Rebuild World - ตอนที่ 9 อากิระและชิซุกะ
เช้าวันต่อมา ขณะที่กินอาหารเช้า อากิระถามอัลฟ่าเกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องทำในวันนี้ อากิระคิดว่าวันนี้ต้องทำการฝึกสื่อสารกระแสจิตอีกครั้ง แต่อัลฟ่ากลับบอกให้เขาตรวจเช็คอุปกรณ์เพื่อที่จะไปฝึกนอกสถานที่แทน มันทำให้เขาใจชื้นขึ้นเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดการพักในโรงแรมที่สะดวกสบายอะไรแบบนี้ แต่เขารู้สึกว่าการใช้จ่ายเงินของเขาไปกับมันเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป
เมื่ออากิระกินอาหารเช้าเสร็จ เขาก็เตรียมตัวออกจากโรงแรมทันที เขายังมีเวลาเหลือก่อนเวลาเช็คเอาท์ แต่เขาไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก มีหลายสิ่งที่เขาต้องทำในวันนี้
นักล่าจำนวนมากตั้งเมืองคุกามายามะเป็นฐานปฏิบัติการ เนื่องจากมีซากปรักหักพังอยู่รอบๆ ทำให้มีร้านค้าจำนวนมากมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเหล่านักล่าเหล่านั้น
ในบรรดาร้านค้าเหล่านี้ มีร้านค้าที่ชื่อว่า “Cartridge Freak(คาร์ทริดจ์ฟรีค)” ขายทุกอย่างเช่น ปืน กระสุน ฯลฯ สำหรับนักล่ามือใหม่และเก่า เป็นร้านที่ไม่ถึงกับขาดทุนจนเปิดต่อไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่กำไรมากมายจนเปิดสาขาสองได้ ถือเป็นเรื่องปกติที่จะพบร้านค้าแบบนั้นในเขตนี้
ชิซุกะเป็นคนเดียวที่บริหารCartridge Freak ต้องขอบคุณการทำงานอย่างหนักของฝ่ายบริหารและการจัดสรรการสะสมอาวุธที่ยอดเยี่ยม ทำให้มีนักล่าหน้าใหม่จำนวนมากที่มาซื้ออุปกรณ์ชิ้นแรกของพวกเขาที่นี่และยังแวะเวียนมาอยู่เรื่อยๆ
แม้นักล่าบางส่วนจะหยุดมาที่ร้านหลังจากผ่านไปไม่นาน ซึ่งมี 2 สาาเหตุหลักสำหรับเรื่องนี้ อย่างแรกเลย พวกเขาบางคนเลื่อนขั้นเป็นนักล่าที่เก่งขึ้นจนกระทั่งอาวุธจาก Cartridge Freak ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพวกเขาได้อีกต่อไป ทำให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าประจำของร้านค้าขนาดใหญ่แห่งอื่น ที่มีอุปกรณ์ที่ดีกว่า
อีกอย่างก็คือ บางคนไปที่ซากปรักหักพังและเสียชีวิตที่นั่น ถ้าถามว่าฝั่งไหนมากกว่า ก็บอกได้ว่าเป็นอย่างหลัง
ชิซุกะเป็นสาวสวย มีคนมากมายที่มาเป็นขาประจำของร้านเพื่อจีบเธอ ในสายงานของเธอ เป็นเรื่องปกติที่เธอจะได้ยินเรื่องราวประมาณว่า ผู้ชายที่จีบเธอเมื่อวันก่อนถูกพบเป็นศพในวันรุ่งขึ้น
ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ถ้าทำงานที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เดทกับนักล่าและตั้งหน้าตั้งตาทำงานของเธอต่อไป
เหมือนเช่นทุกวัน วันนี้เธอนั่งอยู่คนเดียวที่เคาน์เตอร์มองดูข้างนอกระหว่างรอลูกค้า แล้วก็มีคนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเข้ามา
เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะดูเหมือนนักล่า แต่เขาสวมชุดที่ผู้คนจากสลัมส่วนใหญ่สวมใส่ และเขาก็ไม่ได้ดูแข็งแกร่งอะไรมากนัก เมื่อพิจารณาจากลักษณะภายนอกของเขาแล้ว ชิซุกะไม่แน่ใจว่าเธอควรให้บริการเขาในฐานะลูกค้าระดับไหนกันแน่
เด็กชายมองไปรอบ ๆ ราวกับว่าเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เห็นแบบนั้น ชิซุกะก็สังเกตเขาอย่างระมัดระวัง หลังจากที่เธอเห็นว่าเด็กชายไม่ได้มาที่นี่เพื่อขโมยของจากร้านของเธอ เธอจึงลดการป้องกันลงและแสดงตัวอย่างเป็นมิตร
เด็กคนนั้นคืออากิระ หลังจากที่เขาเข้าไปในร้าน เขาก็มองดูอาวุธที่จัดแสดงภายในร้าน เมื่อเขาเห็นว่าตนเองไม่ถูกไล่ออกนอกร้านเพราะเป็นเด็กจากสลัม เขาจึงเริ่มมองดูอาวุธอย่างจริงจังมากขึ้น
มีอาวุธทุกชนิดเรียงรายอยู่ภายในร้าน นอกจากนี้ยังมีแผ่นรายละเอียดข้อมูลจำเพาะวางอยู่ข้างชั้นวางอาวุธ แต่สำหรับอากิระ อย่าว่าแต่ความรู้ทั่วไป เขาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่เขาเข้าใจคือตัวเลขที่เขียนบนแผ่นป้าย ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจสิ่งที่รายละเอียดอธิบายเลย
“…อะไรคือความแตกต่างระหว่างอันนี้กับอันนี้? แค่ราคาต่างกันแค่นั้นเหรอ?”
