Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi - ตอนที่ 130
การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) – ตอนที่ 130
“สงบศึกชั่วคราว….หรอคะ?”
“อา ส่วนพวกเราจะลุยต่อได้เมื่อไหร่นั้นก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเหมือนกัน”
วันต่อมา
ฉันกำลังพูดเรื่องการเข้าพบเมื่อวานกับฟีเน่
“นี่คือที่เขาเรียกว่าสงบศึกแค่เปลือกนอกหรอคะ?”
ในขณะที่กำลังชงชา ฟีเน่ก็ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ไม่ มันเป็นคำสั่งจริง การเคลื่อนไหวในตอนนี้ก็หมายความว่าอาจจะถูกปัดตกรอบ ถ้ามีคนอยากเคลื่อนไหวหลังฉากมันก็คงจะไม่ดีซักเท่าไหร่เว้นเสียแต่ว่าจะทำด้วยความช่ำชองจริงๆ แต่ว่าฝั่งของท่านพ่อนั้นมีฟรานซ์อยู่ ข้าไม่คิดว่าจะหนีพ้นสายตาของเขาไปได้หรอกนะ”
“ใช่แล้วหล่ะครับ เจ้าชายเอริคเองก็คงจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วแน่ๆ นี่ก็หมายความว่าสงครามผู้สืบทอดนั้นจะต้องถูกพักไปซักระยะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลยไม่ใช่หรอคะ!”
ในขณะที่พูด ฟีเน่ก็ยิ้มแล้วส่งแก้วชาให้ฉัน
หลังจากนั้นเธอก็ส่งให้เซบาส เขาขอบคุณเธอแล้วจิบมันด้วยท่าทีที่ดูสง่างาม
“นี่คือชาตัวใหม่ใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้มันมาจากบริษัทอะจิน เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ข้าหาจุดผิดพลาดในด้านรสชาติของมันไม่ได้เลยและดูเหมือนว่าจะมีรสชาติที่ชวนให้รู้สึกสงบด้วยสินะครับ”
“ใช่เลยค่ะ! ข้าเองก็คิดว่ามันมีรสชาติที่ชวนผ่อนคลายเหมือนกัน”
“ทักษะของท่านนี่ยอดเยี่ยมเหมือนเคยเลยนะครับ”
เซบาสชื่นชมทักษะของฟีเน่
ในขณะที่กำลังคิดว่ามันดีขนาดนั้นเลยหรอ? ฉันก็ยกขึ้นมาจิบเหมือนกัน
มันอร่อย แต่ว่าฉันไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลย สิ่งเดียวที่ฉันสังเกตได้ก็คือกลิ่นที่แตกต่างไปจากปกติ บางทีมันอาจเป็นเพราะฉันไม่มีอารมณ์เพลิดเพลินกับมันด้วย
“เป็นยังไงบ้างคะ?”
“อร่อยดี”
“เป็นคำตอบที่น่าเบื่อจังเลยนะครับ ในเมื่อมันอยู่ในช่วงพักรบ ทำไมท่านไม่หาเวลาไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบซักหน่อยหล่ะครับ?”
“อืม นั่นสินะ ถ้างั้นข้าขอตัวไปนอนละกัน”
“ท่านถูกสั่งมาให้รักษาชื่อเสียงของตัวเองไม่ใช่หรอครับ?”
“ข้าจะไปนอนก็เพราะเรื่องนั้นนั่นแหล่ะ ถ้าข้าออกไปชื่อเสียงของข้าคงมีแต่จะลดลง เมื่อก่อนข้าอาจจะตั้งใจให้มันลดลงแต่ตอนนี้ส่วนใหญ่มันจะลดลงไปเองแม้ว่าข้าจะทำตัวตามปกติก็ตาม เพราะฉะนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษามันก็คืออยู่แต่ในห้องของข้า”
“นี่มันก็ดูฟังขึ้นอยู่หรอกครับจากคนที่สิ้นหวังอย่างท่าน แต่ถ้าท่านขังตัวเองในห้อง มันก็จะทำให้ชื่อเสียงของท่านแย่ลงเหมือนกันนะครับ”
“ไม่สน แค่กระจายข่าวลือออกไปว่าฉันกำลังทำงานเอกสารหรืออะไรประมาณนั้นก็พอ”
“ข่าวลือแบบนั้นมันก็มีขีดจำกัดเหมือนกันครับ ฝ่าบาทกำลังจับตาดูท่านอยู่ด้วยเพราะฉะนั้นข้าแนะนำให้ท่านออกไปข้างนอกบ้างดีกว่า”
“น่ารำคาญชะมัด”
ด้วยการละสายตาจากเขา ฉันก็ยกชาขึ้นมาจิบ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เซบาสก็ถอนหายใจใส่ฉัน และ
“เข้าใจแล้วครับ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ข้าทำได้สินะครับ ถ้างั้นข้ามีธุระที่ต้องไปจัดการนิดหน่อยขอตัวลาได้ไหมครับ?”
