Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 44 พบเจ้าเมืองอนันต์
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 44 พบเจ้าเมืองอนันต์
ในสายตาของผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนหรือแม้กระทั่งเทพจักรวาลทั่วไปบางคน เจ้าเมืองอนันต์คือสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูซึ่งสุขุมที่สุด และนิสัยดีที่สุดในดินแดนจิตโลกาแล้ว!
แต่ในสายตาของขั้นสุดยอดทั่วไปและบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนอื่นๆ เจ้าเมืองอนันต์กลับมีนิสัยแปลกพิกลที่สุด
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเขามีนิสัยแปลกประหลาดยากทำนายเป็นที่สุด! แรงคุกคามก็จัดได้ว่าเป็นที่หนึ่งในบรรดาห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกา ความสามารถในการรักษาชีวิตก็เยี่ยมยอด การตรวจสอบและสะกดรอยก็เป็นที่หนึ่งในดินแดนจิตโลกา
“มีแขกมาเยือน”
เจ้าเมืองอนันต์ผู้มีผิวกายสีเขียวทั้งร่าง ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดของตำหนักที่สูงที่สุดในจวนท่านเจ้าเมือง รอบด้านมีกลุ่มเมฆรายล้อม เหนือศีรษะของเขามีเขาโค้งสีแดงโลหิตอยู่คู่หนึ่ง นัยน์ตาสุขุม ต่อให้เป็นผู้ที่อ่อนแอเช่นสัตว์โลกทั่วไปต่างก็มิอาจสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามของเจ้าเมืองอนันต์เลยแม้แต่น้อย เขาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจิตโลกา ไม่มีกลิ่นอายอันใด ดูธรรมดาสามัญเป็นที่สุด
หากซ่อนเร้นร่องรอย ก็เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถหาเขาได้พบ
เจ้าเมืองอนันต์มองไปเบื้องหน้า
ตรงหน้ามีระลอกก่อตัวขึ้น ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น เหยียบย่างอากาศเข้ามา
“จ้าวหิมะเหินมายังเมืองอนันต์ของข้า ช่างหาได้ยากนัก” เจ้าเมืองอนันต์พูดยิ้มๆ
“ข้ามาเยี่ยมเยียนโดยไม่ดูกาลเทศะ ขอท่านเจ้าเมืองอย่าได้ถือสาเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าม
“ชะตาชีวิตท่ามกลางความมืดมิดถูกกำหนดไว้ตั้งนานแล้ว ท่านมาที่นี่ ย่อมมิอาจนับได้ว่าไม่ดูกาลเทศะหรอก” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว จากนั้นมือสีเขียวก็ชี้ไปทางด้านหนึ่ง “จ้าวท่านเชิญนั่ง”
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกัน
มีโต๊ะหินและม้าหินหน้าตาธรรมดาสามัญตั้งอยู่ พวกเขานั่งลงตรงข้ามกัน
เจ้าเมืองอนันต์รินสุราให้ตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง สุรานั้นเป็นสุราทั่วๆ ไป
“ได้ยินมาว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณของจ้าวท่านแข็งแกร่งเสียจนทำให้ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิในหุบเขาเขี้ยวหักจมดิ่งไปกันหมด” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “แม้ข้าและผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ จะบรรลุถึงขั้นสุดยอด ภายใต้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของพวกท่าน เกรงว่าพลังก็คงต้องลดลงเป็นอันมาก ขอบังอาจถามจ้าวท่านว่า วิถีวิญญาณของท่านบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วหรือ”
“ยังหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่เคราะห์ดีสบโอกาสเข้า จึงได้รับรู้กระบวนท่าบางอย่างขึ้นมาน่ะ”
เจ้าเมืองอนันต์เอ่ยว่า “โลกกำเนิดกว้างใหญ่ไพศาล ทุกสิ่งหมุนเวียนไปภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่ง มีต้นไม้ใบหญ้าเติบโต มีมดและแมลงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป มีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาถือกำเนิด แต่กระนั้น ‘วิญญาณ’ กลับพิเศษที่สุด เป็นถึงแก่นแท้ของชีวิต และถึงขั้นเป็นแก่นแท้ของโลกกำเนิดเลยทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วย
‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ซึ่งได้จากการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อบูชาโลหิต ให้ผลที่ดีกว่าศิลาปฐมโลกา
และหากสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนับถือและสวามิภักดิ์ต่อใครสักคน ปณิธานของชีวิตทั้งหลายก็จะส่งผลกระทบต่อปณิธานโลกกำเนิด โลกกำเนิดก็จะสวามิภักดิ์ต่อคนผู้นั้น จนกลายเป็นประมุขโลกกำเนิดได้!
