหน้าของคาฮิโมะเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ฉันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนนำทางหรืออะไรซักอย่างจากเครือข่ายของซากปรักหักพัง เนื่องจากนายมองเห็นเธอในขณะที่ฉันมองไม่เห็น ก็หมายความว่าเธอไม่ใช่การฉายโฮโลแกรม แต่เป็นร่างเสมือน
อาจยังมีระบบบางอย่างในซากปรักหักพังที่กำลังทำงานอยู่แพร่ภาพของเธอออกมา นั่นคือเหตุผลที่อุปกรณ์ของนายได้รับข้อมูลแปลก ๆ แบบนั้น หรือสรุปง่ายๆก็คือผู้หญิงที่นายเห็นคือวิญญาณจากโลกเก่า”
เฮย์ยะค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเขามองกลับไปที่อัลฟ่าเพื่อยืนยันสิ่งที่เขาเห็น
“…ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจริงมากเลยนะเฟ้ย? เธอมีเงาด้วยซ้ำ เธอปกติทุกอย่างยกเว้นชุดแค่นั้นเอง …ภาพเสมือนที่มาจากช่องสัญญาณมักจะมีความแตกต่างเมื่อเทียบกับความเป็นจริง เช่น ไม่มีเงา มีสัดส่วนแปลกๆ หรือมีความสามารถในการทะลุกำแพงได้
โดยพื้นฐานแล้วพวกมันมักจะมีคุณสมบัติแปลกๆ แต่ผู้หญิงคนนั้น นอกจากชุดของเธอแล้ว เธอดูปกติมาก… อืม ชุดมันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ”
ถ้าไม่ใช่เพราะคาฮิโมะแสดงสีหน้าจริงจัง เฮย์ยะคงคิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องตลกไปแล้ว เพราะว่าร่างกายของอัลฟ่ามันเหมือนจริงมาก คาฮิโมะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนนำทางของซากปรักหักพังจริง ๆ ก็หมายความว่าภาพของเธอกำลังถ่ายทอดด้วยเทคโนโลยีของโลกเก่า ฉันสงสัยว่าพวกเขาใช้เทคโนโลยีขั้นสูงแบบไหนกันเพื่อให้สามารถถ่ายทอดภาพที่สมจริงขนาดนี้ออกมาได้”
“…เข้าใจล่ะ นั่นคือวิญญาณของโลกเก่าสินะ เฮอะ… นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นมันเลยนะเนี่ย ช่างแปลกตาจริงๆ”
เฮย์ยะมองอัลฟ่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น เนื่องจากคู่หูของเขาไม่เพียงแต่เชื่อว่ามีหญิงสาวที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่มองเห็นได้ คู่หูของเขายังมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลสำหรับเรื่องนั้นอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสนใจเธอมากว่าเดิม
คาฮิโมะเอ่ยปากอีกครั้ง
“…ตอนนี้ฉันจำได้แล้ว มันเคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณในซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระด้วยนี่นะ ถ้าจำไม่ผิดมันถูกเรียกว่า… ผีหลอก?”
“ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนั้นเหมือนกัน มันเกี่ยวกับผีที่ใช้วัตถุโบราณเป็นเหยื่อล่อ ให้เหล่านักล่าเข้าไปในซากปรักหักพังก่อนที่จะโดนฆ่าใช่ไหม?
ฉันได้ยินมาว่ามีนักล่ามากมายที่ตามสิ่งนั้นเข้าไปในส่วนลึกของซากปรักหักพังและไม่กลับมาอีกเลย จากนั้นผีตัวนั้นจะหลอกล่อนักล่าที่ยังมีชีวิตอยู่โดยแปลงเป็นเพื่อนที่ตายแล้ว
เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันได้ยินมาว่าแทนที่จะใช้รูปลักษณ์แบบมนุษย์ มันกลับปลอมตัวเป็นแมวหรือสุนัขซะมากกว่า”
คาฮิโมะพยักหน้าเล็กน้อยเห็นด้วยกับสิ่งที่เฮย์ยะพูด และกล่าวต่อ
“การถูกฆ่าตายในซากปรักหักพังในขณะที่กำลังค้นหาวัตถุโบราณ วิธีการตายนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเราเหล่านักล่าอยู่แล้ว คำถามที่แท้จริงคือ ทำไมถึงได้มีเรื่องเล่าผีหลอกวิญญาณหลอนแบบนี้ ทั้งที่ในเรื่องบอกว่าไม่มีใครรอดชีวิตกลับมา?”