“เอ๊ะ? ท่านเซบาส?”
“อา ไปเถอะ”
“เข้าใจแล้วครับ ช่วยดูแลเขาให้หน่อยนะครับ ท่านฟีเน่”
ด้วยเหตุผลบางประการ เซบาสได้ฝากฝังฉันเอาไว้กับเธอแล้วหายไป
ในเมื่อพ่อบ้านน่ารำคาญหายไปแล้ว ฉันจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ การเดินไปที่เตียงมันน่ารำคาญเพราะฉะนั้นฉันก็เลยคิดว่าจะงีบที่นี่เลย
แต่ในตอนที่ฉันกำลังคิดเช่นนั้นอยู่
“อ เอ่อ ท่านอัลคะ?”
“ว่าไง?”
“คือว่า…ข้า ข้ามีแผนจะต้องออกไปหลังจากนี้ค่ะ….”
“อืม ไม่ต้องสนข้าหรอก ไปเถอะ”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น…..คือว่า ท่านเซบาสควรจะเป็นคนคุ้มกันข้าค่ะ…….”
“……ว่าไงนะ?”
ฉันเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
จากนั้น ฉันก็เข้าใจความหมายที่เขาบอกว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย’
‘ไอ้พ่อบ้านนั่น….เขาอยากให้เจ้าพาข้าออกไปตั้งแต่แรกแล้วสินะ….’
“เอ่อ ท่านอัลคะ ถ้าท่านไม่อยากไปเดี๋ยวข้าไปหาคนอื่น……”
“หน้าที่คุ้มกันเจ้าฝากฝังเอาไว้ได้แค่กับคนที่พวกเราไว้ใจเท่านั้น ถ้าเซบาสทำไม่ได้ข้าก็ต้องทำด้วยตัวเอง ถึงยังไงตอนนี้ลินเฟียกับซีกก็อยู่กับลีโอด้วย”
ฉันเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะในขณะที่นึกถึงคนอื่นที่สามารถคุ้มกันเธอได้แต่ตอนนี้ทุกคนน่าจะมีธุระกันหมดและมีแค่ฉันที่ว่างอยู่ เซบาสน่าจะออกไปก็เพราะเขาคำนวณเอาไว้แล้ว
ให้ตายเถอะ เขาเก่งจริงๆจนถึงขั้นที่ทำให้ฉันรู้สึกเกลียดได้เลยหล่ะ
“คือท่าน….จะมากับข้าหรอคะ?”
“ถ้าเจ้าไม่ได้รู้สึกแย่อะไรก็คงจะตามนั้นนั่นแหล่ะ”
“ข้าไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นหรอกค่ะ! ข้าจะรีบออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย!”
ในตอนที่พูดจบ ฟีเน่ก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปจากห้อง หลังจากที่ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยรึเปล่า ความคิดนึงก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉันในทันที
ถึงยังไงการเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องยาก ในเวลาเช่นนี้ มันทำให้ฉันคิดว่าฉันเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างมีปัญหา
“ว่าแล้วเชียว ข้านี่มันไม่มีอะไรดีเลยนะ”
ฉันถอนหายใจในขณะที่พูดเช่นนั้น
อันที่จริงฉันไม่ได้รู้สึกแย่หรืออับอายเลยที่ยอมรับด้วยตัวเองว่าฉันเป็นมนุษย์ที่ไม่มีอะไรดีที่หมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ
เอาเถอะ ต่อให้ฉันเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่ได้ขี้เกียจถึงขนาดจะละทิ้งการคุ้มกันฟีเน่ แม้ว่าสงครามผู้สืบทอดจะถูกพักเอาไว้อยู่ แต่มันก็ยังมีปัญหาอีกมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับมันที่สามารถเกิดขึ้นได้
“เห้อ….ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าต้องพยายามอย่างเต็มที่สินะ”
หลังจากทำการตั้งปณิทานอย่างอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ ฉันก็ลุกขึ้น
….
