Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi - ตอนที่ 118
การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) – ตอนที่ 118
“อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้!”
ด้วยการทำตามคำสั่งของลีโอ, นาร์เบ ริทเทอร์ก็ไล่ตามครูเกอร์
อย่างไรก็ตาม, มีอัศวินกลุ่มนึงเข้ามาขัดขวางการไล่ตามของพวกเขา
ในการต่อสู้ระหว่างอัศวินและนาร์เบ ริทเทอร์, ลีโอกับครูเกอร์ได้สบตากัน
“เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก!”
“เหอะ! คิดว่าในปราสาทของข้ามีอัศวินอยู่กันคนหล่ะ! ดูเหมือนว่าเจ้าจะพาหน่วยระดับสูงมาด้วยแต่ปราสาทของข้าไม่มีวันพ่ายแพ้ให้กับพวกกลุ่มทหารรับจ้างหรอก”
“อย่าดูถูกพวกเราเยอะจะดีกว่านะ”
ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ลาสก็เหวี่ยงดาบคู่ของเขาแล้วฟันอัศวินฝั่งศัตรูไปมากมาย
เมื่อเห็นแบบนี้, ครูเกอร์ก็หันหลังกลับแล้วเริ่มหนีในทันที
ลีโอเอาคนบางส่วนไล่ตามครูเกอร์ไปผ่านเส้นทางที่ลาสเปิดให้
“ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบนสินะ”
“มันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่บนนั้นแน่ ถึงยังไงเขาก็เป็นถึงลุงของซานดร้า”
“ไม่สำคัญหรอก พวกเรามาไกลถึงขนาดนี้แล้ว, ที่เหลือก็แค่จัดการทุกอย่างที่เจ้านั่นประเคนมาให้พวกเรา”
ในตอนที่พูดจบ, ซีกก็ปีนขึ้นหลังของลีโอ
เมื่อเห็นภาพแบบนี้, ลาสก็ถอนหายใจออกมา
“การที่ขึ้นไปขี่องค์ชายแบบนั้นได้, แสดงเจ้ามีฐานะสูงไม่เบาเลยนะ”
“ก็ขาข้าสั้นนี่ เอาเถอะหน่า, คิดซะว่าเห็นใจข้าบ้างก็แล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรครับ เมื่อเวลามาถึงข้าก็ขอฝากเจ้าด้วยแล้วกัน”
โดยไม่ถือสาอะไรซีก, ลีโอก็วิ่งต่อ
นาร์เบ ริทเทอร์เองก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
มันคือสนามรบดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่าการพูดเรื่องที่ลีโอไม่ได้ถือสาอะไรนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไร
“มีศัตรูกำลังเข้ามาจากทางซ้ายครับ!”
“หมวดสาม, หมวดสี่! ไปขัดขวางพวกมันซะ!”
“ทราบ!”
พอได้รับคำสั่งของลาส, หน่วยที่ถูกเรียกก็แยกออกไปขัดขวางศัตรู
ถ้าพวกเขาหยุด, พวกเขาก็จะไม่สามารถลุยเข้าไปด้วยกำลังได้อีก ต่อให้เขาต้องแบ่งคนของตัวเอง, ลีโอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากมุ่งหน้าต่อไป
แต่ว่า, ลีโอดูเป็นห่วงพวกทหารที่แยกออกไปขัดขวางศัตรู
เมื่อเห็นลีโอเป็นแบบนี้, ทหารคนนึงก็พูดกับลีโอ
“ไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอกครับ พวกเราเตรียมใจรับมือกับทุกสถานการณ์เอาไว้แล้ว”
“….เจ้า, ชื่ออะไร?”