สำหรับมือใหม่ ปืนทั้งสองกระบอกนี้ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะกับอากิระที่เปรียบเทียบปืนทั้งสองอย่างจริงจังแล้ว เขาบอกได้เพียงว่าราคาต่างกันเท่านั้นเอง
อากิระทั้งตัวไม่ถูก และรู้สึกกระวนกระวาย เพราะเขากำลังจะซื้อปืนที่จะใช้เดิมพันชีวิตของเขาในอนาคตด้วยเงินที่เขาได้รับจากการเสี่ยงชีวิตของตัวเอง ถ้าเขาได้ปืนที่ไม่ดีไป ไม่เพียงแต่จะทำให้งานของเขาในฐานะนักล่ายากขึ้นเท่านั้น มันอาจจะทำให้เขาเสียใจภายหลังอีกด้วย
จากนั้นอัลฟ่าก็ทำให้อากิระสงบลงพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน
“มันมีความแตกต่างกันมากเลยล่ะ ฉันไม่รังเกียจนะที่จะอธิบายให้นายฟังโดยละเอียด แต่เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง อย่ากังวลไป… แม้ว่านายจะไม่รู้อะไรเลย แต่ฉันจะเลือกปืนดีๆให้เอง เชื่อใจฉันได้เลย”
“เอาสิ แล้วแต่เธอเลย”
ต้องขอบคุณการสื่อสารทางกระแสจิต อากิระเลยดูไม่เหมือนคนปัญญาอ่อนที่กำลังพูดกับตัวเอง แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังอัลฟ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ
ชิซุกะตระหนักถึงพฤติกรรมแปลกๆ นั้นขณะที่เธอเอียงศีรษะ
[…เขากำลังมองไปในทิศทางที่ไม่มีใครอยู่งั้นเหรอ? หรือว่ามีใครอยู่ตรงนั้น? การพรางตัว? ไม่สิ…นั่นมันควรจะปิดการใช้งานเมื่อเข้ามาในร้าน… หรือว่าฉันคิดไปเอง? เขาอาจจะขยับตาแบบนั้นตอนที่กำลังคิด]
ทางร้านทำสัญญากับบริษัทรักษาความปลอดภัย จึงมีการติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยทุกชนิดภายในร้าน อุปกรณ์แทรกแซงการพรางตัวเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ติดตั้งด้วย เพื่อความปลอดภัย ชิซุกะตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์นั้น แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆที่ผิดปรกติ ชิซุกะเลยเลิกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่ออากิระเดินเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์ ชิซุกะก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเป็นมิตรและต้อนรับอากิระ
“ยินดีต้อนรับ นี่เป็นครั้งแรกของคุณที่นี่ใช่ไหม? ยินดีต้อนรับสู่ Cartridge Freak ฉันเป็นผู้จัดการชิซูกะ มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ?”
“ฉันขอซื้อชุดซ่อมบำรุง ปืนไรเฟิลจู่โจม AAH และกระสุนหน่อยได้ไหม? และฉันต้องการขายบางอย่างด้วย”
จากนั้นอากิระก็วางปืน 2 กระบอกไว้บนเคาน์เตอร์ ซึ่งเป็นปืนที่เขาเอามาจากเฮย์ยะและเพื่อนของเขา
ชิซุกะตรวจสอบสภาพของปืน 2 กระบอกนั้น หลังจากนั้นเธอก็ถามอากิระเพื่อยืนยัน
“กระบอกหนึ่งก็เป็นไรเฟิลจู่โจม AAHอยู่แล้วนี่? คุณแน่ใจเหรอว่าต้องการซื้อใหม่? แม้ว่ามันอยู่ในสภาพที่ชำรุดนิดหน่อย แต่แทนที่จะขายมันแล้วซื้อใหม่ คุณยังสามารถซ่อมมันได้ด้วยชุดบำรุงรักษา …นอกจากนี้ ปืนไรเฟิลจู่โจม AAH กระบอกนี้ก็คุณภาพสูงใช้ได้เลยนะ แน่ใจใช่ไหมว่าต้องการขาย?”
