Rebuild World - ตอนที่ 3 ปัญหาที่ต้องการคนแก้ไข
สลัมแห่งนี้ขยายจากชานเมืองคุกามายามะและตั้งอยู่ติดกับพื้นที่รกร้าง มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอาชญากรและสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และไม่ต้องพูดถึงสัตว์ประหลาดที่เดินเตร่อยู่ใกล้ๆชายขอบ และกลุ่มโจรที่เดินด้อมๆ มองๆ หาเหยื่อที่อ่อนแอ
มันเป็นแหล่งรวมเศษสวะของเมือง ซึ่งด้วยสภาพแบบนี้ทำให้อากิระตัดสินใจเป็นนักล่าเพื่อหนีจากสถานที่แบบนี้
ขณะที่อากิระเดินผ่านถนนที่คุ้นเคยในสลัมกับอัลฟ่า มันทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าอัลฟ่านั้นแปลกแค่ไหน ใบหน้าที่งดงาม เส้นผมที่เงางามเปล่งประกาย ผิวเนียนละเอียด อีกทั้งรูปร่างของสาวโตเต็มวัยที่ถูกเน้นด้วยชุดรัดรูปสุดเซ็กซี่นั่นอีก
อัลฟ่านับได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ล่อลวงเพศตรงข้ามได้อย่างแท้จริง แต่ติดตรงที่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นกลับไม่ดึงดูดความสนใจใดๆจากผู้คนรอบข้างเลย
ยิ่งไปกว่านั้น รูปแบบชุดของโลกเก่าที่เธอสวมอยู่นี้น่าจะเกินพอแล้วที่จะดึงดูดความสนใจของผู้คน มันมีรูปลักษณ์ที่ยอดเยี่ยมจนแม้แต่มือสมัครเล่นยังมองออกเลยว่าเป็นชุดราคาแพง
ถ้าคนที่มีความรู้ในวิทยาการของโลกเก่าได้เห็น เขาหรือเธอจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของโลกเก่า แม้ว่ามันจะเป็นของโบราณจากโลกเก่า
แต่ใครก็สามารถบอกได้ว่าชุดดังกล่าวเป็นสมบัติล้ำค่าที่เหนือกว่าวัตถุโบราณอื่นๆ กล่าวโดยย่อแล้ว มันคือสิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คนเป็นอย่างมาก
โดยปกติแล้วมันจะก่อให้เกิดความโกลาหลเมื่อสิ่งที่โดดเด่นเหล่านั้นมารวมกันในที่เดียว แต่ไม่มีใครโต้ตอบกับอัลฟ่าเลย ดังนั้น มันยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่าเขาเป็นคนเดียวที่เห็นอัลฟ่า
อากิระกระซิบคุยกับอัลฟ่า
“คนอื่นมองไม่เห็นเธอจริงๆเหรอเนี่ย?”
“ฉันบอกนายไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอ? นี่คือนายไม่เชื่อฉันสินะ หืม?”
เมื่อเห็นอัลฟ่าอารมณ์บูดบึ้ง อากิระพยายามแก้ตัวด้วยความตื่นตระหนก
“อ่า ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น… คือ ตามปกติแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะคิดว่า ถ้าฉันเห็นคนอื่นก็น่าจะเห็นด้วยไม่ใช่เหรอ?
เพราะงั้นฉันคิดว่าต้องมีคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันที่สามารถเห็นเธอได้เหมือนกัน”
“โอ้ ฉันเข้าใจแล้ว นั่นคือสิ่งที่นายหมายถึง ฮึ การอธิบายจะใช้เวลานาน ดังนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”
แตกต่างจากอากิระที่กำลังกระซิบ อัลฟ่าตอบคำถามของเขาด้วยเสียงปกติ แต่มีเพียงอากิระเท่านั้นที่ได้ยินเสียงนั้น หากอากิระตอบกลับด้วยน้ำเสียงแบบนั้นบ้าง
เขาคงดูเหมือนเด็กช่างฝันที่คุยกับเพื่อนในจินตนาการ
“อากิระ ต่อจากนี้นายจะทำอะไร? มีสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้หรือเปล่า? ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับฉัน นายสามารถไปทำในสิ่งที่นายต้องการได้”
“…ฉันจะทำอะไรต่องั้นเหรอ?”
อากิระมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าและราตรีกำลังใกล้เข้ามา
“วันนี้ฉันจะไปนอนก่อนก็แล้วกัน”
อัลฟ่าดูประหลาดใจเล็กน้อย
“จะนอนแล้วเหรอ? เร็วไปไหม?”