“ร้อยตรีแบรนด์ เลอเนอร์, ครับ”
“ข้าเคยได้ยินชื่อของเจ้ามาก่อน ท่านพี่บอกว่าเจ้าเป็นคนแรกที่เสนอตัวสินะ”
“ครับองค์ชาย! ข้าคิดว่านี่คือสิ่งที่ควรค่าแก่การเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงครับ เพราะฉะนั้นโปรดมองไปข้างหน้าแล้วฝากเรื่องการคุ้มกันเอาไว้กับพวกเราเถอะ”
“…..เข้าใจหล่ะ ช่วยระวังหลังให้ข้าด้วยนะ”
“โปรดวางใจได้ครับ”
ในตอนที่เลอร์เนอร์กับลีโอกำลังพูดคุยกันนั้น, ซีกที่อยู่บนหลังของลีโอก็ตรวจจับอะไรบางอย่างได้แล้วเริ่มตื่นตัวขึ้นมา
“ระวังด้วย ข้ารู้สึกถึงลางไม่ดี”
“พอได้ฟังคำว่าลางไม่ดีจากนักผจญภัยเนี่ยทำให้ข้าเสียวสันหลังไปเลยนะ”
ในขณะที่ลาสพูดออกมาเช่นนั้น, บางทีทุกคนเองก็คงรู้สึกเหมือนกัน, พวกเขาทุกคนเพิ่มความระมัดระวังขึ้น
ที่นั่นมีบางอย่างที่พวกเขาควรจะให้ความสำคัญกับความระมัดระวังมากกว่าความเร็ว
นี่คือสิ่งที่ลาสกับซีกรู้สึกได้
และความรู้สึกนั้นก็ไม่ผิด
มีเสียงตะโกนดังก้องมาจากกำแพงที่อยู่ถัดไปจากทางเดินที่ลีโอกับคนอื่นๆอยู่
และมันก็กำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“กระจายกำลัง!”
พอได้รับคำแนะนำจากลาส, ทุกคนก็กระโดดออกจากจุดที่ยืนอยู่
จากนั้น, หลังจากผ่านไปไม่นาน, กำแพงทางเดินก็ระเบิดออก
“โฮกกกกก!!”
“อะไรหน่ะ!?”
“ระวังให้ดี!”
นาร์เบ ริทเทอร์เข้าประจำตำแหน่ง
จากนั้นมันก็ปรากฎตัวออกมาจากควันของซากกำแพง
ร่างกายของมันสูงประมาณสองเมตรและขนาดตัวประมาณครึ่งนึงของทางเดินกว้าง
น่าประหลาดใจที่มันมีลักษณะเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม, ไม่ว่าจะมองยังไง, มันก็คือมอนส์เตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย
“นี่ทำให้ตกใจเลยนะเนี่ย ดูเหมือนว่าปราสาทหลังนี้จะเลี้ยงมอนส์เตอร์เอาไว้ด้วยสินะ”
“นี่มันไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ! รักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้!”
โดยไม่คล้อยตามคำบ่นไร้สาระของซีก, ลีโอก็ออกคำสั่ง
อย่างไรก็ตาม, ซีกไม่สนใจ
“ตัดใจซะเถอะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะใช้จำนวนรับมือได้หรอกนะ”
พอพูดจบ, ซีกก็ลงมาจากหลังของลีโอแล้วถือหอกเผชิญหน้ากับมอนส์เตอร์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์
จากนั้น
“ไปซะ ข้าจะเล่นกับเจ้านี่เอง”
“ซีก….เจ้าจะจัดการคนเดียวไหวหรอ?”
“อย่าโง่หน่า จัดการมอนส์เตอร์มันงานของนักผจญภัยอยู่แล้ว ยกเจ้าตัวนี้ให้ข้าซะ”
พอได้ฟังซีก, ลีโอก็พยักหน้าให้ลาส
ลาสเข้าใจความตั้งใจของเขาในทันทีแล้วออกคำสั่งลูกน้องของเขา
“ไปเข้าร่วมกับหมวดที่แยกออกไปก่อนหน้านี้แล้วหยุดยั้งศัตรูเอาไว้! ส่วนคนที่เหลือ, ตามข้ามา!”
