Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 7 เหนือความคาดหมาย? ประหลาดใจ?
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 7 เหนือความคาดหมาย? ประหลาดใจ?
สัตว์ปีกที่หลงเหลืออยู่เพียงสามตัวซึ่งบินล้อมรอบขนนกสีแดงเพลิงอยู่ ยามนี้สัตว์ปีกทั้งสามตัวกลับหยุดลงแล้วพากันจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง สัตว์ปีกตัวสีเขียวที่มีร่างกายใหญ่โตที่สุดในจำนวนนั้นยังเปล่งเสียงร้องบาดหูออกมาอีกด้วย
“วี๊ดดดด…”
ระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นรูปพัด มันแผ่กำจายมาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็กวาดผ่านพื้นที่ราวสองสามส่วนของเศษเสี้ยวโลกนี้ไปแล้ว จึงย่อมแผ่รัศมีมาถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นธรรมดา
ต่อให้แสงสีดำคุ้มกายตัดขาดการรุกโจมตีของระลอกคลื่นไป แต่ลำพังแค่ได้ยินเสียง ก็รู้สึกทนรับได้ยากแล้ว
“สวบ” “สวบ” สัตว์ปีกอีกสองตนกลับกลายเป็นลำแสงทะยานเข้ามาสังหาร สัตว์ปีกสีเขียวขนาดมโหฬารตนนั้น กลับหยุดลงข้างขนนกสีแดงเพลิงเพื่อปกป้องมัน
“ปังๆ”
การบินเหินของสัตว์ปีกสองตนนี้รวดเร็วเสียจนน่าประหลาด เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหลีกไม่ทัน จึงถูกตะปบเข้าที่ร่างเต็มแรงจนกระเด็นลอยไปไกลลิบ ขณะเดียวกับที่กระเด็นไปนั้น ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แยกออกเป็นนับพันนับหมื่นร่างทันที แล้วเริ่มสำแดงกระบวนท่าวิถีอากาศเพื่อล่อหลอกให้คู่ต่อสู้งุนงง
สวบๆ สัตว์ปีกสองตนนี้ทะยานเข้ามาโจมตีต่อ แต่กลับกวาดผ่านเงาร่างทุกร่างไปโดยไม่เหลือไว้แม้แต่ร่างเดียว
แม้พวกมันจะรวดเร็วมาก แต่เมื่อกวาดผ่านร่างนับพันนับหมื่นร่างไป ก็มีเวลาเพียงพอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหนีและสำแดงกระบวนท่าทำให้ศัตรูงุนงงออกมาอีก
“เห็นๆ กันอยู่ว่ากระบวนท่าแข็งแกร่งเสียจนน่าหวาดหวั่น แต่เหมือนจะทึ่มทื่อมากอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด
บรรดาคู่ต่อสู้ภายในเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำก่อนหน้านี้ ก็ทึ่มทื่อมากเช่นเดียวกัน
หากตนไม่ไป พวกเขาก็เหมือนกับรูปสลักอย่างไรอย่างนั้น
การโจมตีของพวกเขาก็เป็นกระบวนท่าเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ขนนกสีแดงเพลิง นั้นอย่างรวดเร็ว
สัตว์ปีก สองตัวนั้นเหมือนจะตื่นตกใจขึ้นมาในทันใด พวกมันกะพริบวาบคราหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอยู่ข้างขนนกสีแดงเพลิง แล้วร่วมมือกับสัตว์ปีกสีเขียวขนาดมโหฬารตนนั้นล้อมรอบขนนกสีแดงเพลิงเอาไว้เพื่อสกัดกั้นข้าศึกทั้งหมดนี้
“ปังๆๆ…”
ทั้งสองฝ่ายประมือกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยแสงสีดำอันร้ายกาจพยายามเข้าไปช่วงชิงขนนกสีแดงเพลิงนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ภายใต้การโอบล้อมของสัตว์ปีกสามตนนั้น เพียงแค่เคลื่อนไหวในวงแคบๆ แม้กระบวนท่าจะทึ่มทื่อ แต่กลับทำลายกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างต่อเนื่อง
“พยายามล่อลวงพวกมันให้แยกจากกันให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเสียดายพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษที่ต้องเสียไปในทุกครั้งที่ปะทะกันครั้งหนึ่ง บ้างก็แบ่งเงาร่างออกมามากมาย บ้างก็เคลื่อนย้ายอากาศ หรือแม้กระทั่งสำแดงท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมออกมาพร้อมกัน เขาดิ้นรนอยู่หลายร้อยครั้ง เมื่อแขนขยายออกไป จึงสามารถคว้าขนนกสีแดงเพลิงนั้นเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดยิ่งนัก
ชั่วขณะที่คว้าขนนกอันนั้นเอาไว้ได้นั่นเอง โลกที่บกพร่องนี้กลับบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด ราวกับมีก้อนหินขว้างลงไปจนผิวทะเลสาบอันเงียบสงบสะเทือนขึ้นมา
โลกที่บกพร่องสลายไปอย่างเงียบเชียบทันทีตามแรงสั่นสะเทือน
หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันใด ราวกับภาพฝันฉากหนึ่ง!