“อืม… ใกล้จะมืดแล้ว ฉันต้องไปเตรียมที่ทางสำหรับนอนแล้ว”
อากิระเดินเข้าไปในตรอกด้านหลังอาคารที่มืดมิดแห่งหนึ่ง เขายังมีเวลาอีกสักพักก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกดิน แต่เขาคลานเข้าไปในมุมที่เขามักจะนอนและพิงตัวเองเข้ากับกำแพงชั่วคราวที่ทำจากเศษวัสดุก่อสร้าง
มันยากมากที่จะหาเขาที่อยู่ตรงนั้น เว้นแต่จะรู้อยู่แล้วว่ามีใครบางคนอยู่ที่นั่นและจงใจค้นหาเขา การซ่อนตัวเองแบบนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาเรียนรู้จากการอยู่ในสลัมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
โดยพื้นฐานแล้ว อากิระจะเริ่มต้นวันใหม่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและสิ้นสุดเมื่อดวงอาทิตย์ตก ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องการแสงสว่างเพื่อที่จะสามารถทำงานในเวลากลางคืนได้ แต่แน่นอนว่ามันไม่ฟรี ดังนั้นสำหรับเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีเงินอย่างอากิระ มันจึงเป็นสิ่งที่เกินเอื้อม ยิ่งไปกว่านั้น สลัมที่อันตรายอยู่แล้วจะยิ่งอันตรายมากขึ้นเมื่อตกกลางคืน และอากิระก็ไม่มีแรงพอที่จะเคลื่อนไหวในตอนกลางคืนได้
เหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงพยายามไม่ขยับเขยื้อนไปมาในตอนกลางคืนก็เพื่อลดอันตรายให้เหลือน้อยที่สุด เพราะเขารู้ว่าเขาจะหลับในขณะที่คนอื่นยังตื่นอยู่ ตัวเขาเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือไม่ ท้ายที่สุด คนที่ตื่นขึ้นในตอนกลางคืนก็อาจเป็นคนดีได้เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้แน่นอนก็คือเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ด้วยการทำเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าวิถีชีวิตของเขาไม่ผิดและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป
เมื่อเขาจัดที่นอนได้ ท้องของเขาก็ร้องหาอาหาร ซึ่งอากิระได้แต่ถอนหายใจและไม่สนใจมัน แต่แล้วอัลฟ่าก็เสนอแนะขึ้น
“ถ้าเป็นไปได้ นายไม่หาอะไรกินก่อนล่ะ หากนายปล่อยให้ตัวเองอดอาหารอยู่อย่างนี้ ความสามารถทางกายภาพของนายจะลดน้อยลง ซึ่งจะทำให้อัตราความสำเร็จลดลงเมื่อไปสำรวจซากปรักหักพัง”
อากิระส่ายหัวเบาๆ
“…ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะกินแล้วต่างหาก …เราพลาดการแจกจ่ายอาหารจากเมืองไปแล้ว และฉันไม่มีเงินซื้ออาหาร เพราะฉันใช้เงินซื้อปืนและกระสุนจนหมดแล้ว วันนี้ฉันจะอดทนไปก่อนและรอจนกว่าจะมีการแจกอาหารในวันพรุ่งนี้… ยังไงก็เถอะ เธอไม่ต้องการอาหารเหรออัลฟ่า?”
“ไม่ ฉันไม่ต้องกินการอาหาร ฉันไม่ต้องการดื่มหรือนอนด้วย ดังนั้นไม่ต้องห่วงฉัน”
“ฉันเข้าใจแล้ว โทษที… แต่ฉันต้องนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์”
พูดจบอากิระก็ล้มตัวลงนอน แล้วอัลฟ่าก็พูดกับเขาเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์ นอนหลับฝันดี”
อากิระที่หลับตาคิดกับตัวเอง
[…ราตรีสวัสดิ์ งั้นเหรอ? มันนานมากแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มีคนพูดแบบนั้นกับฉัน… ไม่สิ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ]
ขณะที่อากิระปล่อยให้ตัวเองถูกครอบงำด้วยความง่วงซึ่งมีพลังมากกว่าปกติเนื่องจากความเหนื่อยล้าของเขา เขาจึงพยายามค้นหาอดีตของเขาเพื่อหาความทรงจำดังกล่าว ไม่ว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นกับเขาจริงหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็จำตอนที่มีคนบอกราตรีสวัสดิ์กับเขาไม่ได้ เขาค่อยๆหลับลึกขึ้นทั้งที่ยังคิดเรื่องนั้นอยู่
วันต่อมา อากิระลืมตาตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เขายืดร่างกายของเขาเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างก็เหมือนกับเช้าปกติของเขาทุกวันจนกระทั่ง…
อัลฟ่าที่อยู่ข้างๆเขาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์ นายหลับสบายรึเปล่า?”
อากิระสะดุ้งตัวขึ้นทันทีขณะที่เล็งปืนไปทางต้นเสียงนั้น เขาแสดงความระมัดระวังราวกับมีคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักปรากฏขึ้นข้างๆเขา
อัลฟ่าดูประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นปฏิกิริยาของเขา แต่แล้วเธอก็พูดกับเขาอย่างอ่อนโยน
“ขอโทษนะ นี่ฉันทำให้นายตกใจหรือเปล่า?”
สีหน้าของอากิระเปลี่ยนจากที่แสดงท่าทีระวังคนแปลกหน้าเป็นแสดงท่าทีผ่อนคลายลง แม้จะลังเลเล็กน้อยก็ตาม จากนั้นเขาก็จำอัลฟ่าได้ในที่สุด
“…อัลฟ่า?”