ถ้าเธอปิดปากและทำธุรกิจต่อไปตามปกติ การซื้อขายนี้จะทำให้ชิซุกะมีกำไรมากขึ้น แต่ด้วยความใจดีของเธอ เธอจึงบอกอากิระไปตรงๆ
อัลฟ่าอธิบายให้อากิระฟัง
“เอาตามนั้นแหละ ขายทิ้งแล้วซื้อใหม่ดีกว่า ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญกว่าคุณภาพและพลังการยิง คือต้องหาปืนที่จะไม่มีปัญหาในการใช้งาน สำหรับการใช้งานปืนไรเฟิลจู่โจม AAH ฉันจะฝึกให้นายใช้มันหลังจากนี้เอง ดังนั้นเอาปืนใหม่ที่ไม่มีตำหนิมาใช้เลยจะดีกว่า”
“ไม่เป็นไร เอาตามนั้นแหละ”
“เอาล่ะ แบบนั้นก็… ถ้าหักจากปืนที่คุณขาย… ยอดรวมจะเป็น 100,000 ออรัมนะ”
หลังจากที่เขาจ่ายเงินเสร็จ อากิระก็มองไปที่เงินที่เหลืออยู่ในซองของเขาพลางขัดแย้งในใจ มือของเขาสั่นเมื่อเขายื่นเงิน และตอนนี้เงินของเขาเหลือเพียง 60,000 ออรัมแล้ว
(200,000 ออรัม เป็นเงินเพียงเล็กน้อย) เขาหัวเราะอย่างขมขื่นในขณะที่ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายของคำพูดของอัลฟ่าแล้ว
ชิซุกะวางของทั้งหมดที่อากิระซื้อไว้บนเคาน์เตอร์ จากนั้นเธอก็ยิ้มซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างรอยยิ้มของผู้ขายและรอยยิ้มแห่งความมั่นใจในสินค้าของเธอเอง
“นี่คือสินค้าที่คุณขอ ถ้าคุณต้องการ ฉันสามารถบอกรายละเอียดของสินค้าได้นะ มีคนจำนวนมากที่ไม่สนใจแล้วใช้มันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ …แล้วก็ไม่ใช่ว่าคุณจะเสียอะไรไปเพราะฟังคำอธิบายของฉัน และเนื่องจากตอนนี้ฉันก็ว่างอยู่พอดี เพราะงั้นฉันสามารถให้คำอธิบายโดยละเอียดได้นะถ้าคุณต้องการ?”
แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงบริการทั่วไปต่อลูกค้า แต่อากิระยังรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่มีต่อเขา อากิระจึงตัดสินใจรับข้อเสนอนั้น
“อืม เอาสิ”
“เอาล่ะ ไรเฟิลจู่โจม AAH เป็นไรเฟิลยอดนิยมของเหล่านักล่า ในบรรดาปืนทั้งหมดที่หมุนเวียนในเขตตะวันออก มันเป็นปืนที่ถูกใช้งานกันมาอย่างยาวนานแล้ว…”
ชิซุกะยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่เธอเริ่มอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะเธอเบื่อมากหรือเพราะเป็นเรื่องที่เธอเชี่ยวชาญ เธออธิบายมันอย่างน้ำไหลไฟดับ
ปืนไรเฟิลจู่โจม AAH เป็นปืนไรเฟิลที่มีชื่อเสียงซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี มันถูกมองว่าเป็นผลงานชิ้นเอกในยุคนั้นตอนที่มันวางขาย มันถูกใช้เป็นโมเดลพื้นฐาน และถูกปรับปรุงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและเป็นปืนที่แพร่หลายในเขตตะวันออก มีฟังก์ชัน เช่น โหมดอัตโนมัติและโหมดกึ่งอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีความแม่นยำที่ดีสำหรับการยิงระยะไกลอีกด้วย
ด้วยการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานับ 100 ปี มันจึงสามารถลบข้อบกพร่องด้านการออกแบบได้เกือบทั้งหมด มันเป็นปืนราคาถูกสำหรับต่อสู้กับสัตว์ประหลาดก็จริง แต่ตัวมันก็มีความน่าเชื่อถือเรื่องความทนทาน กับการบำรุงรักษาที่ง่าย และแทบไม่มีข้อผิดพลาดใดๆในการใช้งาน ทำให้หลายคนชอบอาวุธประเภทนี้
หลายบริษัทมีการผลิตโมเดลรุ่นใหม่ๆออกมา และหลายคนที่ชอบปืนรุ่นนี้ได้ทำการดัดแปลงต่ออีกมากมายจนดูไม่เหมือนกับรูปแบบดั้งเดิมเลยก็มี แต่ปืนทั้งหมดนี้ถูกเรียกโดยรวมว่าปืนไรเฟิลจู่โจม AAH
แม้แต่นักล่าที่ใช้รถถัง หรือมีอาวุธประจำตัวชนิดอื่นๆมาต่อสู้กับสัตว์ประหลาด พวกเขาก็มักจะมีปืนไรเฟิลจู่โจม AAH ติดตัวไว้อย่างน้อยหนึ่งกระบอกเพื่อเป็นเครื่องรางนำโชค นั่นคือเหตุผลที่เหล่านักล่าชื่นชอบปืนไรเฟิลจู่โจม AAH
ชิซุกะพอใจมากเมื่อเธออธิบายเสร็จ แม้จะเป็นสิ่งที่นักล่าส่วนใหญ่รู้อยู่แล้ว แต่อากิระก็รับฟังคำอธิบายนั้นอย่างตั้งใจ ดังนั้นชิซุกะจึงรู้สึกว่าคุ้มค่ากับเวลาที่อธิบายให้อากิระฟัง จากนั้นเธอก็สนทนาต่ออย่างมีความสุข
“คุณต้องการอะไรอีกรึเปล่า? พวกยาฟื้นฟูเป็นไง? แน่นอนว่าคุณไม่สามารถพกมันไปได้จำนวนเยอะๆ แต่ของมันต้องมีนะ มันก็ไม่เป็นไรหรอกนะถ้าคิดว่าจะเอากระสุนไปเยอะๆดีกว่าที่จะแบกยา แต่คุณควรวางแผนเรื่องการรอดชีวิตกลับมาด้วย มีหลายคนที่กลับบ้านไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บที่คิดว่าเป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย การรักษาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก”
อากิระครุ่นคิดเล็กน้อย หากเป็นเรื่องของยารักษา เขายังมียาบางอย่างที่เขาพบในซากปรักหักพัง จากนั้นเขาก็เดาว่ายาดังกล่าวจะมีราคาเท่าใดโดยพิจารณาจากประสิทธิภาพของยา และตัดสินใจว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถซื้อได้ด้วยจำนวนเงินที่เขามีในขณะนั้น แต่จากนั้นเขาก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่เขาอาจต้องการและสามารถซื้อได้ที่นี่
“ถ้าอย่างนั้น คุณมีเสื้อผ้าสำหรับนักล่ารึเปล่า?”