วิญญาณ…พิเศษที่สุดในโลกกำเนิดแห่งหนึ่งอย่างแท้จริง และเป็นแก่นแท้ของชีวิตหนึ่งๆ อย่างแท้จริงด้วย ทางสายนี้จึงได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดยากเย็นเช่นนี้!
“ข้ามองดูสรรพสิ่งในโลกกำเนิดหมุนเวียนไป แต่กลับมิอาจมองวิญญาณให้ทะลุปรุโปร่งได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว
“ข้าก็ยังห่างจากการมองให้ทะลุปรุโปร่งอยู่ไม่น้อย” ปากของตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับลอบร่ำร้องว่า เมื่อมาถึง เจ้าเมืองอนันต์ผู้นี้ก็เอาแต่พูดเรื่องวิญญาณ พูดเรื่องการหมุนเวียนของโลก พูดเรื่องสรรพชีวิตในโลกกำเนิดกับตน ตนก็เอ่ยปากเปิดเรื่องที่ตนต้องการเสียเลยก็แล้วกัน เขาจึงพูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าเมือง ที่ข้ามายังเมืองอนันต์ เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนท่านเจ้าเมืองน่ะขอรับ”
“เชิญพูดมาเถิด” เจ้าเมืองอนันต์ยังคงสงบนิ่ง
“บัดนี้ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งอย่างแท้จริงไปแล้ว หากไม่ขัดขวางเขา เกรงว่าหายนะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“เหตุใดจ้าวท่านจึงพูดเช่นนี้เล่า” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “ราชันย์อนธการบรรลุถึงระดับขั้นเช่นนี้แล้ว จู่ๆ จะบ้าคลั่งได้อย่างไรกัน”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เขาเคยมาหาข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเล่าอย่างละเอียด
เขาพูดถึงภัยคุกคามทั้งหมดของราชันย์อนธการอมตะ
“ข้อเรียกร้องของเขาสูงเกินไปแล้ว ข้าทำไม่ได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “หลังจากการเจรจาล้มเหลว เขาก็เริ่มต้นเก็บเกี่ยววิญญาณอย่างบ้าคลั่งทันที ข้าเคยตรวจสอบดู เหมือนเขาจะกำลังทำการทดลองบางอย่างเกี่ยวกับวิญญาณอยู่”
เจ้าเมืองอนันต์พยักหน้าน้อยๆ “ตอนนั้นราชันย์อนธการเหยียบย่างบนเส้นทางปะทะกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วล้มเหลว หลังจากกลับมาก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการหลอมแปรผู้ท่องมรณะ หมายจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก แต่แล้วก็ถูกท่านทำลายเรื่องของเขาลงไปอีก บัดนี้เมื่อท่านอยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก แค่ร้องคำเดียวก็มีคนนับร้อยขานรับ เขารู้สึกว่าความหวังที่จะได้เข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษในภายภาคหน้าริบหรี่มากแล้ว จึงย่อมเริ่มลงมือขั้นสุดท้าย นี่คือนิสัยของราชันย์อนธการ”
“เกรงว่าการลงมือขั้นสุดท้าของเขาคงจะทำให้สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์ต้องสิ้นใจไปอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “จะมองดูสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ข้าทำมิได้หรอก ดังนั้นจึงได้เตรียมจะกำจัดราชันย์อนธการอมตะอยู่”
“กำจัดราชันย์อนธการหรือ” นัยน์ตาของเจ้าเมืองอนันต์ฉายแววสนใจใคร่รู้ออกมา
“ข้าจะเรียกตัวประมุขโลกของชนพื้นเมืองหุบเขาเขี้ยวหักกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันเป็นค่ายกลรบแล้วล้อมสังหารเขา” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่ในฐานะที่เป็นขั้นสุดยอด เมื่อหลบหนีและเก็บงำกลิ่นอาย ก็ยากที่จะสะกดรอยได้ สิ่งที่ข้าล่วงรู้ก็คือ บัดนี้คนเพียงผู้เดียวในดินแดนจิตโลกาที่สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ก็คือท่านเจ้าเมืองเท่านั้น ดังนั้นขอท่านเจ้าเมืองโปรดช่วยเหลือด้วยเถิด”