ตรงกันข้ามกับอากิระ อัลฟ่าแสดงรอยยิ้มที่สง่างาม
“ใช่ฉันเอง ลืมฉันแล้วเหรอ”
ในที่สุดอากิระก็สงบลง เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่ลดปืนลงและขอโทษอัลฟ่าอย่างงุ่มง่าม
“…ขอโทษนะ ฉันแค่แปลกใจเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่แล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเจอคนที่ไม่รู้จักอยู่ข้างๆ มีโอกาสสูงที่คนๆ นั้นจะเป็นโจร”
“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ”
อากิระหลังจากยืนยันได้แล้วว่าเขาไม่ได้ทำให้อัลฟ่าโกรธ เขาจึงรู้สึกโล่งใจที่เขาไม่ได้ทำให้ผู้สนับสนุนเพียงคนเดียวที่เขาเพิ่งได้รับมา…
[…พอมาคิดดูแล้ว กระสุนไม่สามารถทำร้ายเธอได้ ดังนั้นเธอคงไม่รู้สึกว่าถูกคุกคามเมื่อฉันเล็งปืนไปที่เธอ ขอบคุณพระเจ้า นี่มันอันตรายจริงๆ]
แม้ว่าเขาจะค่อนข้างลำบากเมื่อวานนี้ แต่สำหรับอากิระ วันนี้นั้นแตกต่างจากเมื่อวาน วันนี้จะเป็นวันที่การร่วมทางระหว่างเขากับอัลฟ่าเริ่มต้นขึ้น
หลังจากนั้นอากิระก็ไปที่โซนแจกจ่ายอาหาร เป็นสถานที่แจกอาหารจากในเมืองฟรีวันละสองครั้ง เนื่องจากการแจกจ่ายในตอนเช้ากำลังจะเริ่ม แม้ว่าจะมีเวลาเหลืออีกมากแต่ก็มีคนเข้าแถวรออาหารแล้ว อากิระเดินไปต่อท้ายแถวที่ยาวเหยียดนั่น
ทุกคนควรทำตัวดีๆและเข้าแถวให้เรียบร้อยระหว่างการแจกจ่าย ถ้ามีใครก่อความวุ่นวายหรือตัดแถว คนๆ นั้นจะไม่ได้รับอาหารใดๆ มีหลายครั้งที่การแจกจ่ายอาหารหยุดลงเพราะสาเหตุนั้น และแน่นอนว่าผู้รับผิดชอบการแจกจ่ายอาหารนั้นถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
นี่เป็นวิธีการสอนแบบหนึ่งจากตัวเมือง มันจะง่ายกว่าถ้าอย่างน้อยผู้คนในสลัมก็เรียนรู้ที่จะอยู่ในแถว นอกจากนี้ยังเตือนพวกเขาว่า ทุกคนในสลัมทุกคนจะรับผลที่ตามมา ถ้ามีคนแม้เพียงตนเดียวไม่ปฏิบัติตามกฎของเมือง ต้องขอบคุณสิ่งนั้น และการสังเวยของคนที่ตายในอดีต แม้แต่คนที่โหดเหี้ยมที่สุดในสลัมก็ยังเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบระหว่างการแจกจ่าย
การแจกจ่ายอาหารยังทำหน้าที่เป็นกิจกรรมเพื่อรวบรวมผู้คนจากสลัมที่ไม่สามารถหาอาหารได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังเป็นวิธีการรักษาความสงบเรียบร้อยอีกด้วย เพราะสุดท้ายแล้วผู้คนในสลัมจะไม่เพียงแค่รอความตายอย่างเงียบๆเมื่อพวกเขาไม่มีอาหารและเงิน ในทางกลับกันผู้คนที่หมดหนทางก็จะหยิบปืนขึ้นมาแล้วก่อความวุ่นวายด้วยการเป็นโจร ดังนั้นการแจกจ่ายอาหารจึงลดจำนวนคนประเภทนี้ลง ด้วยการแจกจ่ายอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต้องขอบคุณการแจกจ่ายอาหารนี้เองที่ทำให้อากิระสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน
การแจกจ่ายได้เริ่มขึ้นและในที่สุดก็ถึงคิวของอากิระที่รับอาหาร เมื่อเขาได้อาหารแล้ว เขาก็ถอยห่างจากแถวเล็กน้อย การรักษาระยะห่างจากแถวเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเด็กอย่างอากิระ ถ้าเขาออกห่างจากแถวมากเกินไป ก็จะมีคนมาแย่งอาหารของเขา แต่เขาก็ต้องเว้นระยะห่างจากแถวด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้ไปรบกวนแถวหรือสร้างปัญหาใดๆ ดังนั้นจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะกินอาหารในระยะที่ปลอดภัย และเนื่องจากทั้งโจรและผู้ถูกปล้นต่างก็มีปืน จึงควรหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นซึ่งอาจทำให้ใครบางคนเสียชีวิตได้
อากิระมองอาหารที่ได้รับ มันเป็นแซนวิชที่ห่อด้วยพลาสติกใสที่มีรหัสพิเศษเขียนอยู่ ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่แน่ชัด เขาไม่ได้เริ่มกินในทันที เมื่อมองดูแล้ว อัลฟ่าก็ถามเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ไม่กินเหรอ?”