“คุณต้องการเสื้อผ้า? หรือว่าจะหมายถึงชุดเกราะ? …น่าเสียดาย อุปกรณ์พวกนั้นส่วนใหญ่จะต้องมีการวัดขนาดตามสภาพร่างกายนักล่าแต่ละคน นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่ขายแบบสำเร็จรูป แต่หากคุณจะสั่งตัดล่ะก็ สั่งที่นี่ได้นะ”
เมื่อพูดถึงเสื้อผ้าสำหรับนักล่า มักจะหมายถึงชุดเกราะสำหรับต่อสู้ เป็นชุดเกราะที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น เกราะป้องกันการฟัน ทนแรงกด หรือเกราะกันกระสุน สำหรับตัวเนื้อผ้า เป็นเส้นใยที่เสริมความแข็งแกร่งทางกายภาพของผู้ใช้ด้วยกล้ามเนื้อเทียม ชิซุกะกล่าวเชิงขอโทษ อากิระก็ส่ายหัวทันที
“เอ่อ ไม่ๆ… ไม่ใช่อะไรแบบนั้น เอ่อ ฉันหมายถึงเสื้อผ้าที่ดูทนทานและเคลื่อนไหวได้ง่าย และฉันก็จะเอาเป้ด้วยถ้าคุณมี…”
“โอ้ นั่นคือสิ่งที่คุณหมายถึง เอ่อ… ฉันก็มีอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่ขนาดสำหรับเด็ก ฉันคิดว่าฉันแก้ไขมันได้เล็กน้อย รอสักครู่แล้วกันนะ”
ชิซุกะเข้าไปในร้านและกลับมาพร้อมกับสินค้าที่อากิระขอ เสื้อผ้าและกระเป๋าเป้ มันเป็นเพียงเสื้อโค้ทที่มีชิ้นส่วนเกราะอยู่เป็นจุดๆ แม้ว่ามันจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นชุดเกราะ แต่มันก็ดีกว่าอุปกรณ์ที่เขาใช้อยู่ตอนนี้ เช่นเดียวกับเป้สะพายหลังขาดๆที่เต็มไปด้วยฝุ่นซึ่งแทบจะไม่สามารถใส่ของได้ที่เขามี
ชิซุกะคิดเงินโดยการรวมมันเขากับการซื้อขายก่อนหน้า ทำให้อากิระเหมือนได้เสื้อผ้ากับกระเป๋ามาฟรี ๆ มันทำให้อากิระค่อนข้างประหลาดใจ
“แน่ใจว่าคิดถูกใช่ไหม?”
“ใช่ มันเป็นเพียงบริการเสริมหลังการขายนิดหน่อยน่ะ ถ้าคุณติดใจล่ะก็ คราวหลังก็มาร้านนี้บ่อยๆและซื้อของเยอะๆ”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง”
เนื่องจากชิซุกะยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน อากิระจึงยิ้มตอบและโค้งคำนับ
ชิซุกะคอยโบกมือให้อากิระขณะที่เขากำลังจะออกจากร้าน แต่เมื่อเธอไม่เห็นร่างของอากิระอีกต่อไป สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นกังวล
“นักล่าที่เป็นเด็กงั้นเรอะ …เฮอะ ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าเขาจะอยู่รอดได้นานแค่ไหน”
การทำงานเป็นนักล่านั้นอันตรายมาก คุณอาจถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ ยิ่งเป็นเด็กแบบนี้ด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของชิซุกะ อากิระดูเหมือนจะไม่มีประสบการณ์ในการใช้ปืนต่อต้านสัตว์ประหลาดเลย
(TL: คิดผิดละเจ๊)
“แต่เอาจริง ๆ ฉันก็หวังว่าเขาจะรอดมาใช้บริการร้านนี้ได้อีกรอบนะ”
เสื้อผ้าและกระเป๋าเป้ที่เธอให้ ถือเป็นของขวัญให้กับอากิระ
(TL Eng: ของขวัญแด่คนที่จะไปตายในสนามรบ)
(TL: เหมือนให้ของขวัญ(ทำบุญ)กับคนที่จะไปตาย แต่บางวัฒนธรรมก็เหมือนเป็นเครื่องรางให้รอดชีวิตกลับมา)
——————————-
หลังจากที่เขาออกจากร้านของชิซุกะ อากิระตรงไปที่ดินแดนรกร้างเพื่อเตรียมตัวสำหรับการฝึกฝนทันที เขาเปลี่ยนไปใส่ชุดที่เขาซื้อ หยิบปืนไรเฟิลจู่โจม AAH ตัวใหม่ออกมาและบรรจุกระสุนที่เขาพึ่งซื้อมา
ปืนที่สร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั้นหนักกว่าที่อากิระคิด และหนักขึ้นด้วยกระสุนที่บรรจุอยู่ภายใน มันทำให้เขานึกถึงสิ่งที่รอเขาอยู่ในฐานะนักล่า
มันคือการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด ดังนั้นเขาจึงกระชับปืนของเขาที่จะฝากชีวิตไว้ ด้วยใบหน้าที่จริงจัง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้าของอัลฟ่าก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง จากนั้นเธอก็ถามคำถามกับอากิระโดยไม่สนใจว่าเขารู้สึกอย่างไร
“อากิระ ผู้หญิงคนนั้นคือสเปคของนายงั้นเหรอ?”