“…พอพูดแบบนี้แล้วก็…ทำไมกันนะ?”
“คำตอบคือ เพราะคนที่ติดตามปรากฎการณ์ผีหลอก ไม่ได้มีเฉพาะคนที่มองเห็นเท่านั้น ยังมีคนที่ไม่เห็นวิญญาณจึงไม่โดนหลอกล่อและอยู่ในเหตุการณ์นั้นเลยเอามาเล่าสู่กันฟัง และเนื่องจากแต่ละคนบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกัน จึงไม่มีทางยืนยันได้ว่ามันจริงแค่ไหน มันเลยกลายเป็นเรื่องผีไงล่ะ”
เฮย์ยะสั่นเล็กน้อย เขาตระหนักว่าการติดตามอากิระหมายความว่าพวกเขาติดตามวิญญาณตัวนั้นไปด้วย
“เดี๋ยวนะ… ไม่ใช่ว่าถ้าเรายังตามผู้หญิงคนนั้นต่อไป เราจะเป็นฝ่ายที่ตายเองงั้นเรอะ?”
สำหรับคำถามของเฮย์ยะ คาฮิโมะแค่นหัวเราะ
“…จะคิดแบบนี้ก็ได้ คิดดูสิ ว่าทำไมไอ้เด็กนั่นถึงหาวัตถุโบราณราคาแพงได้? มันเป็นเพราะเด็กนั่นสามารถเห็นผู้หญิงคนนั้นได้เหมือนกับนายไง
ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบนำทางของโลกเก่าที่ยังคงทำงานอยู่ในขณะนี้ เธอก็กำลังนำทางผู้คนที่ยังคงเห็นเธออยู่เช่นกัน
ไอ้เด็กนั่นคงถามหล่อนถึงสถานที่ที่เก็บวัตถุโบราณ และหล่อนก็ต้องนำทางเด็กนั่นไปยังสถานที่ดังกล่าวโดยหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด นั่นเป็นสมมติฐานที่ดูเข้าท่าเลยใช่ไหมล่ะ?”
“งี้นี่เอง!!! …หืม เดี๋ยวก่อนนะ… ถ้าแค่ติดตามเธอก็ได้วัตถุโบราณแล้ว ทำไมมันถึงมีเรื่องผีหลอกเกิดขึ้นล่ะ?”