“ข้าสะกดรอยได้จริงๆ นั่นแหละ บัดนี้ หากระดับขั้นอย่างจักรพรรดิเซี่ยก็ยังมิอาจตามรอยได้ เกรงว่าก็คงจะมีข้าเพียงคนเดียวแล้ว” เจ้าเมืองอนันต์ยอมรับ
“ขอท่านเจ้าเมืองโปรดช่วยเหลือด้วยเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ท่านเจ้าเมืองต้องการสิ่งใด เชิญพูดมาได้เต็มที่ ต่อให้เป็นสมบัติลับอันสูงส่งสักชิ้น ขอเพียงท่านเจ้าเมืองรับปากว่าจะช่วยเหลือ ข้าก็จะมอบให้ท่านเจ้าเมืองทั้งหมด”
“ไม่เสียทีที่บัดนี้จ่าวท่านเป็นผู้แกร่งกล้าที่มั่งคั่งที่สุดในดินแดนจิตโลกา ได้ยินแล้วจิตใจข้าก็หวั่นไหวเลยทีเดียว” เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้าพลางพูดอย่างจนใจว่า “น่าเสียดายที่ข้าไร้หนทางช่วยเหลือท่าน”
“ไร้หนทางหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนใจขึ้นมา “ไยจึงไร้หนทางเล่า ท่านเจ้าเมืองแค่ต้องสืบตำแหน่งพิกัดที่ราชันย์อนธการอมตะอยู่เท่านั้นเอง ไม่ว่าราชันย์อนธการจะอยู่ที่ใดเขาก็สามารถหาพบได้ ส่วนเรื่องการล้อมโจมตี ข้าจะเชิญประมุขโลกทั้งหลายมาร่วมมือกันล้อมโจมตีเอง ท่านเจ้าเมืองไม่จำเป็นต้องกังวลไปเลย”
เจ้าเมืองอนันต์กล่าวว่า “เชิญจ้าวท่านกลับไปเถิด”
“ท่านเจ้าเมืองก็คงใส่ใจสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างร้อนรน “โอกาสและสมบัติล้ำค่าต่างๆ ข้าล้วนสามารถช่วยเหลือท่านเจ้าเมืองได้”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก” เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้า
“ไยท่านเจ้าเมืองจึงไม่ยอมลงมือเล่า หรือผูกสัมพันธ์อันดียิ่งกับราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นเอาไว้กันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามด้วยความร้อนรน เขามิอาจไม่รีบร้อนได้ บัดนี้ เจ้าเมืองอนันต์ตรงหน้าผู้นี้เป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถตามรอยราชันย์อนธการอมตะได้
เจ้าเมืองอนันต์หัวเราะเบาๆ “ผูกสัมพันธ์รึ ข้าจะไปมีความสัมพันธ์ล้ำลึกกับเขาได้อย่างไรกัน ถ้าเขาตายไป เกรงว่าข้าก็คงจะดื่มสุราสักหลายจอกเพราะอารมณ์ดียิ่งเสียอีก”
“เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เข้าใจ
มิได้ผูกสัมพันธ์
ตนเสนอผลประโยชน์มากมายเพื่อให้เขาช่วยเหลือ เหตุใดเจ้าเมืองอนันต์จึงไม่ยอมรับปากกันเล่า
“ข้าสามารถสะกดรอยเขาได้จริงๆ ไม่เพียงแต่สามารถสะกดรอยเขาได้เท่านั้น แต่ขั้นสุดยอดคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ข้าก็สามารถสะกดรอยได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “แต่ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า ข้าไล่สังหารขั้นสุดยอดน่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก
ใช่แล้ว
เนื่องจากเขาเพิ่งได้ข่าวจากจักรพรรดิเซี่ยว่าเจ้าเมืองอนันต์สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ดังนั้นเขาจึงรีบมาเชื้อเชิญทันที แต่กลับลืมไปว่า สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ก็ต้องสามารถสะกดรอยขั้นสุดยอดคนอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน
แต่เหตุใดมารร้ายตัวฉกาจทั้งหลายอย่างประมุขเกาะจันปาจึงยังคงลอยชายเหิมเกริมอยู่ได้เล่า
“เนื่องจากไม่สามารถสังหารได้”
เจ้าเมืองอนันต์กล่าว