“สเปค?”
“ผู้จัดการร้านปืนนั่น เธอชื่อชิซุกะใช่ไหม? นายทำตัวแปลกๆตลอดเวลาที่อยู่ร้านนั่น รู้ตัวรึเปล่า?”
“ฉันทำตัวแปลก…? ฉันก็แค่ซื้ออาวุธตามปกติไม่ใช่เหรอ? แน่นอน ฉันดีใจที่เธอให้ชุดและกระเป๋าเป้ฟรีๆ แต่มันก็แค่นั้นนี่”
“ไม่ มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ฉันสัมผัสได้”
“แม้ว่าเธอจะบอกแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นสักหน่อย เอาล่ะฉันพร้อมแล้ว”
ไม่ใช่ว่าอากิระพยายามเปลี่ยนเรื่อง เขาอาจจะรู้สึกนิดหน่อยและเขาเองก็ไม่รู้ตัว ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงปล่อยให้บทสนทนาผ่านไปทั้งแบบนั้น
สำหรับอัลฟ่า สาวประเภทที่อากิระชอบคือข้อมูลสำคัญสำหรับเธอ แต่เธอเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะติดตามเรื่องนั้นต่อไป เธอจึงเปลี่ยนเรื่อง
“โอเค เริ่มกันเลย อากิระ เตรียมปืนของนายให้พร้อม”
สีหน้าของอากิระดูขึงขัง แต่เนื่องจากเขาไม่ได้รับการฝึกฝนการใช้ปืน เขาจึงไม่รู้วิธีเตรียมปืนอย่างเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้เพียงเลียนแบบภาพที่คลุมเครือจากความทรงจำของเขา
อัลฟ่าเตือนอากิระพลางยิ้ม
“นี่ๆ อย่าทำแบบนั้น นายต้องทำแบบนี้เพื่อให้ปืนมั่นคงขึ้น”
อัลฟ่าสร้างภาพปืนไรเฟิลจู่โจม AAH ในมือของเธอและแสดงท่าทางว่าจะถือมันยังไง
อากิระค่อนข้างแปลกใจเพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอัลฟ่าจะทำรูปอื่นนอกจากเสื้อผ้าของเธอได้ แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่ามันไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หลังจากนั้นเขาจึงแก้ไขท่าทางของเขาโดยมองไปที่อัลฟ่า
หลังจากนั้นอัลฟ่าก็ชี้จุดที่อากิระทำได้ไม่ดี เธอปรับตำแหน่งแขนและสะโพกของอากิระ อธิบายว่าเขาควรวางกำลังและน้ำหนักไว้ที่ตำแหน่งไหน จากนั้นเธอก็มห้คำอธิบายโดยละเอียดว่าเขาวางนิ้วแบบไหน
อากิระจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนจนไม่ทันรู้ตัวว่ามีอะไรแปลกๆ เช่น อัลฟ่ารู้ได้อย่างไรว่าเขาควรออกแรงแค่ไหนด้วยการมองมาที่เขา?
การฝึกท่าทางนั้นกินเวลาไป 1 ชั่วโมง ทั้งที่อากิระไม่ได้ยิงกระสุนสักนัด แต่เขากลับรู้สึกเหนื่อยมาก แต่มันก็คุ้มค่า เพราะคำอธิบายโดยละเอียดจากอัลฟ่า ท่าทางของอากิระดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
เมื่อเห็นว่าอากิระดูไม่เหมือนมือใหม่อีกต่อไป อัลฟ่าก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ดี ท่าทางนี้แหละ จำท่าทางของนายไว้ ต่อไปนายต้องยิงก้อนหินก้อนเล็กตรงนั้น”
อัลฟ่าชี้นิ้วไปที่จุดจุดหนึ่งด้านหน้าอากิระ อากิระเพ่งสายตาพยายามมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จุดที่อัลฟ่ากำลังชี้นั้นคือหินก้อนเล็กๆซึ่งอยู่ห่างจากเขาไปราว 100 เมตรข้างหน้า ซึ่งตัวเขาตอนปกติจะไม่สังเกตุเห็น
“ก้อนหินก้อนเล็กๆ ก้อนนั้น…? หรือก้อนไหนล่ะนั่น?”
