Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 55 วันสุดท้ายของราชันย์อนธการอมตะ
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 55 วันสุดท้ายของราชันย์อนธการอมตะ
เขายืนอยู่กลางห้องเงียบของตนพลางกุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ ปลดปล่อยบริเวณอากาศออกมา
บริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลพลันปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เพียงแต่หลบเลี่ยงบริเวณบางแห่งไป แล้วเขาก็พบราชันย์อนธการอมตะในทันที ที่แห่งนั้นคือราชวังใหญ่มหึมาอันรกร้างซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ภายในวังมีโถงตำหนักมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ทดลองของราชันย์อนธการอมตะ วิญญาณจำนวนมากกำลังเผชิญกับการทดลอง
มีเสาศิลาสิบสองต้น บนเสาแต่ละต้นมีวิญญาณอาฆาตอันแข็งแกร่งอยู่ อานุภาพของวิญญาณอาฆาตทั้งสิบสองแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ยังมีวิญญาณพิเศษอีกด้วย บางตนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกแปลกพิกล
“ที่แท้แล้วการทดลองเหล่านี้ต้องใช้วิญญาณมากเท่าไหร่กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจนดวงตาแดงก่ำไปหมด แม้ผู้ที่ต้องสิ้นชีวิตไปด้วยเหตุนี้จะน้อยกว่าจำนวนมหาศาลอย่างสิบห้ารัฐมากมายนัก แต่กลับสู้จำนวนประชากรในรัฐชั้นสามทั่วไปแห่งหนึ่งได้แล้ว “เจ้าบ้า หากต้องเดินไปบนเส้นทางการบำเพ็ญอันชั่วร้ายเช่นนี้ ก็ควรจะสังหารไปเสีย”
แคว่ก…
รอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกมาก่อนจะหายวับไปทันที
การส่งถ่ายทลายโลกา!
******
ภายในวังอันสูงตระหง่าน
ราชันย์อนธการอมตะยังคงทำการทดลองต่างๆ ต่อไปอย่างอดทน เขาถึงขั้นยังไม่เริ่มทดลองกับซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้น ในสายตาของเขา ยังเร็วเกินไปมาก! เมื่อการทดลองก่อนหน้าแน่นอนแล้ว ก็ต้องมีความมั่นใจอย่างน้อยเก้าส่วนจึงจะสามารถทำการทดลองกับซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ นอกจากนี้ ครั้งก่อนที่พูดจาตัดรอนกับตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่หมื่นปีเท่านั้นเอง
“การทดลองราบรื่นมาก”
“ตอนนั้นข้าสามารถหลอมผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้ บัดนี้มีของไม่พอ มิอาจทำการบูชาขนาดใหญ่ได้อีกแล้ว แต่การจะหลอมผู้ท่องมรณะที่ไม่สมบูรณ์ขึ้นมาก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เดิมทีข้าวางแผนว่าจะทำให้สำเร็จให้ได้ภายในล้านล้านปี แต่เมื่อดูจากการทดลองในตอนนี้แล้ว เกรงว่าไม่ต้องรอให้ถึงล้านล้านปีหรอก! สักแสนล้านปีก็คงจะเพียงพอแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะอารมณ์ดีมาก
“หากฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ เฮอะๆ อิงซานเสวี่ยอิง ถึงตอนนั้นข้าจะไปทำลายเมืองหิมะเหินของเจ้าก่อนเลย เจ้ามิได้อพยพตระกูลอิงซานเข้าไปหมดแล้วหรือไร ถึงตอนนั้นทั้งตระกูลอิงซานดับสลายไปจนสิ้น จึงจะสามารถดับความแค้นภายในใจของข้าลงไปได้” ราชันย์อนธการอมตะตั้งตารอคอย
ผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์นั้นมีกายกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ซึ่งสามารถเทียบกับยอดเคารพได้
ส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้น ในสายตาของราชันย์อนธการอมตะก็สามารถเทียบกับระดับจักรพรรดิได้!
ทำลายเมืองหิมะเหินน่ะหรือ ง่ายดายนัก!
“เฮอะๆ รอดูไปเถิด ใครหน้าไหนจะมาช่วยเจ้าได้”
“นอกเสียจากเจ้าจะสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ก่อนที่ข้าจะหลอมสำเร็จน่ะ” ราชันย์อนธการอมตะไม่เชื่อเลยสักนิด
แคว่ก!
ทันใดนั้นกลางอากาศเหนือโถงตำหนักอันสูตระหง่านก็มีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น ซึ่งก็คือจ้าวหิมะเหินผู้ไร้เทียมทานนั่นเอง เขากุมหอกยาวดำทะมึนเอาไว้ในมือ พลางมองดูราชันย์อนธการอมตะด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งแล้วแค่นเสียงเฮอะพูดว่า “ราชันย์อนธการ คราวตายของเจ้ามาถึงแล้ว!”