“นี่จ้ะ”
“ขอบคุณครับ ท่านฟีเน่”
“ไม่เป็นไรจ้ะ มันยังร้อนอยู่เพราะฉะนั้นระวังด้วยนะ”
“ท่านฟีเน่ ผมด้วย!”
“เอ้านี่จ้ะ ไม่ต้องรีบนะตกลงไหม”
ในขณะที่พูด ฟีเน่ก็ยิ้มแล้วเทซุปร้อนๆลงบนจานแล้วส่งให้เด็กคนนั้น
ถัดจากเธอมีคนจากบริษัทอะจินกำลังลำเลียงขนมปังกับสลัดอยู่
ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ที่เขตเมืองชั้นนอกสุด
แผนของฟีเน่ในวันนี้ก็คือการแจกจ่ายอาหารที่นี่ แต่เดิมนั้น บริษัทอะจินสามารถทำได้แค่ครัวซุปเล็กๆแต่พอมีฟีเน่เข้ามา มันก็ขยายใหญ่ขึ้น มีคนอยู่จำนวนนึงที่มาที่นี่เพียงเพื่อรับอาหารโดยตรงจากเธอ แต่ก็เอาเถอะ นอกจากผู้ที่อาศัยในเขตเมืองชั้นนอก คนนอกจะถูกมนุษย์สัตว์ที่แข็งแรงกันเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้เธออยู่ดี
“เจ้าอีกแล้วหรอ? อาหารพวกนี้มีไว้สำหรับคนในเขตเมืองชั้นนอกเท่านั้น”
“ไม่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ข้าเองก็เป็นผู้พักอาศัยในเขตเมืองชั้นนอกเหมือนกัน!”
“พวกเราจะเสิร์ฟให้แค่ผู้พักอาศัยในปัจจุบันเท่านั้น”
“ล ลูกศิษย์ของข้าอาศัยอยู่ที่นี่ ใช่แล้ว!”
“นั่นไม่เกี่ยว”
“เหวอ ปล่อยข้า! หนอย! ข้าเองก็อยากได้ซุปจากท่านฟีเน่เหมือนกันนะ!!!”
ฉันได้ยินเสียงของคนที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกแต่ฉันก็แค่มองข้ามมันไป ถึงยังไงตอนนี้ฉันก็กำลังยุ่งอยู่
“ฮึบ..เห้อ”
ในขณะที่ส่งเสียงเช่นนั้นออกมา ฉันก็วางกล่องที่เก็บขนมปังลงบนพื้น
การมีคนจำนวนมากมาต่อแถวก็หมายความว่ามันจำเป็นต้องเตรียมอาหารจำนวนมาก มันคงจะยากสำหรับธุรกิจเล็กๆในการเตรียมอาหารขนาดนี้แต่มันเป็นไปได้สำหรับบริษัทอะจินซึ่งตอนนี้ทำเงินได้มากมายจากการใช้ชื่อของฟีเน่
ดูเหมือนว่าถ้าพวกเขาเน้นแต่จะทำกำไรชื่อเสียงของพวกเขาก็จะตกลง แต่ด้วยการมาแจกจ่ายอาหารให้คนที่เขตเมืองชั้นนอกแบบนี้ ชื่อเสียงของพวกเขาก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันกลายเป็นที่ยอมรับแล้วว่าบริษัทกำลังร่วมมือกับกิจกรรมการกุศลของฟีเน่ และด้วยเหตุนี้เอง ชื่อเสียงของฟีเน่ก็เพิ่มขึ้นไปด้วยเหมือนกัน
“เธอค่อนข้างดังไม่เบาเลยนะ”
ในขณะที่พูดเช่นนั้น เฉินก็เดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ใกล้ๆแล้วยกอีกกล่องขึ้นมา
มันยังมีอีกหลายกล่องอยู่ข้างในรถม้า ตอนนี้ในเมื่อฉันมาที่นี่แล้ว ฉันก็คงจะยืนดูเฉยๆไม่ได้ ถึงยังไงฉันก็ถูกสั่งมาให้รักษาภาพลักษณ์ ด้วยเหตุผลนี้เอง ฉันจึงบอกพวกเขาว่าฉันจะช่วยและเริ่มยกกล่องพวกนี้ แต่ว่ามันหนักจนคาดไม่ถึงเลยหล่ะ
การยกกล่องพวกนี้ถือว่าเป็นงานที่ยากลำบากสำหรับร่างกายที่อ่อนแอของฉัน ในขณะที่ฉันแบกกล่องเดียว คนๆนึงจากบริษัทอะจินกลับแบกถึงสองหรืออาจจะสามด้วยซ้ำ นี่มันน่าเศร้าสุดๆ นี่คือความแตกต่างระหว่างกึ่งมนุษย์กับมนุษย์ เอาเถอะ จะบอกว่านี่เป็นความแตกต่างระหว่างคนที่มีร่างกายแข็งแรงกับอ่อนแอก็ได้
“เจ็บข้อมือชะมัด….”