ด้วยแผนที่ปราสาทหลังนี้ในห้องสมุดของวังหลวงจักรวรรดิ, นาร์เบ ริทเทอร์ได้จดจำโครงสร้างทั้งหมดของที่แห่งนี้เอาไว้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง, พวกทหารที่ได้รับคำสั่งจึงออกเคลื่อนไหวในทันที
“ซีก! ระวังตัวด้วย!”
“เจ้าเองก็เหมือนกัน พวกมันอาจจะมีตัวคล้ายๆแบบนี้รออยู่ข้างหน้าอีกก็ได้”
“ถ้าเวลามาถึงข้าจะหาทางทำอะไรซักอย่างกับมันเอง”
ด้วยการยิ้มตอบลีโออย่างเจื่อนๆ, ซีกก็แยกกับลีโอและคนอื่นๆ
จากนั้น, เขาก็หันกลับไปมองเจ้าตัวโตที่อยู่เบื้องหน้าเขา
“ไม่เวทมนตร์ก็ยาสินะ…..แต่ไม่ว่าทางไหน, นี่มันก็ยังไร้มนุษยธรรมมากเกินไป ขอโทษด้วย, ข้าไม่ได้ว่างถึงขนาดที่จะใจดีกับเจ้าได้ ข้าจะเอาจริงตั้งแต่แรกเลยนะโอเคไหม?”
“โฮ้กกกก!!”
คนร่างยักษ์ตอบกลับซีกด้วยการคำราม
จากนั้นซีกก็หันปลายหอกเข้าใส่แล้วหายตัวไป
“ฮึ?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้วสินะ”
ซีกพูดออกมาเช่นนั้นในขณะที่ยืนอยู่ข้างหลังคนร่างยักษ์
มีเลือดปริมาณมหาศาลกำลังหยดลงมาจากปลายหอกของเขา
คนร่างยักษ์มองมันอย่างฉงนแล้วค่อยๆหันไปมองที่มือซ้ายของตัวเอง เขาพยายามขยับมันแต่มันไม่ยอมตอบสนอง
มือซ้ายของเขาถูกฟันขาดครึ่งไปถึงข้อศอกและกำลังห้อยต่องแต่งอยู่
“โฮ้กกกก!!??”
“เจ้าเชื่องช้าชะมัด ดูเหมือนข้อต่อค่อนข้างจะอ่อนแอด้วยข้าก็เลยเลาะออกให้ เอาหล่ะ, เข้ามาซิ”
ในการตอบสนองคำยั่วยุของซีก, คนร่างยักษ์ได้เหวี่ยงมือขวาของเขาด้วยกำลังทั้งหมด พลังที่ปล่อยออกมานั้นป่นพื้นจนแหลกละเอียดแต่ซีกก็กระโดดขึ้นมาแล้วใช้เพดานเป็นที่วางเท้า
จากนั้นเขาก็ใช้มันเป็นแท่นออกตัวแล้วพุ่งเข้าใส่คนร่างยักษ์ หลังจากที่เขาพุ่งมาถึงแล้ว, เขาก็กระโดดขึ้นไปอีกครั้งนึง
ซีกกระโดนวนไปวนมาในลักษณะนี้เหมือนบอลกระดอนแล้วโจมตีจุดอ่อนของคนร่างยักษ์จนในที่สุด, คนร่างยักษ์ก็ขยับตัวไม่ได้อีก
“ย้าก!!”
“!?”
หอกของซีกได้สะบั้นคอของคนร่างยักษ์จนหลุดกระเด็นออกไป
จากนั้นคอของคนร่างยักษ์ก็ตกลงมาที่พื้นด้วยเสียงดังตุ๊บ
“ขอโทษด้วย ข้าไม่ใช่คนดีจนถึงขนาดที่จะมานั่งหาวิธีช่วยเหลือเจ้า”
“ในตอนที่พูดจบ, ซีกก็มองศพของคนร่างยักษ์ด้วยความรู้สึกค่อนข้างสลด
“เปลี่ยนให้มนุษย์กลายเป็นมอนส์เตอร์สินะ……นี่มันเรื่องบ้างอะไรกัน”
ซีกพึมพำอย่างโกรธเคืองแล้วหันไปหาหน่วยอัศวินที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาเนื่องจากได้ยินเสียงการต่อสู้และเข้ามาตรวจสอบ
“นั่นมันหมีนี่!”