“การทำตามคำแนะนำของเธอช่วยลดโอกาสในการปะทะกับสัตว์ประหลาดลง แต่มันยังเป็นไปได้ที่จะพบพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นตามที่ฉันคิด พวกนักล่าที่รู้เกี่ยวกับหน้าที่ในการนำทางของเธออาจแพร่ข่าวลือผิดๆนั่นเพื่อเก็บเรื่องนี้ไว้เองคนเดียว
การมาที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยทำตามคำแนะนำของเธอ มันจะทำให้วัตถุโบราณในเขตชานเมืองลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องไปยังส่วนที่ลึกกว่าของซากปรักหักพังที่อันตรายกว่า
และในขณะที่ผจญภัยลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง วันหนึ่งพวกเขาโชคไม่ดีที่ได้พบกับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งและถูกฆ่าตาย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเหลือแค่ส่วนของเรื่องที่ว่า ‘ถ้าคุณไปกับวิญญาณนั่น คุณจะโดนฆ่า’ อยู่ในข่าวลือ
โดยพื้นฐานแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องผีที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลานานล่ะนะ”
[TL: มโนเก่งงงงง]
เมื่อเฮย์ยะ เชื่อในคำอธิบายของคาฮิโมะ เขาก็หัวเราะออกมา
“แบบนี้นี่เอง! ก็หมายความว่าเรา ต่อให้เราตามเธอไปก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม!! ขนาดไอ้เด็กนั่นยังรอกมาได้ พวกเราเองก็จะไม่โดนฆ่าตราบใดที่เราเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังสินะ”
“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าข้อสันนิษฐานนี้มันจะจริงแค่ไหน แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการค้นพบวัตถุโบราณให้เรา แต่ข่าวลือก็ยังเป็นข่าวลือต่อให้น่าสนใจเค่ไหนเราก็ต้องระวังตัวเอาไว้อยู่ดีนั่นแหละ”
คาฮิโมะพยายามทำให้เฮย์ยะสงบลง แต่เฮย์ยะก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นของเขาได้ เขาเจอบางสิ่งที่ช่วยเรื่องความปลอดภัยในการสำรวจซากปรักหักพังและมีโอกาศได้รับโบราณวัตถุราคาแพงอย่างง่ายดาย เหล่านักล่าต่างก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันมีค่าแค่ไหน
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง? แกกังวลมากเกินไปแลว!! ฉันจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปง่ายๆ แน่!”
“ใจเย็นๆ คอยดูมันต่อไปอีกหน่อย”
คาฮิโมะมองเฮย์ยะด้วยท่าทางสงบนิ่งและครุ่นคิด
[…ผู้คนต้องฆ่าเพื่อนร่วมทีมของตัวเองเพื่อที่จะผูกขาดมัน และคนที่รอดชีวิตจะบอกคนอื่นว่าเพื่อนของเขาถูกฆ่าโดยวิญญาณจากโลกเก่า …แน่นอน คนที่มองเห็นผีได้คือคนที่ฆ่าพวกเขา
มีโอกาสเหมือนกันที่ไอ้หมอนี่จะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ไอ้นี่มันก็โง่เกินไป คงจะดีถ้าฉันสามารถหาเหตุผลให้มันยอมรับฉันได้…]
ขณะที่เขามองกลับไปที่อากิระ คาฮิโมะก็ระวังตัวมากขึ้น แต่ตัวเฮย์ยะไม่ทันสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเขา
—
อากิระถามอัลฟ่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เธอรู้ไหมว่าคนติดตามฉันอยู่เป็นใคร?”
“เป็นผู้ชาย 2 คน ตัดสินจากอุปกรณ์ของพวกเขา พวกเขาต้องเป็นนักล่าแน่นอน… พวกมันมีอาวุธค่อนข้างใช้ได้เลย”
“…มีความเป็นไปได้ไหม ที่จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ? ฉันหมายความว่า… พวกนั้นอาจจะไม่ได้มาไล่ล่าฉันอะไรแบบนั้น…
แค่พวกเขาเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ เข้าไปในซากปรักหักพังคนเดียวและตัดสินใจติดตามมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น หรือมาทางเดียวกับฉันด้วยความบังเอิญ…”
“ไม่ นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ฉันเฝ้าดูพวกมันมาระยะหนึ่งแล้วตอนแรกก็อาจจะคิดได้ว่าเป็นแบบนั้น แต่พวกมันรักษาระยะห่างจากเราเมื่อเราหยุดดูสภาพแวดล้อมก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังตามล่าเราอยู่แน่นอน”
ในขณะที่อากิระยังคงแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เขายังคงมีความหวังอันริบหรี่ขณะที่เขาถาม
“…แต่ทำไมพวกมันถึงตามฉันมา? แม้ว่าพวกมันจะโจมตีฉัน แต่ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยซักหน่อย พวกนั้นน่าจะเห็นนี่นา?”