อาหารที่เขาได้รับ เป็นอาหารสังเคราะห์ที่ผลิตโดยเครื่องจักรที่น่าสงสัยที่ยังพอใช้งานได้ ซึ่งขุดขึ้นมาจากซากปรักหักพังของโลกเก่า ผักที่ได้รับการทดลองปลูกในพื้นที่รกร้าง ซึ่งไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามันปนเปื้อนแค่ไหน กับเนื้อจากสัตว์ประหลาดทางชีวภาพที่ใครที่ไหนไม่รู้บอกว่ามันปลอดภัยสำหรับการบริโภค อาหารเหล่านี้ถูกแจกจ่ายให้กับคนยากไร้ในสลัมด้วยความเมตตา
หลังจากแจกอาหารแล้ว พวกคนที่มาแจกจะรอสักครู่เพื่อตรวจสอบว่ามีใครตายหรือกลายพันธุ์หรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาจะขายมันให้กับคนธรรมดา
แล้วค่อยเอาอาหารที่ทำจากวัตถุดิบที่ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าปลอดภัยหรือไม่มาแจกในครั้งต่อไป
นั่นคือสิ่งที่แซนด์วิชในมือของเขาเป็น ทั้งขนมปังและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น
“…ไม่ ฉันจะกินมัน”
คนที่แจกจ่ายอาหารจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คนที่รับอาหารนั้นต่างตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย อากิระก็เช่นเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นความปกตินี้ แต่เขาเลือกที่จะไม่กินก็ไม่ได้ เขาคงจะตายถ้าเขาไม่เลี้ยงตัวเองด้วยอาหารในมือนี้
รสชาติของอาหารค่อนข้างประหลาด มองข้ามเรื่องราคาและความปลอดภัยไป ไม่ใช่ของที่คุณจะกินเพราะอยากกิน คุณจะกินมันก็ต่อเมื่อคุณอยากมีชีวิตรอดต่อไปอีกวัน
อากิระพูดกับตัวเองว่าเขาจะเป็นนักล่าที่ประสบความสำเร็จ เพื่อที่เขาจะได้กินอาหารที่ปลอดภัยและอร่อย ในขณะที่เขากินแซนวิชที่มีรสชาติแปลกๆที่อาจจะมีพิษต่อไป เขาเหลือบมองไปที่คนที่เขาคิดว่าจะสามารถให้ความฝันของเขาเป็นจริงได้ อัลฟ่าก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ผู้คนในสลัมที่รอดชีวิตจากการพึ่งพาอาหารฟรีจะตอบแทนน้ำใจที่พวกเขาได้รับ ด้วยการเป็นด่านแรกในการป้องกันสัตว์ประหลาดที่โจมตีเมือง พวกเขาจะต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่กินคนและอาวุธสงครามที่โจมตีมนุษย์ โดยใช้เลือดเนื้อ และปืนจำนวนมากที่อยู่ในสลัม มันจะเป็นการซื้อเวลาให้กับทีมป้องกันของเมืองเพื่อกำจัดสิ่งที่มาโจมตีต่อไป
ในบรรดาผู้คนที่รอดชีวิตจากการโจมตี จะมีบางคนที่ยังจำวิธีต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้ คนเหล่านี้จะกลายเป็นนักล่าระดับต่ำสุด หากพวกเขาทำได้ดี พวกเขาจะสามารถนำโบราณวัตถุกลับมาจากซากปรักหักพังและช่วยหมุนเศรษฐกิจของเมืองได้ กำไรส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในการแจกจ่ายอาหารฟรีในสลัม
กล่าวโดยสรุปแล้ว การที่อากิระกลายเป็นนักล่า หมายความว่าเขาได้ทำในสิ่งที่คนทั้งเมืองคาดหวังจากเขา อาจคิดได้ว่าที่เขาต้องทำแบบนั้นเพราะเขาไม่มีทางเลือกมากนัก แต่อากิระนั้นคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจของเขาเอง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกบังคับให้เลือกทางเลือกในชีวิตอีกครั้ง เขาก็ยังคงเลือกเส้นทางในการเป็นนักล่าเหมือนเดิม
อากิระไปที่ซากเมืองคุซึซึฮาระเป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้เขาเดินทางผ่านซากปรักหักพังตามคำแนะนำของอัลฟ่า ถนนบางส่วนในซากปรักหักพังถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารที่ถูกทำลาย ดังนั้นจึงหลงทางได้ง่ายกว่ามาก มีพื้นที่ที่เหมือนเขาวงกต หากไม่ระวัง เขาอาจติดอยู่ในนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่ามีสัตว์ประหลาดที่เปลี่ยนสถานที่นี้ให้เป็นรังของพวกมัน และยังมีสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นบ้านของพวกมันด้วย
นักล่าที่มาถึงซากปรักหักพังเพื่อค้นหาโบราณวัตถุจะจัดการมอนสเตอร์ที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาไปถึงเป้าหมาย บางครั้งพวกเขาถึงขนาดซ่อมแซมถนนที่ทอดลึกเข้าไปในซากปรักหักพังเพื่อให้งานของพวกเขาง่ายขึ้น และขณะที่พวกเขามุ่งหน้าลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง พวกเขาบางคนจะเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าและพบกับความตาย หลังจากที่เกิดกระบวนการเหล่านี้หลายครั้งเข้า ภูมิประเทศจะยากต่อการสำรวจและเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่ง เมื่อคุณเดินลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง แต่แน่นอนว่า ด้วยเหตุนี้ จึงมีน้อยคนนักที่สามารถไปยังส่วนลึกของซากปรักหักพัง ดังนั้นคุณจึงสามารถพบโบราณวัตถุล้ำค่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ สรุปคือ ยิ่งลึก ยิ่งอันตราย และยิ่งได้ของคุ้มค่า
อากิระก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่เขาเริ่มสำรวจจากรอบนอกของซากปรักหักพังเมื่อวานนี้ แต่วันนี้เขามีเป้าหมายที่จะไปให้ลึกขึ้นตามคำแนะนำของอัลฟ่า แน่นอนว่าตอนแรกอากิระก็ลังเล แต่อัลฟ่าก็โน้มน้าวเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของเธอ
เขารู้ว่าเขาไม่สามารถหาโบราณวัตถุมูลค่าสูงได้หากไม่เข้าไปที่ส่วนลึกของซากปรักหักพัง และเนื่องจากอัลฟ่าบอกเขาว่าเธอจะนำเขา และทุกอย่างจะเรียบร้อยตราบใดที่เขาปฏิบัติตามคำสั่งของเธอ มันค่อนข้างยากสำหรับเขาที่จะปฏิเสธ เขาตัดสินใจที่จะเป็นนักล่าที่ประสบความสำเร็จและมาถึงจุดนี้ได้เพราะข้อตกลงที่เขาทำกับอัลฟ่า ดังนั้นหากเขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้แม้ว่าอัลฟ่าจะรับประกันความปลอดภัยของเขาแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเป็นนักล่าที่ประสบความสำเร็จ
ในตอนแรกเขาจะทำตามคำสั่งทั้งหมดที่อัลฟ่าให้ไว้โดยไม่ถามอะไร แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้รับคำสั่งหลายอย่างที่ดูไร้ประโยชน์บ่อยๆ เขาจึงมีความสงสัยในตัวอัลฟ่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เขาเอาหลังพิงกำแพงขณะที่เขาค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า แทนที่จะเข้าไปในอาคารเป้าหมายผ่านประตูที่เขามองเห็นได้จากจุดที่เขายืนอยู่ เขากลับปีนกองเศษหินที่อยู่ใกล้ ๆ และเข้าไปในอาคารทางหน้าต่าง หลังจากนั้นเขาก็ออกจากอาคารหลังนั้นทันทีทางประตูที่เห็นตรงหน้า จากนั้นเขาก็เดินผ่านถนนสายเดิมที่เคยผ่านมา ต่อมาก็ถูกสั่งให้หยุดยืนอยู่กลางทางชั่วขณะหนึ่ง เขาเดินทางวนไปมาสองสามครั้งก่อนจะเดินลึกลงไป แม้ว่าเขาจะปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหมดที่ได้รับ แต่เขาก็คิดว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นมันเป็นเพียงการกระทำไร้สาระซ้ำๆหลายครั้ง
มีบางครั้งที่เขาถูกโจมตีโดยสุนัขสงคราม เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะหุบปากและทำตามคำสั่งของอัลฟ่าทุกอย่างโดยไม่ถามหาเหตุผล แต่ทุกครั้งที่เขาทำอะไรที่เขาคิดว่าไร้ความหมาย ความข้องใจของเขาก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย แล้วในที่สุด เขาก็ไม่สามารถเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป
“…เอ่อ อัลฟ่า”
“หืม?”