“มันคือศัตรูที่อยู่ในรายงาน!”
พวกอัศวินชักดาบออกมาแล้วเข้าใกล้ซีกแต่เขาก็แค่ชี้หอกใส่พวกอัศวินอย่างเงียบๆ
เพียงแค่นั้น, พวกอัศวินก็พากันก้าวไม่ออก, มีเหงื่อไหลท่วมที่แผ่นหลังของพวกเขา
“อึ้ก…..”
“หนอย! บ, บุกเข้าไปซะ!!”
มีอัศวินใจกล้าคนนึงมุ่งหน้าเข้าไปแต่ซีกก็ทะลวงหน้าอกของเขาอย่างไร้ความปราณี
จากนั้น, เขาก็ดึงหอกออกมาแล้วเริ่มพึมพำกับหอกที่ถูกชะโลมไปด้วยเลือด
“ถ้าอยากผ่านข้าไปก็อย่าลุยเข้ามาด้วยความกล้าครึ่งๆกลาง บุกเข้ามาแบบไม่สนชีวิตซะ ตอนนี้ข้าเริ่มหงุดหงิดแล้ว”
ในตอนที่พูดจบ, ซีกก็ขวางทางเดินเอาไว้
…
หลังจากที่ลีโอกับคนอื่นๆวิ่งเข้าไปในปราสาท, ฟีเน่กับคนคุ้มกันของเธอเองก็กำลังถูกไล่ตามอยู่
อย่างไรก็ตาม, ด้วยฝีมือของลินเฟียกับนาร์เบ ริทเทอร์, พวกเขาจึงเข้าใกล้ฟีเน่ไม่ได้เลย
“ช่วยถอยกลับไปหน่อยนึงนะคะ”
“ค่ะ……”
ฟีเน่ถอยไปหนึ่งก้าว, ตามคำแนะนำของลินเฟีย
จากนั้น, อัศวินที่พยายามจะคว้าตัวฟีเน่ก็ถูกลินเฟียฟันทิ้ง
เมื่อเห็นแบบนี้, ฟีเน่ก็ทำสีหน้าเศร้าอย่างเงียบๆ
การสูญสิ้นชีวิต เธอมาที่นี่โดยเตรียมใจที่จะเห็นมันแล้ว
เนื่องจากตัวเธอไม่สามารถต่อสู้ได้, จึงมีหลายคนที่ต้องมือเปื้อนเลือดแทนที่ของเธอ และมันก็ไม่ใช่ว่าเธอจะสามารถบอกให้คนของเธอวางอาวุธลงเพราะศัตรูน่าสงสารได้ด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น, เธอก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกพวกนี้ทิ้งไปแค่เพราะพวกเขาเป็นศัตรู
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ท่านฟีเน่?”
“…..”
ฟีเน่ย่อตัวลงไปใกล้ๆกับอัศวินที่ถูกฟันทิ้งก่อนหน้านี้
นาร์เบ ริทเทอร์พยายามจะห้ามเธอเพราะมันอันตรายแต่ลินเฟียก็หยุดพวกเขาเอาไว้
“ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคล์เนลต์ มีอะไรอยากจะสั่งเสียไหมคะ?”
“อั๊ก….ข, ข้าเป็น….อัศวินที่รับใช้บ้านทาร์นาท….”
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้หรอคะ?”
“น, นายท่าน….ถูกจับเป็นตัวประกัน……ข้าต้องจับท่าน…..ไม่อย่างนั้นพวกมันจะฆ่าเขา…….”
“….มีอะไรที่ข้าพอจะทำให้ได้รึเปล่า?”