อัลฟ่ายิ้มเมื่ออากิระท้วงและมองมาที่เธอ
“เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดู ฉันจะเตือนความจำนายอีกครั้งว่าการสนับสนุนของฉันยอดเยี่ยมขนาดไหน ฉันรับรองว่านายจะต้องประหลาดใจ เอาล่ะลองดูอีกครั้งสิ”
อากิระรู้สึกงงเล็กน้อยเมื่อเขามองกลับไปยังจุดที่อัลฟ่าชี้ แต่เมื่อเขาทำแบบนั้น จู่ๆ กรอบกล่องก็ปรากฏขึ้นและมีวงกลมอยู่ภายในกรอบนั้น และเมื่อเขาเพ่งสายตาไปที่วงกลมนั้นโดยไม่ตั้งใจ การมองเห็นของเขาขยายไปยังจุดนั้นราวกับว่าเขากำลังใช้กล้องส่องทางไกล อากิระรู้สึกประหลาดใจมากและหยุดโฟกัส ดังนั้นการมองเห็นของเขาจึงกลับมาเป็นปกติทันที
“เฮ้ย อัลฟ่า!? มีบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้นกับดวงตาของฉัน เธอทำอะไรลงไป!?”
อัลฟ่าหัวเราะด้วยความพอใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอากิระ
“ฉันได้เพิ่มวิสัยการมองเห็นระยะไกลให้กับการมองเห็นของคุณ ทีนี้นายก็ใช้มันมองหาหินก้อนนั้นดู”
จุดสีแดงปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของอากิระ เมื่อเขาโฟกัสไปที่จุดนั้น การมองเห็นของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งเหมือนเมื่อกี้ และเขาสามารถมองเห็นวงกลมสีแดงรอบก้อนหินเล็กๆ ได้ แต่มันก็ยังเบลออยู่
“มีขีดจำกัดในการซูมด้วยตาเปล่า ลองทำอีกครั้งด้วยกล้องของปืนไรเฟิลสิ”
จากนั้นอากิระก็พยายามมองหาก้อนหินก้อนเล็กๆ ก้อนก่อนหน้าผ่านอุปกรณ์เล็งของปืนไรเฟิลของเขา แต่ขอบเขตการมองเห็นของเขาผ่านอุปกรณ์เล็งนั้นแคบมาก และหินก้อนเล็กนั้นก็อยู่นอกขอบเขตการมองเห็นที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาก้อนหินก้อนนั้นเจอ
แต่ทันใดนั้นก็มีลูกศรปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขา เมื่อเขาค่อยๆหันตามลูกศรไป เขาก็พบก้อนหินก้อนเล็กๆ ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ก็มีเส้นสีน้ำเงินยื่นออกไปจากกระบอกปืน
“เส้นสีน้ำเงินนั้นคือวิถีกระสุนโดยประมาณที่ฉันคำนวณไว้ หากนายเล็งมันให้ตรงกับเป้าหมายและเหนี่ยวไก มีโอกาสที่จะยิงโดนอย่างแน่นอน”
เส้นสีน้ำเงินสั่นแบบสุ่ม อากิระพยายามอย่างมากที่จะจัดแนวเส้นนั้นให้ตรงกับก้อนหินก้อนเล็กๆ และเหนี่ยวไกปืน …เสียงปืนดังขึ้น แรงดีดจากปืนทำให้ร่างเล็กของอากิระระส่ำระสาย กระสุนพุ่งออกจากปากกระบอกปืน บินด้วยความเร็วสูง ฉีกอากาศ
แต่แล้วมันก็เฉี่ยวเลยก้อนหินเป้าหมายและหายเข้าไปในดินแดนรกร้าง
“…ไม่โดน”
“มันเป็นเพียงการประมาณเท่านั้น ไม่ได้ถูก100เปอร์เซ็นต์ วิถีกระสุนจะเปลี่ยนไปอย่างมากจากปัจจัยภายนอก ในตอนนี้ ปัจจัยภายนอกที่ใหญ่ที่สุดคือท่าทางของนาย อย่าลืมรักษาท่าทางเอาไว้ เล็งให้ดี แล้วเหนี่ยวไก ในการต่อสู้จริง นายจะต้องเล็งไปที่สัตว์ประหลาดไม่ใช่หินก้อนเล็กๆ
พยายามอย่างเต็มที่เพื่อโจมตีเป้าหมายและสังหารมันในนัดเดียวถ้าทำได้ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด นายต้องสะกดไม่ให้ศัตรูเคลื่อนไหวได้ มิฉะนั้นอีกฝ่ายจะโจมตีกลับและฆ่านาย …นายจะตายถ้าพลาด ควรระลึกไว้เสมอเมื่อนายลั่นไก”
อากิระยังคงยิงไปที่เป้าหมายของเขาในขณะที่มุ่งความสนใจไปที่การเล็ง แต่ดูเหมือนว่ากระสุนของเขาจะไม่เข้าเป้าในเร็วๆนี้ หรือจะพูดให้ถูกคือไม่มีนัดไหใกล้เป้าเลย การยิงส่วนใหญ่ของเขาพลาดเป้าอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ท่าทางของเขาเปลี่ยน อัลฟ่าจะบอกให้เขาแก้ไขท่าทางของเขาและยิงอีกครั้ง
หลังจากที่เขาทำอย่างนั้นอยู่กว่า 1 ชั่วโมง เขาก็เริ่มเห็นกระสุนตกลงในขอบเขตการมองเห็นของเขาผ่านกล้องเล็ง แต่ความเหนื่อยล้าก็สะสมนั้นเริ่มรบกวนสมาธิของเขา จากความล้าที่สั่งสมมา อากิระจึงเอ่ยถามขึ้น
“เฮ้ อัลฟ่า สิ่งต่างๆ แบบ การสื่อสารด้วยกระแสจิตและการมองเห็นแบบซูม ก่อนหน้านี้เธอก็ทำได้ใช่ไหม?”