“ไม่ใช่ว่าเธอหลงทาง แล้วเลือกเส้นทางอย่างสุ่มๆใช่ไหม?”
“ไม่นี่” อัลฟ่าตอบเขาตรงๆ
“…จริงดิ?”
“ใช่”
“ฉันรู้สึกเหมือนได้ผ่านถนนเส้นเดิมซ้ำๆ หลายครั้งแล้วนะ…”
“นั่นเป็นเพราะมันจำเป็น เราต้องใช้เส้นทางนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางอันตราย แต่ถ้านายต้องการฟังเหตุผลล่ะก็ …ก็คงต้องโทษโชคของนายแล้วล่ะ”
อัลฟ่าตอบคำถามของเขาราวกับว่าเธอกำลังแกล้งอากิระ และใบหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย
“…มันเป็นความผิดของฉันเหรอ?”
“ใช่”
อัลฟ่าตอบเขาตรงๆอีกครั้ง แม้ว่าคำตอบที่สั้นและตรงไปตรงมาเหล่านั้นจะน่าเชื่อถือมากพอที่จะทำให้เขาหยุดพูดอะไรกลับไป แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะขจัดความไม่พอใจและความไม่ไว้วางใจของเขา
หลังจากที่พวกเขาเดินลึกต่อไปอีกหน่อย จู่ๆ อัลฟ่าก็หันกลับมาอย่างรวดเร็วและออกคำสั่งแบบเดียวกับที่เธอได้รับมาระยะหนึ่งแล้ว
“หันหลังกลับ”
“…อีกแล้ว?”
อัลฟ่าเดินผ่านด้านข้างของอากิระ เขากำลังจะตามเธอไป แต่จู่ๆเขาก็หยุด ขาของเขาชะงัก เขามองเห็นถนนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอีกด้านหนึ่ง เขาคิดว่าหากได้เห็นอะไรบางอย่างเขาอาจจะสามารถขจัดความไม่พอใจทั้งหมดของเขาจากการกระทำที่ไร้ความหมายนี้ได้
[…แค่นิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง]
ขณะที่เขาพูดแก้ตัวนั้นกับตัวเอง เขาก็ค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากซอยเล็กน้อย แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงทิวทัศน์เดิมๆ ของดินแดนรกร้างที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
[…มันก็ดูไม่เห็นมีอะไรตรงนี้สักหน่อยนี่]
เขารู้สึกหงุดหงิดสุดๆ เพราะสิ่งที่เขาเห็น …จู่ๆ อัลฟ่าก็ตะโกนใส่เขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“กลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
พริบตาหลังจากนั้น กลางพื้นที่ที่เขาเห็นว่าไม่มีอะไรเลยในสายตาของเขา แสงวูบวาบพร้อมกับเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น สัตว์ประหลาดปรากฎขึ้นชั่วขณะเพราะการพรางตัวของมันลดลงชั่วคราว เป็นเวลาเดียวกับที่ปืนใหญ่ของมันยิงออกมา อากิระที่เห็นแบบนั้นใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อ สถานที่ที่เขาคิดว่าว่างเปล่า มีสัตว์ประหลาดจักรกลขนาดใหญ่ยืนอยู่พร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นพรางตัว
หัวจรวดขนาดใหญ่ตกลงบนอาคารไม่ไกลจากอากิระ ในชั่วพริบตา อาคารหลังนั้นถูกระเบิดออกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับเสียงอึกทึกและการระเบิดครั้งใหญ่จากจรวดนั่น ทำให้เกิดเศษหินขนาดใหญ่โปรยปรายลงมาทั่วบริเวณและทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้ การระเบิดครั้งใหญ่ทำให้พื้นดินที่อากิระยืนอยู่สั่นสะเทือน
เมื่อเห็นว่าอากิระกลายเป็นหินเพราะความตกใจ อัลฟ่าก็ตะโกนใส่เขา
“ถอยออกมา!! ไม่งั้นตายแน่!!”
อากิระหันหลังกลับและวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาวิ่งวุ่นไปทั่วตรอกขณะหลบเศษซากที่พังทลายลงมา อาคารโดยรอบสั่นสะเทือนเนื่องจากผลกระทบจากจรวด เขาทำตามคำสั่งของอัลฟ่าที่ให้ซ่อนตัวอยู่ในอาคารซึ่งไม่ไกลจากที่นั่นมากนัก ที่ด้านนอก เสียงและแรงสั่นสะเทือนจากปืนใหญ่ยังคงอยู่ ฝุ่นและเศษจากเพดานโปรยปรายลงมาบนอากิระ
อัลฟ่ามองเขาด้วยสีหน้าเย็นชาและพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“นั่นมันอันตรายนะ”
อากิระที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องก็ก้มหัวตอบ เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขาก่อนที่เขาจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“…ฉันขอโทษ”
อัลฟ่าเกลียดคำขอโทษของเขา มันเบาจนเหมือนเสียงพึมพำมากกว่า ดังนั้นมันจึงยากที่จะเข้าใจว่าเขาพูดอะไรในทันที สีหน้าเย็นชาของเธอเปลี่ยนเป็นยิ้ม จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“…นายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับคำสั่งของฉัน แต่ฉันจะไม่ให้คำแนะนำที่ทำให้นายเดือดร้อนหรอกนะ ถ้าจะถาม นายสามารถถามได้ทุกข้อที่ต้องการในภายหลัง เพราะฉันจะตอบให้จนนายพอใจเลย ฉันเคยพูดเรื่องนี้กับนายแล้วนี่ แม้ว่าคำสั่งของฉันจะดูไร้สาระสำหรับนาย แต่ก็มีโอกาสที่นายจะโดนฆ่าตายระหว่างที่ฉันอธิบายหาเหตุผลใช่ไหม? นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่อธิบายอะไรเลย ฉันรู้ว่ามันอาจจะยากที่จะเชื่อใจฉันเพราะเราเพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้ แต่มันจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฉันถ้านายตาย รู้ไหม นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ต้องการให้นายตาย นี่อาจจะยากสำหรับนายไปสักหน่อย แต่ได้โปรด…เชื่อฉัน”
อากิระรู้ดีว่าอัลฟ่าไม่อยากโทษเขา ในขณะที่ยังคงรู้สึกผิดอยู่ในใจ เขาก็พูดขึ้น
“…ฉันเข้าใจ. ฉันขอโทษที่สงสัยเธอ”
“ช่างมันเถอะ ฉันเองก็ไม่คิดหรอกนะว่านายจะไว้ใจฉันหมดใจตั้งแต่แรก สุดท้ายแล้วความไว้วางใจระหว่างเราก็เป็นสิ่งที่จะถูกสร้างขึ้นตามกาลเวลา”
ทุกสิ่งที่เธอพูดและท่าทีที่เธอมองเขา อากิระรู้ว่าเธอใส่ใจเขามากแค่ไหน และมันช่วยให้อารมณ์ของเขากลับคืนมา และเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ เขาฝืนหัวเราะ แม้จะเป็นเพียงผิวเผิน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
“… เธอพูดถูก ฉันเองก็ต้องสร้างความไว้วางใจให้เธอด้วยเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นฉันต้องทำอะไรต่อไปล่ะ”
อัลฟ่าเมื่อเห็นว่าอากิระรู้สึกอย่างไรกับวิธีการก่อนหน้า เธอจึงตัดสินใจที่จะระมัดระวังมากขึ้นในการให้คำแนะนำจนกว่าเขาจะมีสภาพจิตใจปกติ
“นายควรรอที่นี่จนกว่าสถานการณ์ข้างนอกจะสงบลง ฉันจะล่อสัตว์ประหลาดออกไปจากที่นี่ด้วยทางใดทางหนึ่งเอง อาจใช้เวลาซักระยะ”
“ล่อออกไป? เธอสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าอากิระรู้สึกประหลาดใจ อัลฟ่าก็ส่งยิ้มที่แผงนัยยะให้กับเขา
“มันจำกัดเฉพาะมอนสเตอร์จักรกลบางตัวและภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง สัตว์ประหลาดจักรกลเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นอาวุธที่ทำงานบนระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและตั้งโปรแกรมให้กำจัดผู้บุกรุก เครื่องจักประเภทนี้จะรวบรวมภาพจากภายนอกผ่านกล้องหรืออุปกรณ์อื่นๆที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณเพื่อใช้ดูสถานการณ์ของพื้นที่ แบบตัวสัตว์ประหลาดที่เราพบก่อนหน้านี้ มันน่าจะยังคงโจมตีภาพปลอมของนาย การโจมตีครั้งแรกที่พลาดก็เพราะเหตุผลเดียวกัน วิธีนี้จะใช้ไม่ได้กับสัตว์ประหลาดที่มีกล้องในตัวหรือหากเป็นพวกที่เฝ้าถิ่นเป็นฐานที่มั่น”
“…ตามสมมุติฐานแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันถ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเป็นสัตว์ประหลาดประเภทเฝ้าถิ่นนั่น?”