“ช่วย….นายท่านด้วย…..”
ในตอนที่พูดเช่นนั้น, อัศวินก็พยายามยื่นมือไปหาฟีเน่
ฟีเน่พยายามจับมือของเขาแต่ก่อนที่เธอจะได้จับ, มือของอัศวินก็สิ้นแรงไปก่อน
“เข้าใจแล้วค่ะ……”
“ท่านฟีเน่ พวกเราต้องไปต่อแล้วนะครับ”
หนึ่งในนาร์เบ ริทเทอร์พูดอย่างหมดความอดทน
ในการตอบสนอง, ฟีเน่ได้พยักหน้าให้พวกเขาเล็กน้อย
จากนั้นเธอก็มองลินเฟีย
ลินเฟียที่เข้าใจความต้องการที่แฝงอยู่ในสีหน้าของฟีเน่นั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่เธอก็ยิ้มแล้วพยักหน้า
“ตามประสงค์ค่ะ, ท่านฟีเน่”
“คุณลินเฟีย…..”
“ท่านฟีเน่, ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อปกป้องท่าน แล้วข้าก็คิดว่าสิ่งที่ท่านพยายามจะทำนั้นมันยิ่งใหญ่มากเลยด้วย”
“….ขอโทษนะ ขอบคุณมากเลยค่ะ”
พอพูดจบ, ฟีเน่ก็มองพวกทหารระดับสูงของนาร์เบ ริทเทอร์ที่ทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันของเธอ
สำหรับการคุ้มกันฟีเน่นั้น, มีแค่ทหารที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของนาร์เบ ริทเทอร์ที่ถูกคัดเลือก
สำหรับพวกเขา, พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าทำไมฟีเน่ถึงต้องทำเรื่องที่ไร้ความหมายเหมือนกับที่เธอทำในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ด้วย
การคุ้มกันเธอไปยังที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้คืองานของพวกเขาดังนั้นการมามัวคุยอยู่ที่นี่จึงเป็นแค่การกระทำที่ไร้ความหมายสำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม, หลังจากนั้นในทันที, พวกเขาก็ถูกบอกบางอย่างด้วยภาษาที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้
“ข้า….จะช่วยตัวประกันค่ะ”
“หา!? นี่ท่านเสียสติไปแล้วหรอครับ!?”
“พวกเราไม่มีเวลาทำเรื่องพวกนั้นหรอกนะครับท่านฟีเน่!”
“ได้โปรดพิจารณาใหม่ด้วยครับ!”
ทหารทุกคนคัดค้านการตัดสินใจของเธอ
อย่างไรก็ตาม, หลังจากกวาดตามองพวกเขาอย่างรวดเร็ว, ฟีเน่ก็ประกาศออกมา
“ข้าเข้าใจดีค่ะว่ามันอันตรายแค่ไหน แต่ว่า, ในฐานะผู้ส่งสารของจักรวรรดิ, ข้ามีหน้าที่ต้องช่วยเหลือพวกเขา”
“แต่!”