สำหรับอากิระ มันเป็นเพียงคำถามธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเขา แต่อัลฟ่าคิดว่ามันอาจเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ไว้วางใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเธอจึงเลือกคำพูดอย่างระมัดระวังในขณะที่ยิ้ม
“ก็ใช่ ฉันทำมันได้ ฉันจะทำมันถ้ามันเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ในกรณีที่เราต่อสู้กับสองคนนั่น ฉันต้องขออนุญาตจากนายก่อน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่ได้ทำ”
“เฮ้ ถ้าเธอขอ ฉันก็ต้องอนุมัติอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง? แล้วมันอะไรล่ะ? หรือว่ามันมีขั้นตอนเกี่ยวกับการสนับสนุนรึไง?”
“เดิมที ฉันเป็นฝ่ายขออนุญาตจากนายไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งหมดเป็นเพราะกฎเฉพาะที่ยาวเกินกว่าจะอธิบายได้ แต่แม้ว่าฉันจะได้รับอนุญาตแล้ว ฉันก็ไม่อยากทำแบบนั้น หากมุมมองของนายเปลี่ยนไปในระหว่างการต่อสู้
มันจะทำให้นายสับสนและการหลบหลีกตามปกติก็จะยากขึ้น ตัวอย่างเช่น เส้นสีฟ้าสำหรับเส้นทางของกระสุน ถ้านายเห็นได้มันตั้งแต่ตอนนั้น นายจะต้องใช้เวลามากขึ้นในการเล็งให้โดนเป้าหมาย ซึ่งจะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายยิงกลับมา”
“โอ้ แบบนั้นสินะ”
อากิระเชื่อในคำตอบนั้นขณะที่เขาพยักหน้า อัลฟ่าก็อธิบายต่อ
“จากนี้ไป ทุกครั้งที่นายคิดว่ามีบางอย่างที่ฉันน่าจะทำได้ง่าย ๆ แต่กลับไม่ทำ ฉันบอกไว้เลยว่า อาจเพราะมันเป็นไปไม่ได้ด้วยสภาพร่างกายนายตอนนี้ หรือเป็นไปไม่ได้ทางเทคโนโลยี หรือไม่เหมาะกับสถานการณ์
หากไม่จำเป็น มีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง สำหรับฉันแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันจะทำได้ทุกอย่าง ถ้าฉันทำได้ทุกอย่าง ฉันก็จะสำรวจซากปรักหักพังด้วยตัวเองแทนที่จะขอความช่วยเหลือจากนาย ฉันถูกผูกมัดด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันขอความช่วยเหลือจากนาย”
“เอาล่ะ จะว่ายังไงดี… ดูเหมือนว่าเธอเองก็ลำบากเหมือนกันสินะ หืม?! แต่ก็ต้องขอบคุณเงื่อนไขนั้นที่ทำให้ฉันได้เจอเธอ ฉันรู้สึกแย่ที่ต้องให้เธอพูดแบบนี้ แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณสำหรับทุกอย่างจริงๆ”
อากิระพูดทั้งหมดโดยไม่คิดมาก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ เขาก็คิดว่าเขาแค่พูดอะไรที่ค่อนข้างน่าอายกับอัลฟ่า เมื่ออัลฟ่าเห็นอย่างนั้นเธอก็ยิ้มอย่างซุกซนราวกับว่าเธอเพิ่งหาเรื่องแกล้งอากิระได้อีก จากนั้นเธอก็เข้าไปใกล้ใบหน้าของอากิระและพูดด้วยน้ำเสียงเชื้อเชิญ
“ไม่ต้องเขินน่า นายจะรู้สึกขอบคุณมากกว่านี้ก็ได้ นายแค่ตอบแทนด้วยการกระทำ …ตัวอย่างเช่น นายต้องฝึกอย่างหนักเพื่อเพิ่มความแม่นยำ หรือทำตามที่ฉันสอนให้ดีขึ้น ได้ไหมล่ะ?”