“อิงซานเสวี่ยอิงรึ” ราชันย์อนธการอมตะตกตะลึง ยามนี้กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งใหญ่และเฉียบคม ทว่ากลิ่นอายก็อาจจะปลอมแปลงกันได้ แต่อาวุธเทพคละถิ่นในมือเล่มนั้นกลับทำให้ราชันย์อนธการอมตะเข้าใจว่า จ้าวหิมะเหินอาจจะมาเสี่ยงอันตราย แต่ก็คงไม่นำอาวุธเทพคละถิ่นเล่มหนึ่งมาเสี่ยงด้วย สูญเสียร่างแยกไปก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต้หากไม่มีอาวุธเทพคละถิ่น ก็เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว
กล้านำอาวุธเทพคละถิ่นมาด้วย เห็นได้ชัดว่ามั่นใจพอตัวทีเดียว สถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดได้ปรากฏขึ้นแล้ว!
“เจ้า เจ้าสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” เสียงของราชันย์อนธการอมตะแหบแห้งอยู่บ้าง
“แฮ่…”
“อ๊าก!”
วิญญาณอาฆาตบนเสาศิลาทั้งสิบสองต้นในโถงตำหนักพบคนจากภายนอกเข้า หลายตนแผดเสียงคำรามบาดหูออกมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิญญาณอาฆาตส่วนใหญ่บ้าคลั่งและดุดัน ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเพียงความรู้สึกสงสารวิญญาณอาฆาตเหล่านี้เท่านั้น “วางใจเถิด อีกไม่นานข้าจะแก้แค้นให้พวกเจ้าเอง”
“ข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว ทำไมรึ ผิดคาดมากเลยล่ะสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองราชันย์อนธการอมตะ
“ผิดคาด ผิดคาดมาก”
ราชันย์อนธการอมตะเข้าใจ
เขาพบวิกฤตใหญ่หลวงที่สุดเข้าเสียแล้ว! บนเส้นทางฟันฝ่าเพื่อสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้น เขาพบวิกฤตใหญ่อยู่หลายครั้ง แต่ตอนนั้นผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ เขาเป็นเพียงแค่หนึ่งในจำนวนนั้น เขาสามารถเล็ดรอดจากความตายมาได้หลายครั้ง
แต่ในดินแดนจิตโลกา ยามนี้ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเขาได้
“ข้าพอจะเดาได้ว่ามีโอกาสมากที่เจ้าจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้” ราชันย์อนธการอมตะยืดกายขึ้น
“เจ้าคงคาดไม่ถึงว่าคราวตายของเจ้าจะมาถึงรวดเร็วถึงเพียงนี้มากกว่ากระมัง! พูดจาไร้สาระให้น้อยหน่อย รับกระบวนท่าเสียเถอะ!” ประกายคมกล้าในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบ ตู้ม เขตลวงโลกเทียมร่อนลงมาทันที เป็นท่าไม้ตายเพียงหนึ่งเดียวของวิถีเขตลวงโลกเทียมที่เขารับรู้ในตอนนี้…ความสว่างไสวของโลกลวง! โลกอันสว่างไสวชวนให้คนลุ่มหลง ทำเอาราชันย์อนธการอมตะที่เพิ่งจะสัมผัสเข้าไปต้องเผชิญกับแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งทันที
“ไม่ดีแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง
หากพูดถึงปณิธานวิญญาณแล้ว
เขตลวงโลกเทียมส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาไม่แตกต่างจากที่ส่งผลกระทบต่อยอดเคารพมากนัก
แต่ว่าห้ายอดเคารพแห่งหุบเขาเขี้ยวหักล้วนแต่มีสายเลือดอันแข็งแกร่ง เดิมทีพวกเขาก็ไม่ให้ความสำคัญกับความพิสดารของระดับขั้นอยู่แล้ว ต่อให้จิตใจอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง ก็ยังคงสามารถปะทุพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งออกมาได้อยู่ดี! แต่ว่าผู้บำเพ็ญนั้นไม่เหมือนกัน กระบวนท่าที่เหล่าผู้บำเพ็ญสำแดงออกมาล้วนแต่พิสดารเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพลังจิตได้รับความเสียหาย พลังก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดยิ่งนัก
“มันส่งผลกระทบต่อพลังของข้ามากกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก” ราชันย์อนธการอมตะรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว
“ตู้ม!”
หอกชิงเหอในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงออกไปทันที
การแทงครั้งนี้
ฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดรอบด้านพลันถล่มทลายลงทันที มันกดดันและพันธนาการราชันย์อนธการอมตะเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง แต่ดวงใจที่ราวกับโลหะภายในร่างของราชันย์อนธการอมตะกลับแผดเผาโลหิตสีทองสองหยดต่อเนื่องกัน พละกำลังสีทองอันพิสดารทะลักเข้าไปในฝ่ามือทั้งคู่ทันที เขารับการแทงครั้งนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย การแทงครั้งนี้ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ แต่อันที่จริงแล้วเพิ่งจะแทงออกไป ก็แทงลงบนฝ่ามือสีทองข้างหนึ่งเข้าอย่างจังเสียแล้ว
ปัง…
ราชันย์อนธการอมตะกระเด็นลอยไปทันที กระแทกเข้ากับโถงตำหนักด้านหลังจนแหลกละเอียด และเกิดเป็นลำธารยาวราวหมื่นลี้ขึ้นมา ราชันย์อนธการอมตะลอยจากใต้ดินขึ้นมาถึงเหนือผิวดินทันที
“กระบวนท่าดาวตก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็ออกจากใต้ดินมายังกลางท้องฟ้า หอกยาวในมือฟันออกไปอย่างดุเดือดอีกครั้ง
ตู้ม!