อากิระหวังว่าข้อสันนิษฐานของอัลฟ่าจะผิด ซึ่งเธอนึกถึงปฏิกิริยาของเขาแล้วเมื่อเธอเปิดเผยความจริงต่อหน้าอากิระ
“ฉันเดาว่าพวกมันอยากรู้ว่าเด็กอย่างคุณสามารถนำโบราณวัตถุจำนวนมากไปยังจุดแลกเปลี่ยนได้ยังไง เหตุผลที่แท้จริงที่พวกมันตามล่าคุณก็อาจจะเพราะพวกมันหวังว่าคุณจะพาพวกเขาไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยวัตถุโบราณ
และถ้านายพาพวกมันไปที่นั่น พวกมันอาจจะฆ่านายและเอาวัตถุโบราณไปเป็นของตัวเองก็ได้ ฉันคิดว่ามีใครบางคนอยู่ใกล้จุดแลกเปลี่ยนเพื่อมองหานักล่าที่ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่ฆ่าง่าย แถมยังนำวัตถุโบราณราคาแพงมาที่จุดแลกเปลี่ยนด้วย
หรืออาจซื้อข้อมูลนั้นจากคนในจุดแลกเปลี่ยนก็เป็นไปได้ พวกมันมีเหตุผลมากมายที่มองนายเป็นศัตรู ไม่ว่ามองมุมไหนมันก็มีแต่ความเป็นศัตรูมากกว่าเพื่อน …อากิระ ถ้านายไม่ระวัง นายอาจถูกฆ่าตายได้นะรู้ไหม”
ในที่สุดอากิระก็เข้าใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นหลังจากได้ยินคำอธิบายของอัลฟ่า
“…บัดซบ!! คราวนี้เป็นนักล่างั้นเหรอ!”
เมื่อสองวันก่อน เขาได้ปะทะกับเด็กในสลัมที่มีปืน แต่ถึงจะแค่นั้น แต่เขาก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด คราวนี้เขากำลังจะต่อสู้กับนักล่าที่มีอุปกรณ์ครบครัน อากิระปวดหัวกับการก้าวกระโดดของระดับความยากในครั้งนี้
“อากิระ เข้าไปในอาคารนั้นก่อน ทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และพยายามระวังไม่ให้พวกมันเห็น”
“…โอเค”
อากิระเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเมื่อได้รับคำสั่ง ตัวเขาที่ค่อนข้างกังวลลากเท้าหนักๆ ของเขาเข้าไปในอาคาร หลังจากที่เขามาถึงห้องที่อัลฟ่าให้เขาเข้าไป เขาก็เอนหลังพิงกำแพงแล้วนั่งลง
“ไม่มีสัตว์ประหลาดในอาคารนี้ ดังนั้นคุณสบายใจได้”
“…อืม…”
คำตอบของอากิระดูมืดมน เขากำลังคิดว่าจะต่อสู้กับนักล่าที่ตามล่าเขาอย่างไร แต่เขาไม่สามารถคิดไอเดียดีๆได้ เขาลองคิดสถานการณ์บางอย่างในหัว แต่ทั้งหมดจบลงด้วยการที่เขาถูกฆ่าตาย
“อากิระ!”
อากิระเงยหน้าขึ้นตอบรับเสียงเรียกที่ค่อนข้างดัง จู่ๆ อัลฟ่าก็ยื่นหน้ามาใกล้ๆ หน้าเขา เขาร้องเสียงหลงเล็กน้อยในขณะที่เขากระโดดถอยหลังด้วยความประหลาดใจและเอาหัวโขกกำแพง
ความเจ็บปวดและความประหลาดใจนั้นปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากสถานการณ์เลวร้ายทั้งหมดที่อยู่ในหัวของเขา
เมื่อความเจ็บปวดและความประหลาดใจสงบลงแล้ว อากิระก็กลับมารู้สึกตัวและสงบลง เขามองไปที่อัลฟ่าด้วยสายตาที่เหม่อลอย เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงแล้ว อัลฟ่าก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ตั้งสติ สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ฉันจะไม่ปล่อยให้นายถูกฆ่าในขณะที่ฉันให้การสนับสนุนหรอกนะ”
อากิระรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ทำให้เขามีความหวังมากขึ้น
“เราจะหนีจากพวกเขาได้ไหม?”