“องค์ชาย หยุดฝืนตัวเองแล้วพักซักหน่อยดีไหมครับ?”
มนุษย์สัตว์ร่างใหญ่พูดกับฉัน เขาเป็นมนุษย์สัตว์เสือที่มีหูกับหางของเสือ
กล้ามเนื้อของเขานั้นใหญ่มากจนเขาสามารถแบกสองถึงสามกล่องได้ในครั้งเดียว
“ข้าเกะกะรึเปล่า?”
“ไม่หรอกครับแต่ข้าคิดว่าถึงท่านจะไปพักตอนนี้มันก็คงจะไม่มีความแตกต่างอะไร”
“เข้าใจหล่ะ ถ้างั้นมันก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมถ้าข้าจะอยู่ต่อ?”
“ไม่เลยครับ แต่พวกเราจะมีปัญหาเอาได้ถ้าจู่ๆเจ้าชายที่มากับพวกเราล้มฟุบไปอย่างกะทันหัน”
“ข้าไม่โง่ขนาดนั้นหรอก ถ้าข้าทำต่อไม่ไหวแล้วข้าจะไปพักเอง ไม่ต้องห่วง
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากที่พูดจบ มนุษย์สัตว์เสือก็ยิ้มแล้วเริ่มขนย้ายกล่องต่อ
ฉันไม่มีแรงเหลือมากพอที่จะมาสนเรื่องแพ้ชนะดังนั้นฉันก็เลยทำตามกำลังตัวเองแล้วยกแค่ทีละกล่อง
หลังจากนั้นสักพัก ดวงอาทิตย์ก็ตก และครัวก็ปิดลง
ในตอนนี้ ฉันยกแขนตัวเองไม่ขึ้นแล้วด้วยซ้ำ
“โอย….ปวดแขนชะมัด”
“ท่านอัล….ไหวไหมคะ?”
ในขณะที่ฉันกำลังพักอยู่บนรถม้าโล่งๆ ฟีเน่ก็เข้ามาหาฉันแล้วถามอย่างเป็นห่วง
สีหน้าของเธอดูเหนื่อยล้าแต่ก็เต็มไปด้วยพลังงาน ซึ่งมันแตกต่างจากสีหน้าของฉันคนละเรื่องเลย
“ไหวซะที่ไหนหล่ะ….”
“ขอโทษนะคะ…..ที่ท่านมาที่นี่ก็เพราะต้องคอยคุ้มกันข้าแท้ๆ”
“ไม่เป็นไร ข้าเป็นคนพูดเองนี่ว่าจะจัดการด้วยตัวเอง”
ในตอนที่ฉันพูดออกมาเช่นนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านนอก
พอมองไปดู ก็มีคนกลุ่มนึงกำลังรวมตัวกันอยู่แถวรถม้า
“เห็นเจ้าชายไร้ค่าวันนี้รึเปล่า!”
“เห็นสิ! เขาทำได้แค่ยกทีละกล่องเพราะเขาอ่อนแอเกินไป! เขาไร้ประโยชน์จนข้าอดหัวเราะไม่ได้เลยหล่ะ!”
“เขามาที่นี่เพื่ออะไรกันนะ! พวกเราไม่ได้เรียกเขามาซักหน่อย!”
“นั่นสิ นั่นสิ! ท่านฟีเน่คนเดียวก็พอแล้ว! ถ้าจะมาขอเป็นเจ้าชายลีโอนาร์ดแทนไม่ได้รึไง!”