ฟ้าดินสั่นคลอน
แสงสีเทามืดมนอันสับสนอลหม่านจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมหอกยาวเอาไว้ แล้วพลิกหมุนรวมตัวกัน ตรงปลายหอกกลายเป็นดวงดาราดำมืดดวงหนึ่ง หอกยาวฟันออกไปอย่างดุเดือด ดวงดาราดำมืดวาดข้ามท้องฟ้าไป แล้วพุ่งตรงไปทางราชันย์อนธการอมตะผู้นั้น กระบวนท่านี้รวดเร็วเกินไปแล้ว ราชันย์อนธการอมตะแค่รู้สึกมึนงง ดวงดาราดำมืดก็กลิ้งหลุนๆ มาถึงตรงหน้า เขาทำได้เพียงใช้สองมือสกัดกั้นอย่างรีบร้อนเท่านั้น จากนั้นก็รู้สึกว่าฝ่ามือเจ็บปวดแสนสาหัส กร๊อบๆๆ กระดูกฝ่ามือแตกหักจนหมด หอกยาวได้ทีปะทะเข้ากับร่างของราชันย์อนธการอมตะอีกครั้ง
ทำเอาราชันย์อนธการอมตะกระเด็นลอยถอยหลังข้ามขอบฟ้าไป โลหิตสดๆ พุ่งทะลักออกมาจากปาก
“แตกต่างกันมากถึงเพียงนี้เชียว!” ราชันย์อนธการอมตะสกัดกั้นซึ่งหน้าสองครั้งต่อเนื่องกัน ก็เพราะคิดจะอาศัยมันในการหยั่งรู้ความแตกต่างระหว่างกัน เขาคาดว่าเขามีพลังเพียงราวสามสี่ส่วนของจ้าวหิมะเหินในตอนนี้เท่านั้น!
“เขตลวงโลกเทียมของเขาส่งผลกระทบต่อพลังของข้าเป็นอันมาก ทำให้พลังของข้าสามารถสำแดงออกมาได้เพียงห้าส่วนเท่านั้น เมื่อคำนวณดูเช่นนี้แล้ว ต่อให้ข้าทุ่มเทพลังทั้งหมดมิให้ถูกรบกวนแม้สักนิด ก็ยังอ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อยอยู่ดีอย่างนั้นหรือ”
พลังที่เขาสู้อย่างสุดชีวิต ก็แค่ราวเจ็ดส่วนของตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น!
แม้พอจะเดาได้ตั้งนานแล้ว
ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุเมื่อใด ก็เกรงว่าคงจะเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแน่นอน! แต่ความเป็นจริงกลับทำให้ราชันย์อนธการอมตะหัวใจเย็นวาบ “ครั้งนี้อันตรายแล้วจริงๆ”
เขาถึงขั้นได้กลิ่นของความตายแล้ว
……
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเพิ่งประมือกัน แต่ความเคลื่อนไหวของตงป๋อเสวี่ยอิงที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วสำแดงอาวุธเทพคละถิ่นออกมาอย่างสุดกำลัง พลังรบก็ปะทุออกมาถึงขีดสุด! ส่วนอีกฝ่าย พลังของราชันย์อนธการอมตะก็ไม่ธรรมดาเลย
ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน อานุภาพดุดันเพียงใด แม้แต่วังที่ราชันย์อนธการอมตะตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีก็ยังถูกกระแทกจนทะลุไปในชั่วพริบตา!
ระลอกคลื่นของการต่อกรกันนั้น…
ทำให้เทพจักรวาลทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน
“นี่มันเรื่องอันใดกัน”
“ระลอกคลื่นน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
แต่ละคนสัมผัสอยู่ห่างๆ บางคนถึงขั้นส่องดูผ่านกระจกยลฟ้า บางคนอาศัยพลังของตนเฝ้าดูอยู่ไกลๆ จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง จอมกระบี่ เจ้าเมืองอนันต์ ประมุขรัฐเสียดฟ้าและคนอื่นๆ ต่างก็ดูอยู่ห่างๆ เดิมทีในใจของพวกเขายังสงสัยอยู่ แต่เมื่อ ‘ได้เห็น’ ต้นกำเนิดของระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่น พวกเขาก็พากันตะลึงงันไป
พวกเขา ‘มองเห็น’ เงาร่างอันน่าหวาดหวั่นซึ่งมีกลิ่นอายสูงเทียมฟ้าสองสายปะทะกัน คนหนึ่งคือจ้าวหิมะเหิน ส่วนอีกคนคือราชันย์อนธการอมตะที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว ราชันย์อนธการอมตะได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด
………………………………………