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศ มือคว้าขนนสีแดงเพลิงเอาไว้ พลางมองดูเศษเสี้ยวโลกอีกหกแห่งที่ลอยคว้างอยู่
“เศษเสี้ยวโลกสลายไปเช่นนี้เองน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ “ที่แท้แล้วสัตว์ปีกเหล่านั้นคืออะไรกัน เป็นภาพลวงตาหรือ ไม่ถูกต้องสิ เห็นๆ อยู่ว่าสามารถทำร้ายข้าได้”
ตู้มมมม…
ขณะที่ครุ่นคิดนั้น ภายในกลุ่มแสงมิตินี้กลับมีพละกำลังอันไร้รูปร่างผลักไสร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงออกไปทันที
“เอ๊ะ” ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นคลอนคราหนึ่งก่อนจะยืนได้มั่นคงบนทางเดินเส้นเลือด
“ฮ่าฮ่าฮ่า ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว จ้าวหิมะเหิน เร็วๆๆ รีบมาหาข้าเร็ว” ณ จุดเชื่อมต่อทางเดินเส้นเลือดไกลออกไป ยอดเคารพเฮ่ากู่มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนนกสีแดงเพลิงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงถืออยู่ในมือก้านนั้น ทำให้เขาดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้นหาใดเปรียบ เขาโห่ร้องขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินแล้วก็บินมาทางยอดเคารพเฮ่ากู่ทันที
“ยอดเคารพ ที่แท้แล้วกลุ่มแสงมิตินี่มันเรื่องอันใดกัน ไยจึงพิสดารถึงเพียงนี้ได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงงเหลือแสน ขณะเดียวกันก็ก้มลงมองขนนกสีแดงเพลิงในมือ อุณหภูมิของขนนกสีแดงเพลิงนี้น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง เคราะห์ดีที่ผิวกายของเขามีแสงสีดำปกป้องอยู่ทั้งสิ้น
“รีบให้ข้าเร็วเข้า” ยอดเคารพเฮ่ากู่เร่งเร้า
“นี่ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งไปให้
ยอดเคารพเฮ่ากู่รับมา แต่กลับควบคุมพละกำลังของแสงสีดำให้คุ้มกายเอาไว้ด้วยความระมัดระวังเขายื่นมือขวาอันเปล่าเปลือยออกมา เขาจับขนนกสีแดงเพลิงนั้นไว้เบาๆ โดยไม่มีการป้องกันใดๆ
ฟึ่บๆๆ…
แม้อุณหภูมิของขนนกสีแดงเพลิงจะสูงยิ่งนัก จนมือขวาของยอดเคารพเฮ่ากู่แดงซ่านไปหมด มีเปลวเพลิงรายล้อม แต่มือขวากลับมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
“ดี ดีมาก นี่คือพละกำลังที่สูงส่งเพียงใด” ยอดเคารพเฮ่ากู่ตื่นเต้นเหลือประมาณ “พละกำลังแห่งไฟ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ข้างหนึ่ง
สิ่งที่เขาฝึกมิใช่วิถีเปลวเพลิง กลิ่นอายของ ‘กริชสีดำ’ และ ‘ขนนกสีแดงเพลิง’ ภายในกลุ่มแสงมิตินั้นแปลกพิสดารเกินคาดเดา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล่วงรู้ว่า คงจะเกี่ยวข้องกับวิถีเปลวเพลิง เห็นได้ชัดว่ายอดเคารพเฮ่ากู่ตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก
ยอดเคารพเฮ่ากู่พลิกมือคราหนึ่งแล้วนำขนนกสีแดงเพลิงไปไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็ยิ้มมองตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวหิมะเหิน ครั้งนี้ติดค้างเจ้ามากทีเดียว หากเป็นข้า คงเข้าไปไม่ได้แน่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้มันมาจนได้”
“ที่แท้แล้วภายในกลุ่มแสงมิติคือสถานการณ์อันใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามไถ่ “เหตุใดจึงแปลกประหลาดเช่นนั้นได้ ข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทั้งหลาย พอทำลายแล้วก็เกิดใหม่ขึ้นมาอีก เหมือนจะเป็นภาพลวง แต่พลังกลับแข็งแกร่งเป็นอันมาก”
“ข้าเองก็พูดได้ไม่กระจ่างนัก”
ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ “แต่ทว่า เจ้าก็รู้จักทะเลแห่งการรับรู้ วิญญาณล้วนแต่บำเพ็ญอยู่ในทะเลแห่งการรับรู้ ส่วนอสรพิษใหญ่ตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่น ทะเลแห่งการรับรู้ของมันจึงพิเศษพิสดารอยู่บ้าง เพียงแต่มันสิ้นใจไปแล้ว วิญญาณสลายไป ‘ทะเลแห่งการรับรู้’ นี้กลับยังคงแปลกพิสดารเหลือแสน บางครั้งก็มีวัตถุจริงๆ แอบซ่อนอยู่ บางครั้งก็ยังถึงขั้นยังมีเศษเสี้ยวความทรงจำเหลืออยู่ด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ทว่าขอเพียงได้วัตถุใดก็ตามในกลุ่มแสงมิติเหล่านั้น ก็จะถูกขับออกมา กลุ่มแสงมิติแบบเดิม แต่กลับมิอาจเข้าไปได้อีกแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “ข้าขอเดาว่า นี่คือกฎเกณฑ์ที่หยวนตั้งเอาไว้ เพื่อให้พวกเราไม่นำสมบัติออกมามากเกินไปกระมัง”