พูดกันสนุกปากอีกแล้วสินะ
เอาเถอะ ฉันไร้ประโยชน์จริงๆเพราะฉะนั้นฉันคงพูดอะไรกลับไปไม่ได้หรอก
อย่างไรก็ตาม ฟีเน่จ้องไปที่พวกเขาตาเขม็งในทันที จากนั้นเธอก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อจะไปตำหนิพวกเขา
“ปล่อยพวกนั้นไปเถอะ ฟีเน่”
“แต่ว่า!?”
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า จัดการพวกนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงยังไงพวกนั้นก็ไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงอยู่แล้ว”
“แต่ท่านอัลทำเต็มที่แล้วนะคะ!”
“มันคงจะเป็นหนังคนละม้วนถ้าข้าเป็นแค่สามัญชนแต่ข้ามาจากราชวงศ์ ข้ามีข้อได้เปรียบมากกว่าคนพวกนี้ ตราบใดที่ข้าไม่ได้เติมเต็มบทบาทนั้น ข้าก็ไม่มีสิทธิไปตำหนิคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาหรอก
“นั่นไม่จริงเลยค่ะ! ท่านอัลหน่ะมักจะ!”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเพื่อจักรวรรดิ ถูกไหม?”
เพื่อสงบโทสะของฟีเน่ ฉันได้ถามคำถามนั้นกับเธอ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของฟีเน่ก็ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ ฉันไม่อยากให้เธอทำหน้าแบบนี้เลย
“เพราะความวุ่นวายจากสงครามผู้สืบทอด การขนส่งก็เลยติดขัดและราคาของก็เพิ่มขึ้น ถ้าราคาของเพิ่มสูงขึ้นในขณะที่ค่าจ้างของพวกเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม พวกเขาก็จะตกสู่ความยากจน พวกเราพยายามทำให้ลีโอขึ้นเป็นจักรพรรดิแต่ในท้ายที่สุดนั้น คนที่ต้องจ่ายจริงๆก็คือประชาชน พวกเขาจำเป็นต้องหาอะไรบางอย่างเพื่อเบี่ยงความสนใจตัวเอง เมื่อพิจารณาจากความเจ็บปวดของพวกเขา การปล่อยให้พวกเขาล้อเลียนเจ้าชายไร้ค่าอย่างข้าเพื่อเอาสนุกก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่เลวเหมือนกัน”
“แบบนั้นท่านอัลก็จะไม่ได้อะไรเลยสิคะ”
“ข้าก็ได้มาแล้วไง ข้ามีเจ้าอยู่แล้ว ข้าไม่ต้องการอย่างอื่นหรอก”
เหตุผลที่ฉันไม่เพิ่มจำนวนคนที่แบ่งปันความลับของฉันก็เพราะฉันไม่ได้ต้องการ มันอาจจะช่วยให้ฉันเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นก็จริงแต่ความลับก็จะถูกเปิดเผยได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน
ฉันอาจจะเพิ่มจำนวนคนที่รู้เรื่องขึ้นถ้าสภาพจิตใจของฉันไม่เสถียรแต่ตอนนี้ฉันไม่ได้ต้องการเลย
ผู้แบ่งปันความลับของฉันโดยบังเอิญคนนี้ก็ดูค่อนข้างจะเข้าใจเหมือนกัน
“ข้าหน่ะ….ข้าอยากให้ท่านอัลเป็นที่ยอมรับมากกว่านี้….”
“ภายนอก ข้าก็แค่ทำงานที่ดูไม่สำคัญ คนที่ทำเรื่องเล็กน้อยนั้นก็มีแต่จะได้รับผลตอบแทนที่เล็กน้อย”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ….!”
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆก็จะกลับมาหาเราในที่สุด”
ฉันพูดออกมาเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม
มนุษย์สัตว์เสือตัวใหญ่จากเมื่อก่อนหน้านี้เข้าไปหาพวกนักเลง
“ไงพวก ดูเหมือนกำลังพูดเรื่องน่าสนใจอยู่นี่”
“เอ๋? ก..ก็นะ พวกเราไม่ได้…”
“มันก็จริงที่เจ้าชายช่วยอะไรไม่ค่อยได้แต่เขาก็ช่วยพวกเรา กลับกัน แล้วพวกเจ้าหล่ะ? พวกเจ้าทำอะไรบ้าง? คนที่ยกกล่องพวกนี้กับคนที่ไม่ได้ยก แม้แต่เด็กก็ยังรู้เลยว่าคนไหนดีกว่ากัน”
“ว ว่าไงนะ!? เจ้าอยากมีเรื่องรึไง!?”