“ไม่สามารถสังหารได้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก
“พวกเราสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของโลก” เจ้าเมืองอนันต์ยิ้มน้อยๆ “ตั้งแต่มดปลวกที่ต่ำต้อยที่สุดไปจนถึงเทพจักรวาล ก็ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของโลกกำเนิดทั้งสิ้น เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงกฎเกณฑ์อันสูงส่ง ภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่ง ทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนไป สิ่งมีชีวิตวิวัฒน์ไป บำเพ็ญ รัก โลภ โกรธ หลง…ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการหมุนเวียนรูปแบบหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง เช่นวันนี้ท่านมาหาข้า ก็เป็นการปรากฏของการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์อันสูงส่งเช่นกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“สมบัติล้ำค่าและโอกาส ข้าก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าใดนัก” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “สมบัติลับอันสูงส่ง ข้าก็ไม่สนใจ ข้าสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดตั้งนานแล้ว และรับรู้กฎเกณฑ์อันสูงส่งอยู่ตลอดเวลาด้วย”
“วิญญาณของข้าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกกำเนิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงจะสามารถสัมผัสรับรู้การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์อันสูงส่งได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
“กฎเกณฑ์อันสูงส่งพิสดารไม่เป็นสองรองใคร”
“กฎเกณฑ์หมุนเวียนไป ก็ย่อมมีระเบียบอยู่ ข้าเป็นผู้สอดส่องระเบียบกฎเกณฑ์นี้” เจ้าเมืองอนันต์มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ข้าไม่ยอมให้ระเบียบถูกทำลายหรอก ขั้นสุดยอดไม่ว่าหน้าไหนก็ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอันยิ่งใหญ่ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกกำเนิดแห่งนี้ ทั้งแข็งแกร่งและทำให้คนใจสะท้านเป็นที่สุด การสอดส่องพวกเขาทำให้ข้าปีติยินดีจนล้นใจ หากข้าลงมือสังหารพวกเขา ก็จะทำให้ระเบียบได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง สิ่งที่ข้าไม่ชอบที่สุดก็คือการทำลายระเบียบ”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวข้าเอง ลำพังแค่ลงมือห้ำหั่นก็แล้วไปเถิด หากสังหารขั้นสุดยอดคนหนึ่งเข้าจริงๆ แล้ว ก็จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงอย่างยิ่งต่อการหมุนเวียนของระเบียบกฎเกณฑ์ หากข้าถลำลึกลงไป ตัวเองถูกเหตุปัจจัยผูกพันอยู่ในนั้น การสอดส่องดูระเบียบของข้าก็จะทวีความยากขึ้นไปอีกมาก”
“ราชันย์อนธการอมตะเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ หากจ้าวหิมะเหินจะเรียกประมุขโลกกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันได้ แล้วข้าก็ช่วยท่านสังหารเขาอีก”
“ผลกระทบก็จะยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็จะถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ระเบียบกฎเกณฑ์ที่ข้าสอดส่องอยู่ก็จะยากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า”
“ดังนั้น จ้าวท่านโปรดเข้าใจด้วยว่าข้ามิอาจช่วยเหลือท่านได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว
…………………………………..