“…ฉันจะพยายามแล้วกัน”
อากิระเหนี่ยวไก แต่กระสุนพลาดเป้าอีกครั้ง
การฝึกฝนของเขาดำเนินต่อไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน อากิระเก่งขึ้นอีกนิดนึง ด้วยความช่วยเหลือจากอัลฟ่า ด้วยกระสุน 1 ใน 100นัด เขาสามารถยิงก้อนหินขนาดกลางที่อยู่ห่างจากเขา 100 เมตร
เมื่ออากิระฝึกเสร็จและกลับเข้าเมืองก็ช่วงมืดแล้ว จากนั้นเขาก็เข้าพักในโรงแรมที่เขาพักก่อนหน้านี้ เมื่อเขาจ่ายเงินเสร็จและมองย้อนกลับไปที่เงินส่วนใหญ่ที่หายไป มันทำให้เขานึกอีกครั้งว่าเงิน 200,000 ออรัม ของเขามันน้อยเพียงใด
แต่เขาเพียงแค่ผลักความคิดนั้นออกไปในขณะที่เขาเข้าไปในอ่างน้ำและปล่อยให้น้ำชะล้างความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเขา ดังนั้น ความเหนื่อยทั้งหมดของเขาจึงแลกกับความง่วง หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ เขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงและผล็อยหลับไป
***
ในวันต่อมาอากิระ ได้ทำการซ่อมบำรุงปืนไรเฟิลจู่โจม AAH ของเขาในห้องของเขา นี่เป็นการฝึกแบบหนึ่งสำหรับเขาเช่นกัน เนื่องจากเขาไม่รู้วิธีการบำรุงรักษาปืนอย่างถูกต้อง เขาจึงทำการบำรุงรักษาตามคำแนะนำของอัลฟ่า
“ในตอนนี้ ปืนนี้คือชีวิตของนาย หากนายดูแลปืนไม่ดี หมายความว่านายกำลังเอาชีวิตไปทิ้ง จำไว้ว่าต้องดูแลปืนให้ดีเสมอ”
“เข้าใจแจ่มแจ้งเลย”
อากิระทำการบำรุงรักษาอย่างดีที่สุดด้วยท่าทางจริงจังในขณะที่ได้รับคำเตือนมากมายจากอัลฟ่า เขาถอดประกอบปืนและทำการบำรุงรักษาส่วนประกอบขนาดเล็กทั้งหมดทีละชิ้น แต่เมื่อเขาประกอบปืนที่เป็นชิ้นๆ แล้ว เขาก็มีเศษเหลืออยู่ อากิระจึงประกอบปืนอีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก
แม้ว่าชิ้นส่วนที่เหลืออยู่รอบก่อนจะถูกประกอบเข้ากับปืนอย่างถูกต้อง แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีชิ้นส่วนอื่นเหลืออยู่อีก
ขณะที่อากิระถอนหายใจเมื่อเห็นชิ้นส่วนที่เหลือ อัลฟ่าก็ยิ้มให้เขาและเตือนเขา
“เป็นฉันจะไม่แนะนำให้ใช้ปืนสภาพนี้หรอกนะ”
“ก็นั่นสินะ”
จากนั้นอากิระก็ถอดประกอบปืนอีกครั้งหนึ่งแล้วประกอบใหม่ คราวนี้ไม่มีชิ้นส่วนเหลืออยู่เลย แต่ปืนไม่ทำงาน แน่นอนว่าอัลฟ่าได้บอกใบ้บางอย่างแก่เขาหลังจากนั้น จากนั้นอากิระก็ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป และกว่าเขาจะซ่อมบำรุงเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
“ในอัตรานี้ ถ้าฉันมีปืนสำรองอีกกระบอก ฉันจะต้องใช้เวลา 1 วันเต็มเพื่อซ่อมบำรุงพวกมัน”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝึกฝนต่อไป เพื่อให้สามารถทำการบำรุงรักษาด้วยความแม่นยำและความเร็วที่สูงขึ้น ท้ายที่สุดเราไม่มีเงินสำรองสำหรับการบำรุงรักษา เอาล่ะ วันนี้เราก็ฝึกกันเท่านี้แหละ”
อากิระทำหน้างง
“วันนี้ฝึกจบแล้ว? งั้นวันนี้เราจะไม่ซ้อมยิงปืนเหรอ?”
“ตั้งแต่เราพบกัน นายไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากสำรวจซากปรักหักพังและฝึกฝน การผ่อนคลายก็เป็นสิ่งสำคัญ นายมีอะไรที่อยากทำหรือเปล่า อากิระ”
“ฉันอยากทำอะไรเหรอ?”
อากิระพยายามคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็นึกไม่ออก เมื่อเขาอยู่ในสลัมเขาใช้เวลาว่างไปกับการสะสมชิ้นส่วนโลหะเพื่อเอาไปขาย สำหรับตอนนี้ สิ่งที่เขาคิดออกคือเรื่องสำรวจซากปรักหักพัง
ก่อนหน้านี้ อากิระใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเอาชีวิตรอด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงค่อนข้างไม่คุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องความบันเทิงหรือพักผ่อนหย่อยใจ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเขาจะคิดหนักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถคิดอะไรได้นอกจากการถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน
อัลฟ่าเอาแต่มองอากิระโดยไม่พูดอะไร เธอรู้ดีว่าทำไมอากิระถึงคิดอะไรไม่ออก
“ถ้าอย่างนั้นเราจะเอาเวลาว่างมาเรียนอ่านเขียนกันดีไหม? ท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่สำคัญในชีวิตประจำวัน มันเป็นเรื่องไม่สะดวกที่นายไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้ ดังนั้นต้องเรียนรู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
จากนั้นอากิระก็ซื้อสมุดบันทึกและเครื่องเขียนจากร้านค้าทั่วไปของโรงแรมและใช้มันเพื่อเรียนรู้วิธีการอ่านและเขียนจากอัลฟ่า การสอนของอัลฟ่าได้ผลดีมาก ใช้เวลาไม่นานก่อนที่อากิระจะเขียนชื่อตัวเองได้
จากนั้นอากิระก็จำได้ว่าชื่อของเขาในบัตรนักล่าเขียนผิด เขาจึงดึงบัตรประจำตัวนักล่าออกมาดู
บนนั้น ชื่อของเขาถูกเขียนไว้ว่า “อาจิระ”
ในที่สุดอากิระก็เห็นว่ามันผิดจริงๆ
“…นี่ถือว่าฉันฉลาดขึ้นมานิดนึงใช่ไหมเนี่ย?”
แม้ว่าอากิระจะเน็บแนมตัวเองอย่างนั้น แต่เขาก็หัวเราะอย่างจริงใจ
——————————-
สนับสนุนผู้แปลได้ที่นี่นะครับ กสิกร 475-2-65694-8 เมือง บ.