เมื่อได้ยินคำถามของอากิระ เธอตอบด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงร่าเริง
“แน่นอน หัวรบนั่นจะโจมตีคุณโดยตรงและเปลี่ยนคุณเป็นฝุ่น”
“…นั่นสินะ”
อากิระสะดุ้งกับคำตอบของเธอ แต่อาจเป็นเพราะอัลฟ่าตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ อากิระจึงไม่ก้มหน้าโทษตัวเอง
“บางทีเราควรอยู่พูดคุยกันตรงนี้อีกสักหน่อย …ใช่สิ ถ้านายมีอะไรอยากจะถามฉันล่ะก็ถามมาได้เลย”
เป็นเรื่องยากที่จะตั้งคำถามทันทีเมื่อมีคนบอกว่าคุณสามารถถามอะไรก็ได้ แต่เมื่อมองดูอัลฟ่าที่กำลังรอเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน มันยากที่จะเอ่ยปากบอกเธอว่าเขาไม่มีอะไรจะถาม แต่ในเมื่อมันเป็นหนึ่งในคำแนะนำของอัลฟ่า ดังนั้นเขาจึงคิดว่าควรทำตามเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างพวกเขา
อากิระค้นหาความทรงจำของเขาตั้งแต่ตอนที่เขาพบกับอัลฟ่าเพื่อหาเรื่องที่จะถาม และแล้วก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของเขา
“ถ้าอย่างนั้น ฉันมีเรื่องจะถามอย่างหนึ่ง ทำไมเธอถึงเปลือยกายในครั้งแรกที่เราพบกัน”
ในตอนนั้นเธอเปลือยเปล่าอย่างสิ้นเชิง แต่เธอเริ่มใส่เสื้อผ้าทันทีหลังจากที่พวกเขาพบกัน พูดสั้นๆก็คือ เธอจงใจปล่อยให้ตัวเองเปลือยเปล่าอยู่ตรงนั้น ในเวลานั้นเขารู้สึกตกใจมากที่เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อเขาจำได้ในตอนนี้ เขาก็รู้ว่ามันแปลกจริงๆ
อัลฟ่ายิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เมื่อเขาตกตะลึงกับรอยยิ้มนั้น เธอก็ถอดเสื้อผ้าออกและเผยให้เห็นเรือนร่างที่สวยงามของเธอ เธอแสดงเรือนร่างที่โค้งมนและน่าหลงใหลให้อากิระเห็นโดยไม่รู้สึกอายหรือลังเลใดๆ ทำท่าทางเชิญชวนในขณะที่เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ
“นายคิดว่าไงล่ะ?”
แม้ว่าเขาจะประหลาดใจ แต่อากิระก็ชอบมัน แต่เพียงไม่นานเขาก็หันหน้าหนีทันทีด้วยความตื่นตระหนกและพูดว่า
“แม้ว่าเธอจะถามฉันอย่างนั้น… ฉันก็ช.. เอ้ย ไม่มีอะไร ใส่เสื้อผ้ากลับไปซะ!”
อัลฟ่าแสดงความผิดหวังเล็กน้อยขณะที่เธอสวมเสื้อผ้าคืน
“มันเป็นร่างกายที่สวยมากใช่ไหม? มันน่าดึงดูดใช่มั้ยล่ะ? นายไม่คิดว่ามันจะดึงดูดความสนใจของผู้คนมากกว่าเหรอ? จำได้ว่านายมองอยู่นานเลยใช่ไหมล่ะ”
“มันช่วยไม่ได้รู้ไหม!?”
“นั่นคือคำตอบสำหรับคำถามของนาย”
“เธอหมายถึงอะไร?”
“มันเป็นวิธีที่ได้ผลมากในการมองหาใครสักคนที่สามารถเห็นฉันได้ มีเพียงนักล่าจำนวนไม่มากนักที่จะมาที่ซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระ ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะมองหาคนที่เห็นฉันได้ นายรู้ไหม นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเปลือยกายเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน ยิ่งกว่านั้น หลังจากการทดสอบหลายครั้ง มันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ผู้คนจะไม่วิ่งหนีหรือซ่อนตัวด้วยความระมัดระวังเมื่อพวกเขาเห็นฉันเป็นครั้งแรก”
“แต่ฉันระวังเธอทันทีเลยนะ”
“แต่ถึงอย่างนั้น นายก็ไม่หนีไปตั้งแต่แรกพบใช่ไหมล่ะ? นายจะทำยังไงถ้าสิ่งที่เห็นจากระยะไกลเป็นทหารติดอาวุธ”
“ก็… ฉันจะวิ่ง หรืออย่างน้อยฉันก็จะไม่เข้าใกล้คนๆ นั้น”
“ถูกต้อง! นั่นเป็นเหตุผลยังไงล่ะ ฉันจึงใช้รูปลักษณ์ที่จะทำให้ผู้คนรู้ได้ในทันทีว่าฉันไม่มีอาวุธและดึงดูดความสนใจของพวกเขา ต่อด้วยการโต้ตอบอย่างเป็นมิตร การเปลือยกายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่านายจะตอบสนองแบบนั้นและจะระมัดระวังฉันมากขนาดนี้ โทษทีละกัน”
อากิระขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาทำหน้าประหลาดกับสิ่งที่อัลฟ่าบอก แม้ว่าคำอธิบายของเธอจะน่าเชื่อถือตาม แต่อากิระก็อยากจะเถียงกลับไปบ้าง ว่าการโชว์เรือนร่างเปลือยเปล่าให้เขาดูนี่มันแกล้งกันชัดๆ
“…แต่ถึงอย่างนั้น ฉันคิดว่าการเปลือยกายมันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วง ร่างกายนี้เป็นเพียงร่างปลอมเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงไม่รังเกียจตราบใดที่ฉันสามารถบรรลุเป้าหมายได้”
“ร่างปลอม?”