“ข้ารู้ทำไมทุกคนถึงอยากห้ามข้า และบางที….พวกท่านคือฝ่ายที่ถูกต้องแล้วถึงยังไงการอพยพข้าออกจากที่นี่ก็เป็นวิธีการที่ฉลาดกว่า”
ในขณะที่พูด, ฟีเน่ก็ลูบเครื่องประดับนกนางนวลสีน้ำเงินของเธออย่างช้าๆ
ตั้งแต่ที่เธอได้รับเครื่องประดับผมชิ้นนี้มา, เธอก็ไม่ใช่แค่ลูกสาวดยุคอีกต่อไป
เธอเกลียดแนวคิดนั้นและปฏิเสธที่จะออกมาจากดินแดน แต่ถึงอย่างนั้น, เธอก็ยังฝืนออกมาเพื่ออยู่ข้างอัล
เหตุผลที่ทำแบบนั้นก็เพราะความรู้สึกพิเศษที่อยู่ในใจเธอ ความรู้สึกที่อยากจะเป็นประโยชน์กับอัล ความรู้สึกที่อยากจะตอบแทนเขา
เมื่อนานมาแล้ว, สาวงามจากทั่วทั้งจักรวรรดิได้มารวมตัวกันที่เมืองหลวงจักรวรรดิเพื่อตัดสินใจว่าใครจะได้เป็นเจ้าของเครื่องประดับชิ้นนี้ แน่นอนว่า, ฟีเน่ก็อยู่ที่นั่นด้วย อย่างไรก็ตาม, ด้วยความที่มันเป็นการมาเยือนเมืองหลวงครั้งแรกของเธอ, ความจริงที่ว่าเธอไม่เคยเห็นฝูงชนมากขนาดนี้มาก่อนผนวกกับการที่เธอจะได้พบกับจักรพรรดิโดยตรงเป็นครั้งแรกจึงทำให้เธอกังวลมาก สำหรับฟีเน่, ที่ตอนนั้นมีอายุแค่ 14 ปี, ความกดดันนั้นมันมากเกินกว่าที่เธอจะรับไหว
ในขณะที่เธอกำลังถูกความกังวลครอบงำจิตใจอยู่นั้นเอง, ก็มีเด็กชายคนนึงเข้ามาให้กำลังใจฟีเน่ในสภาพนั้นอย่างเริงร่า
ฟีเน่, ซึ่งซ่อนใบหน้าเอาไว้ใต้ผ้าคลุม, ถูกเด็กชายคนนั้นบอกว่าจักรพรรดิก็เป็นแค่ตาลุงธรรมดาคนนึงและไม่มีอะไรที่เธอต้องกังวลเลย มันค่อนข้างงี่เง่าเนื่องการที่เขาอยู่ที่นั่นกับเธอนั้นเป็นเพราะเขาแค่หนีมาจากเวทีที่เธอจะต้องขึ้นไปยืนเพราะเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก
แต่, ฟีเน่ก็สามารถทำใจให้สงบลงได้หลังจากที่คุยกับเขา และเธอก็ได้รับชื่อเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินมาตั้งแต่ตอนนั้น สำหรับเด็กชาย, มันคงเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับฟีเน่, มันคือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่นั้นมา, ฟีเน่ก็ชื่นชมเด็กชายคนนั้น, ซึ่งก็คืออัลนั่นเอง
ในตอนที่อัลไปบ้านของเธอ, ฟีเน่คิดว่ามันเป็นโอกาสที่เธอจะได้ขอบคุณเขา นี่คือสาเหตุที่เธอไม่เคยบอกว่า [ยินดีที่ได้รู้จัก] กับอัลในตอนนั้น อย่างไรก็ตาม, ช่วงเวลานั้นอัลได้ตำหนิพ่อของเธออย่างรุนแรง มันเป็นเรื่องน่าสลดสำหรับฟีเน่ในตอนที่เธอคิดว่าเด็กชายคนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม, จริงๆแล้วอัลไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
เขายังคงเหมือนกับวันนั้น, เขายังคงเป็นคนใจดีอยู่ เมื่อได้รู้ความลับของเขา, ฟีเน่ก็ขอร้องพ่อของเธอ เธออยากไปอยู่เคียงข้างอัลและให้ความช่วยเหลือเขา เธออาจจะเป็นตัวถ่วงสำหรับเขาก็ได้แต่เธอก็ยังอยากอยู่ข้างอัล เธออยากช่วยเหลืออัลเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอมีโอกาส
เธอคิดว่าเธอยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา
ความกล้าเช่นนี้ได้หลอมรวมอยู่ในใจเธอ
“แต่ว่า…..การที่ไม่ยอมทำอะไรแค่เพราะมันเป็นเรื่องถูกต้องหรือมันเป็นการกระทำที่ฉลาดนั้นมันขัดกับกฏของข้า, ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คน ทุกคนที่นี่ก็เหมือนกันหมดไม่ใช่หรอคะ? พวกท่านมาที่นี่ก็เพราะคำพูดของท่านอัลไม่ใช่หรอ? พวกท่านคิดว่าคนที่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นอัศวินนั้น…..จะยอมมองข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้หรอคะ?”