แต่คำตอบของอัลฟ่าต่อคำถามนั้นทำให้อากิระคาดไม่ถึง
“เราจะไม่วิ่ง เราจะสู้กลับ เราจะเอาชนะพวกมัน”
สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวังของอากิระถูกบดขยี้ทันทีเมื่อเขาได้ฟังคำตอบนั้น
“เราทำได้จริงหรือ!! มัน 2 ต่อ 1 เลยนะเธอรู้ไหม ไม่ต้องพูดถึงว่านั่นเป็นนักล่าที่ติดอาวุธครบมือ!! มันไม่เหมือนกับตอนที่เราต่อสู้กับเด็กเหล่านั้นที่มีแค่ปืนนะ”
อัลฟ่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ทั้งสองกรณีนี้ไม่แตกต่างกันมากนัก นายมีฉันอยู่ด้วยรู้ไหม? แค่มีฉันคนเดียว พลังการต่อสู้ทั้งหมดของนายก็เหนือกว่าพวกเขามาก ยิ่งกว่านั้น นายสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดสุนัขสงครามตัวใหญ่ได้ด้วยปืนพกเชียวนะ จำได้รึเปล่า?
ทุกอย่างจะดีตราบเท่าที่นายทำตามคำแนะนำของฉัน ดังนั้นไม่ต้องกังวล มันจะไม่เป็นไร”
เธอยิ้มออกมาเมื่อพูดแบบนั้น เธอพยายามคลายความกังวลของอากิระโดยการทำตัวสบายๆที่นี่
“…อย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าอัลฟ่าทำตัวเหมือนปกติ อากิระก็มั่นใจมากขึ้น แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะลบล้างข้อสงสัยที่เขามีเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง อัลฟ่าเห็นได้ชัดว่าอากิระเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“…แต่มันมีความแตกต่างมากมายระหว่างสัตว์ประหลาดกับมนุษย์ ถ้ามั่นใจขนาดนั้นเราก็ควรจะหนีพวกมันไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดว่าวิ่งหนีแทนการสู้น่าจะเป็นความคิดที่ดี…”
อัลฟ่ามองอากิระอย่างเคร่งขรึม
“นั่นไม่ใช่ประเด็น พวกมันจะยิงนายในขณะที่นายไม่สามารถยิงพวกมันกลับได้ และมันจะแย่กว่านั้นหากเราเข้าสู่พื้นที่โล่ง …นายคิดว่านายจะหนีได้จนถึงเมื่อไหร่?
แม้ว่าวันนี้นายจะหนีจากพวกเขาได้ แล้วพรุ่งนี้ล่ะ? แล้ววันมะรืนล่ะ? และแม้ว่านายจะสามารถวิ่งกลับไปที่เมืองได้ นายคิดว่าพวกมันจะกลับตัวเป็นคนดีและหยุดโจมตีนายรึเปล่า?
หากมันไม่เป็นแบบที่นายคิดแล้วนายจะหนีไปถึงเมื่อไหร่? นายสามารถหนีจากพวกเขาได้ตลอดไปงั้นสิ? นายวางแผนที่จะวิ่งหนีไปเรื่อย ๆ จนกว่านายจะถูกฆ่าใช่ไหม?”