“ใช่ ร่างกายของฉันไม่ใช่ของจริง มันถูกสร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิก ฉันสามารถปรับเปลี่ยนเพศ อายุ รูปร่าง เครื่องแต่งกายได้อย่างอิสระตามต้องการ”
ราวกับว่าเธอต้องการพิสูจน์สิ่งที่เธอพูด จู่ๆ เธอก็กลายร่างเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่อายุน้อยกว่าอากิระ จากนั้นเธอก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ของเธอไปเรื่อย ๆ ในทุกช่วงอายุต่อหน้าอากิระที่กำลังประหลาดใจ
หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนกลับมาเป็นรูปลักษณ์เดิม แต่คราวนี้เธอเปลี่ยนผมเป็นสั้นแล้วเปลี่ยนอีกครั้วเป็นยาวถึงพื้น เธอยังทำให้มันลอยราวกับว่าแรงโน้มถ่วงไม่ส่งผลกระทบต่อมันและทำให้มันกลายเป็นแถบสีรุ้ง เช่นเดียวกับเสื้อผ้าของเธอ เธอเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียน ชุดพนักงานบริษัท ชุดว่ายน้ำเซ็กซี่ ชุดลายพราง ชุดนักบิน และชุดอื่นๆ อีกมากมาย
อากิระรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของเธอในตอนแรก แต่ในขณะที่เธอเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มเพลิดเพลินกับการเปลี่ยนแปลงแทน ในฐานะเด็กที่อาศัยอยู่ในสลัม เขาไม่สามารถหาความบันเทิงในรูปแบบใดๆ ได้ ดังนั้นอัลฟ่าที่เอาแต่เปลี่ยนรูปลักษณ์และท่าทางของเธอต่อหน้าเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาหลงไหล
อัลฟ่าสังเกตอากิระในขณะที่เด็กชายหลงใหลในการกระทำของเธอ ในตอนแรกเธอเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเธอแบบสุ่มเท่านั้น แต่หลังจากนั้น เธอตั้งใจปรับหน้าตา อายุ รูปร่าง ทรงผม และเครื่องแต่งกายให้เข้ากับรสนิยมของอากิระที่ละเล็กทีละน้อย แต่เขาไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนั้นเลย เธอเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเธอไปเรื่อยๆ และสังเกตอากิระในขณะที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับว่าเธอกำลังเล่นสนุก
“บอกฉันได้นะว่านายอยากให้ฉันใส่ชุดแบบไหน เอ๋… หรือว่านายจะชอบให้ฉันเปลือยกาย? อ่าหะ อย่างที่ฉันคิดเลย คุณดูเพลิดเพลินกับการที่เห็นฉันเปลือยกายขนาดนั้น การเปลือยกายอาจจะดีที่สุดใช่ไหม?”
อากิระตอบคำถามอันเย้ายวนนี้ด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่เว้ย ใส่อะไรก็ได้ ขอแค่ใส่เถอะ! ให้ตายสิ ทำไมเธอถึงอยากจะแก้ผ้านักเนี่ย!”
“ฉันคิดว่ามันคงดีถ้านายคุ้นเคยกับอะไรแบบนี้ เพื่อไม่ให้นายติดกับดักความงามในอนาคต นายคิดไม่คิดเหรอว่าต้องมีการฝึกฝนความต้านทานเรื่องแบบนี้ซักหน่อย”
อากิระหัวเราะอย่างขมขื่น เขาคิดว่าเขาจะดูเหมือนคนวิปริตถ้าเขาตอบว่า “มาฝึกกันเลย” ดังนั้น แทนที่จะตอบตรงๆ เขาจึงทำหน้ามุ่ยเพื่อซ่อนความอายและพูดว่า
“…ไม่มีใครพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยอย่างฉันหรอกน่า”
แต่อัลฟ่าโต้กลับราวกับว่าเธอต้องการปิดทางหนีของเขา
“ตอนนี้อาจจะยังไม่มีใครล่อลวงนาย แต่มีหลายคนที่จะหลอกล่อนักล่าที่ประสบความสำเร็จ ฉันแค่ไม่อยากให้นายมีปัญหากับคนประเภทนั้นเมื่อนายกลายเป็นนักล่า ตั้งแต่สมัยโบราณ มีผู้ชายจำนวนมากที่พังพินาศเพราะผู้หญิงนะรู้ไหม”
แน่นอนว่าเขาต้องการประสบความสำเร็จในฐานะนักล่า แต่ถ้ามีใครถามความเห็นของเขาตรงๆ เขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง
“…เธอคิดว่าฉันจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?”
สำหรับคำถามของเขา อัลฟ่าตอบด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“แน่นอน!นายทำได้แน่ เพราะนายมีฉันอยู่นี่ไงล่ะ ฉันสัญญาว่าฉันจะช่วยนายทุกอย่างยกเว้นแค่บางเรื่อง นั่นคือฉันจะไม่ช่วยนายในการสร้างปณิธาน แรงจูงใจ และความมุ่งมั่นภายในของนาย หรือมากกว่านั้น ในเมื่อฉันไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องพวกนั้นได้ นายต้องทำบางอย่างกับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง”
อากิระไม่ได้พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วอัลฟ่าก็เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของเขาที่แสดงผ่านสีหน้า
“ได้สิ ฉันจะดูแลปณิธาน แรงจูงใจ และความมุ่งมั่นของฉันเอง”
อัลฟ่ายิ้มอย่างมีความสุข เธอแสดงความพึงพอใจของเธอออกมาผ่านรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเป็นทั้งคำชมสำหรับอากิระที่เริ่มปรับเปลี่ยนตนเอง และสีหน้าของความสุขที่จัดการกับจิตใจภายในของอากิระได้สำเร็จ
—————————————–
Avolenn : อีนี่นิ หลอกว่าไม่ทำอะไรแต่ก็เข้าไปยุ่งเต็มๆ
Avolenn : ใครที่อ่านมังงะก็คงเห็นฉากเปลี่ยนชุดเป็นแฟนเซอร์วิสเบิ้มๆไปแล้วล่ะนะ
—————————————–
สนับสนุนผู้แปลได้ที่นี่นะครับ กสิกร 475-2-65694-8 เมือง บ.