“…..ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านหล่ะก็—!”
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าหรอกค่ะ เพราะข้ามีอัศวินเก่งๆอยู่รอบตัวทั้งนั้นเลย”
“ท่านหมายความว่ายังไงครับ…..?”
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ถูกคัดเลือกมาอย่างระมัดระวังเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันข้าที่เป็นผู้ส่งสารของจักรพรรดิ, ความแข็งแกร่งของพวกท่านน่าจะเทียบเท่าอัศวินหลวงได้เลย ข้าเชื่อว่าทุกคนที่นี่มีพลังมากขนาดนั้น ข้าเชื่อในตัวอัศวินที่ท่านอัลเป็นคนไปสรรหามาด้วยตัวเอง…..และข้าก็ไม่เคยบอกว่าข้าไม่ไว้ใจในความสามารถของพวกท่าน เพราะพวกท่านทุกคนคือนาร์เบ ริทเทอร์ หน่วยที่มีฝีมือดีที่สุดของกองทัพจักรวรรดิ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น, พวกทหารก็พากันหลบตาหนี
จากนั้นพวกเขาก็พยักหน้าเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาตัดสินใจได้แล้ว
มันเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาคงไม่สามารถโน้มน้าวฟีเน่ได้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป
และโดยส่วนตัวนั้น, พวกเขาปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้เหมือนกัน
เธอเชื่อใจพวกเขา นี่คือสาเหตุที่พวกเขาเตรียมใจปกป้องเด็กสาวคนนี้ไม่ว่ายังไงก็ตาม
แต่ว่า, พวกเขาก็ยังต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถึงยังไงเธอก็คือคนที่เจ้าชายซึ่งจุดแรงบันดาลใจให้พวกเขาฝากฝังเอาไว้หล่ะนะ
แต่ถ้าเด็กสาวบอกว่าเธอจะไปก็คงไม่มีอะไรหยุดเธอได้
“พวกเราจะปกป้องท่านอย่างเต็มที่แล้วกันครับ แต่ถ้าพวกเราประเมินแล้วว่ามันเป็นอันตรายกับชีวิตของท่าน, พวกเราจะใช้กำลังพาท่านลี้ภัยออกไปนะครับ”
“ค่ะ ขอฝากด้วยนะคะ”
ฟีเน่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากคุยกันจนได้ข้อสรุปแล้ว, ลินเฟียก็เปิดหัวเรื่องใหม่
“แล้ว, พวกเราจะตามหาพวกเขาได้ที่ไหนคะ? ถ้าพวกเรารีบหาตัวพวกเขาเร็วๆ, พวกเราก็จะสามารถช่วยหน่วยแทรกซึมได้ด้วยเพราะฉะนั้นพวกเราควรรีบนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ คุณเซบาส”
ฟีเน่เรียกเซบาสด้วยความมั่นใจ
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น, เซบาสก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลังฟีเน่
“ยินดีรับใช้ครับ”
“พอจะรู้รึเปล่าคะว่าตัวประกันอยู่ที่ไหน?”
“ข้าตรวจสอบปราสาทดูแล้วมีสถานที่นึงที่ข้าคิดว่าน่าสงสัยครับ”
“ช่วยพาพวกเราไปที่นั่นได้รึเปล่าคะ?”
“ตามประสงค์ครับ แต่ว่า……ท่านฟีเน่, ท่านคล้ายกับท่านอัลจริงๆนะครับ”
“งั้นหรอคะ?”
“มากเลยค่ะ”
พอได้ฟังแบบนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มอย่างเริงร่า
มันคือคำชมที่ดีที่สุดที่ฟีเน่จะขอได้แล้ว