“ทำไมไม่ตามข้ามาที่ร้านหล่ะ? นายหญิงที่ร้านของข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าพวกที่หัวเราะเพื่อนพ้องของเราจะไม่ได้รับการให้อภัย ข้าจะให้พวกเจ้าได้ทำงานเท่ากับที่พวกเจ้าหัวเราะเยาะเขาก่อนหน้านี้เลยหล่ะ”
“เห้ย!? ปล่อยข้าไปนะ!? แบบนี้มันเผด็จการชัดๆรู้รึเปล่า!?”
“มันก็ยังดีกว่าถูกโยนเข้าคุกของปราสาทจากการแสดงกิริยาที่ไม่เคารพถูกไหม”
“หัวเราะเยาะเจ้าชายไร้ค่าแล้วมันผิดตรงไหน บ้าชะมัด!?”
“ข้าไม่ได้บอกซักหน่อยว่าห้ามหัวเราะเยาะเขาแต่ถ้าเจ้าหัวเราะเขา ข้าก็จะให้เจ้าทำงานชดใช้มัน เจ้าไม่สามารถหัวเราะเยาะคนอื่นทั้ง ๆที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลยได้หรอกนะ”
ในตอนที่พูดจบ มนุษย์สัตว์ก็ลากตัวพวกนักเลงไป
ฉันรู้สึกผิดกับพวกเขา ตอนนี้พวกเขาน่าจะเจองานค่อนข้างหนักเลยหล่ะ แต่ก็เอาเถอะในเมื่อเป็นบริษัทอะจิน พวกเขาก็น่าจะจ่ายค่าจ้างให้ตามความเหมาะสมอยู่แล้ว
ถึงยังไงคนพวกนี้ก็ดูไม่น่าจะมีงานทำอยู่แล้ว
“เห็นไหมแม้แต่เรื่องเล็กๆก็คุ้มค่าใช่ไหมหล่ะ?”
“นั่นก็จริงค่ะแต่ว่า….ท่านไม่ควรถูกหัวเราะเยาะตั้งแต่แรกแล้วค่ะ….”
ฟีเน่เม้มปากอย่างไม่พอใจ มันหายากที่จะเห็นเธอเป็นแบบนี้ ไม่นึกเลยว่าเธอจะเก็บความไม่พอใจที่มีต่อพวกเขาเอาไว้มากถึงขนาดนี้
ในขณะที่กำลังยิ้มเจื่อนๆ ฉันก็ลุกขึ้น
“เอาหล่ะ กลับกันเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”
“เข้าใจแล้วค่ะ เอ่อ ท่านอัลคะ อันที่จริง ข้าได้ยินมาว่าท่านยูริยะเป็นเจ้าของร้านอาหารอร่อยที่นี่ด้วย….”
ฟีเน่พูดในตอนที่นึกถึงมันขึ้นมาได้
ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการในทันทีแต่เธอน่าจะไม่อยากพูดออกมาเพราะเห็นว่าฉันเหนื่อยแล้วสินะ
“ฟังดูน่าสนใจนี่ พวกเราไปกินข้าวเย็นที่นั่นกันดีไหม? แน่นอนว่าตราบใดที่เจ้าว่างหล่ะนะ”
“เอ๊ะ เอ่อ ได้ค่ะ! ยินดีค่ะ!”
เมื่อเห็นฟีเน่ตอบกลับอย่างมีความสุข ฉันก็ถอนหายใจอยู่ข้างใน พูดตามตรง ตอนนี้แขนของฉันค่อนข้างหนัก มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะเพลิดเพลินกับมื้ออาหารในสภาพนี้แต่มันก็คงจะช่วยไม่ได้หล่ะนะ
ในเมื่อผู้ชายอาสาพาผู้หญิงออกมา เขาก็จำเป็นต้องทำตัวให้ดูเท่จนกว่าจะถึงที่สุด
ด้วยการตัดสินใจนี้เอง ฉันก็ไปรับประทานอาหารเย็นกับฟีเน่