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
เมื่อครู่เขารู้สึกได้รางๆ ว่าสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในมิติแห่งนั้นก็คือกริชสีดำเล่มนั้นนั่นเอง น่าเสียดายที่การจะได้มานั้นยากนัก เพราะ ‘เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำ’ จับกริชสีดำเอาไว้โดยตรง พลังการโจมตีครั้งเดียวก็สามารถกระแทกตนออกจากเศษเสี้ยวโลกนั้นได้อย่างง่ายดาย
“แต่ว่าท่านยอดเคารพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าเข้าไปแล้วจึงพบว่า เมื่อประสบอันตรายในกลุ่มแสงมิติก็จะเผาผลาญพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปอย่างรวดเร็ว ท่านรอคอยอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อ แต่ข้ากลับเสี่ยงอันตรายอยู่ในนั้นอย่างนั้นหรือ ข้าเผาผลาญพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าตอนที่ท่านกลับไป พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าก็อาจจะเผาผลาญไปจนเกลี้ยงแล้วก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มิอาจสำรวจสถานที่ที่ข้าอยากจะไปได้อีกแล้ว นี่ก็ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่บ้างหรือไม่”
สัตย์สาบานได้ตั้งเอาไว้แล้ว
หากยอดเคารพเฮ่ากู่ไม่กลับไป ตนก็ยังคงต้องฟังคำบัญชาของเขา เพียงแต่หากสามารถ ‘เจรจา’ ได้ ตนก็ต้องเจรจาเสียหน่อย
ยอดเคารพเฮ่ากู่สะดุ้งแล้วพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “วางใจเถิด เจ้าช่วยข้าจนได้สมบัติสำคัญมาชิ้นหนึ่งแล้ว ขอเพียงเจ้าสามารถนำวัตถุออกมาได้อีกสองชิ้น เจ้าก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสนใจข้าอีกแล้ว”
เขาได้ชิ้นหนึ่งมาไว้ในมือ ก็พึงพอใจมากแล้ว
หากมีสามชิ้น…ก็ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองแล้ว นอกจากนี้ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็รู้ชัดว่า การเข้าไปในกลุ่มแสงมิใช่เรื่องง่าย วิญญาณจะต้องถูกกดดัน! การจะได้สมบัติภายในนั้นออกมาก็ยากยิ่งกว่า กลุ่มแสงมิติบางกลุ่มถึงขั้นไม่มีวัตถุอยู่เลย เพียงแต่มีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่บางส่วน
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางเผยรอยยิ้มออกมา หากได้มาสามชิ้น อีกฝ่ายก็จะให้ตน ‘เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ’ เช่นนั้นตนก็จะรักษาสัตย์สาบานและ ‘ฟังคำสั่งของยอดเคารพเฮ่ากู่’ โดยไม่นับว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสาบานแล้ว
“ไป ไปยังที่ต่อไปเถอะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ
เขาเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ไปบุกฝ่าทีละแห่งๆ ตามลำดับความสำคัญ
ทั้งสองบินเลียบไปตามทางเดินเส้นเลือดที่เปล่งแสงรำไรออกมา ผ่านจุดเชื่อมต่อแห่งแล้วแห่งเล่า ทางเดินเส้นเลือดเหล่านี้พันพาดกัน เชื่อมต่อกลุ่มแสงมิติแห่งแล้วแห่งเล่า
ระหว่างที่พวกเขาทั้งสองบินไปนั่นเอง…
“ล้มเหลวอีกแล้ว สมควรตาย”
สิ้นเสียงที่กราดเกรี้ยวเป็นอย่างมาก คนอาภรณ์เขียวคนหนึ่งก็บินออกจากกลุ่มแสงมิติกลุ่มหนึ่งด้วยสีหน้าเย็นชา เห็นได้ชัดว่าออกมามือเปล่าด้วยความผิดหวังเป็นอย่างมาก
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่ซึ่งเดิมทีกำลังบินเหินอยู่พากันสะดุ้ง แล้วหันไปมอง
คนอาภรณ์เขียวก็เงยหน้าขึ้นมามองราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
สายตาของทั้งสองฝ่ายสานสบกัน
“ยอดเคารพเฮ่ากู่ จ้าวหิมะเหินหรือ” คนอาภรณ์เขียวมึนงงไปทันที
“จักรพรรดิเป่ยเหอหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
……………………………………