อัลฟ่าจับจ้องอากิระ อากิระจ้องกลับอัลฟ่าโดยไม่ละสายตา พวกเขาจ้องหน้ากันหลายวินาทีโดยไม่พูดอะไร ในที่สุด อากิระก็ผ่อนคลายสีหน้าราวกับว่าเขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ เห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจแล้ว
“…ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ยิ่งกว่าการฆ่าตัวตายซะอีก เฮอะ… เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว มาสู้กับพวกมันกันเถอะ”
อากิระตัดสินใจลุกขึ้นยืน ไม่มีร่องรอยของความสับสนเหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา จากนั้นอัลฟ่าก็ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและพูดว่า
“อากิระ นายต้องแก้ปัญหาของตัวเอง ถ้านายไม่สามารถเอาชนะอะไรแบบนี้ได้ นายจะไม่สามารถบรรลุความฝันของตัวเองในการเป็นนักล่าที่ยิ่งใหญ่ได้”
อากิระยิ้มอย่างขมขื่น แต่มีร่องรอยของความคาดหวังและความสุขบนใบหน้าของเขา
“เธอพูดถูก ยิ่งไปกว่านั้น เราเคยตกลงกันแล้วนี่ ว่าเจตจำนง แรงจูงใจ และความมุ่งมั่นทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของฉัน”
ครั้งล่าสุดที่อากิระเกือบพาตัวเองไปตายเพราะฝ่าฝืนคำสั่งของอัลฟ่า เขาบอกว่าเจตจำนง แรงจูงใจ และความตั้งใจจริงเป็นความรับผิดชอบของเขาทั้งหมด ตอนนี้เขาตระหนักว่าเขาต้องแสดงให้เห็นว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้โกหก
ถ้าเขาทำไม่ได้ คนที่ไม่มีเงินหรือทักษะอย่างเขาก็ไม่มีค่าพอที่จะแสดงให้อัลฟ่าเห็น มิฉะนั้นคำพูดทั้งหมดของเขาเกี่ยวกับความไว้วางใจและความสำเร็จก็จะไร้ความหมายเช่นกัน
ความคิดนั้นทำให้ความตั้งใจของอากิระแข็งแกร่งขึ้น
แสดงจิตตานุภาพ รวบรวมความทะเยอทะยาน เสริมสร้างความมุ่งมั่น อากิระพูดสิ่งเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น อัลฟ่าเพียงแค่ยิ้มอย่างมั่นใจและพูดว่า
“และสิ่งอื่นนอกเหนือจากสามสิ่งนั้นเป็นความรับผิดชอบของฉัน ดูเหมือนว่าถึงเวลาแล้วที่จะแสดงให้นายเห็นความสามารถในการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมของฉัน เชื่อมือฉันได้เลย”
“โอเค ฝากด้วยล่ะ”
อัลฟ่าดูพอใจกับปฏิกิริยาของอากิระขณะที่เธอยิ้มออกมา ท้ายที่สุดพวกเขาจะไม่มีแม้แต่เวลาที่จะยิ้มจนกว่าสถานการณ์นี้จะได้รับการแก้ไข
“…ยังไงก็เถอะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่านายใช้โชคตลอดชีวิตเพื่อที่จะได้เจอกับฉันนะ”
“…ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น”
อากิระคืนรอยยิ้มให้อัลฟ่า จากนั้นอัลฟ่าก็พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจในขณะที่ยังคงแสดงรอยยิ้มที่ไม่เกรงกลัว
“ไม่ต้องกังวล ในเมื่อฉันให้สัญญากับนายไปแล้ว ฉันจะต้องดูแลนายให้ดี”
“อืม ขอบใจนะ มันช่วยได้จริงๆ”
อากิระตอบอัลฟ่าเบา ๆ ในขณะที่หัวเราะเล็กน้อย
“อิอิ แน่นอน”
อัลฟ่าตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มของอัลฟ่าที่เกิดจากการคำนวณด้วยเทคโนโลยีสุดไฮเทคนั้นเพียงพอที่จะสงบสติอารมณ์และให้กำลังใจอากิระ
มันทำให้เขามีจิตวิญญาณการต่อสู้กลับคืนมา …ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของอัลฟ่า
[TL: นี่หล่อนมีพิรุธอีกแล้วนะ]
————–
Avolenn Channel
สนับสนุนผู้แปลได้ที่นี่นะครับ กสิกร 475-2-65694-8 เมือง บ.