Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาค 35 ตอนที่ 50 ผู้ใดก็ช่วยเจ้ามิได้
ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ พลางมองไปยังกระจกยลฟ้าที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้า บนกระจกยลฟ้า คำว่า ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ที่ราชันย์อนธการอมตะคำรามออกมา ทำให้ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาผู้นี้สีหน้าเปลี่ยนแปรไป
“ผู้มีพระคุณของข้า ผู้มีพระคุณใหญ่หลวง…ที่แท้แล้วคือจ้าวหิมะเหินหรอกหรือ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาใจสะท้าน เขาทั้งกังวลใจแทนผู้มีพระคุณอิงซานเสวี่ยอิง ทั้งเดือดดาลกับความบ้าคลั่งตามอำเภอใจของราชันย์อนธการอมตะ
“ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาล จะไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางมารร้ายตนหนึ่งได้เลยหรือไร หรือว่ามารร้ายทำเรื่องร้ายกาจก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วหรือ ผู้ที่ขัดขวางมารร้ายกลับต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทากำหมัดทั้งสองข้างแน่น ดวงตาแดงก่ำ
นางผู้เป็นที่รักของเขา บุตรสาวของเขา
ญาติมิตรทั้งหมดไปจนถึงชนร่วมเผ่าของเขาล้วนแต่ได้รับการช่วยเหลือจาก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ทั้งสิ้น! เป็นเพียงหนึ่งในตัวเมืองที่ไม่สะดุดตาซึ่งคนวิถีจิตฟ้ากอบกู้เอาไว้ตลอดเวลาอันยาวนานหลายแสนล้านปีเท่านั้นเอง
เรื่องเช่นนี้ สำหรับ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แล้วเป็นเรื่องธรรมชาติราวกับหายใจอย่างไรอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตที่เขาช่วยเอาไว้มีมากเกินไปแล้ว! ผ่านคืนวันยาวนานเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตมากมายที่เขาช่วยเหลือเอาไว้ก็ได้บำเพ็ญจนเป็นผลสำเร็จแล้ว ผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นอลวนก็มีหลายคน
“ศิษย์เอ๋ย” อาจารย์ของชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาซึ่งอยู่ด้านข้างปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าตัวเมืองที่ทั้งตระกูลของเจ้าอยู่นั้นถูกคนวิถีจิตฟ้าช่วยเอาไว้ ทว่าราชันย์อนธการอมตะแข็งแกร่งเกินไป พวกเรารัฐโบราณสหโลกาไม่เหมาะแก่การฉีกหน้าเขาเลย”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาขบกรามกรอด
เขาเกลียด
ถ้าหาก ถ้าหากเขามีพลังมากพอ สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้มีพระคุณได้ เช่นนั้นจะดีเพียงไร!
บัดนี้ขั้นอลวนตัวเล็กๆ อย่างเขาคนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่พลังที่จะเร่งเดินทางไปที่นั้นเสียด้วยซ้ำ! เกรงว่าเพียงสายตาหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะก็สามารถสังหารเขาได้แล้ว
……
“ผู้มีพระคุณ”
“ตัวตนที่แท้จริงของผู้มีพระคุณคือจ้าวหิมะเหินหรือ”
พ่อลูกคู่หนึ่งอยู่ในจวน ตรงหน้ามีคลื่นน้ำโหมซัด บนคลื่นน้ำก็มีภาพจากที่ไกลออกไปปรากฏขึ้น
“ผู้มีพระคุณมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกเราพ่อลูก เนื่องจากเขาช่วยข้าและคนอื่นๆ เอาไว้ ข้าจึงมีโอกาสสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ น่าเสียดายที่ช่วยเหลือผู้มีพระคุณไม่ได้!”
……
บรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีบุญคุณช่วยชีวิตเอาไว้ก็กังวลและร้อนใจหาใดเปรียบ ยังมีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่พลังอ่อนแอ ไม่รู้เลยว่าตัวตนของผู้มีพระคุณ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ที่พวกเขาซาบซึ้งมาตลอดได้เปิดเผยออกมาแล้ว พวกเขายังคงใช้ชีวิตธรรมดาสามัญ เพียงแต่รู้สึกซาบซึ้งต่อผู้มีพระคุณผู้นั้นอยู่ที่ก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้นเอง
“ตลอดคืนวันอันยาวนาน ดินแดนจิตโลกาเพิ่งจะมีคนวิถีจิตฟ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทำให้มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือน ตอนนี้เสาหลักต้นนี้จะล้มลงแล้วอย่างนั้นหรือ เฮ้อ!” ใบหน้าของเทพจักรวาลที่นั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่งยากจะปกปิดความโกรธเอาไว้ได้
“ข้าก็กลัว กลัวว่าจะมีวันนี้ นับตั้งแต่คนวิถีจิตฟ้าฮึกเหิมไปทั่วโลก กลัวว่าจะมีสักวันที่ตัวตนของเขาต้องเปิดเผยออกมา!”
“ก่อนหน้านี้ราชันย์อนธการอมตะก็เคยคุกคามจ้าวหิมะเหินมาก่อน แต่จ้าวหิมะเหินไม่สนใจว่าตัวตนจะเปิดเผย ยังคงช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งสิบห้ารัฐต่อไป! เขากล้าทำเช่นนี้ จะมีหลักประกันหรือไม่”
“มีหลักประกัน หลักประกันอะไรกัน แม้แต่รัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาก็ยังไม่อยากจะพัวพันกับคนบ้าอย่างราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ จ้าวหิมะเหินจะยังมีหลักประกันใดได้อีกเล่า ต่อให้เขาโชคดีรักษาชีวิตเอาไว้ได้ คนใกล้ชิดที่เขาใส่ใจและชาวเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะประสบกับหายนะ”
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากพากันทอดถอนใจ
บำเพ็ญ ส่วนมากก็มีผู้ที่ใส่ใจอยู่
ไม่ว่าจะเป็นคนสนิท สหายร่วมเป็นร่วมตาย หรือว่าชาวเผ่า…ที่สนใจแค่ตนเองอย่างแท้จริง โดยไม่สนใจคนอื่นๆ ใต้ฟ้าดินนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย! อย่าง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในฝูงมารผลาญทำลาย อย่าง ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ นั้นบำเพ็ญเส้นทางสายมรณะ เดิมทีนิสัยก็สุดโต่งอยู่แล้ว ขอเพียงมีนิสัยปกติสักหน่อย ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวเพียงลำพังกันทั้งนั้น
******
ผู้ที่เป็นห่วงและกังวลใจนั้นมีอยู่ แต่ผู้ที่จงเกลียดจงชัง อยากให้ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้นี้ต้องจบเห่ก็มีเช่นกัน เช่นนั้นขุมอำนาจมารร้ายแต่ละฝ่ายก็จะโห่ร้องยินดี พวกเขาล้วนกำลังรอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดหลังจากนี้
“ฮ่าฮ่า ทำให้ราชันย์อนธการอมตะเดือดแค้นขึ้นมา เกรงว่าชนร่วมเผ่าของเขาก็คงต้องตายจนสิ้นซากกันหมด! ต่อให้เป็นตัวเขาเอง เกรงว่าเพิ่งจะปรากฏกายก็คงจะถูกราชันย์อนธการอมตะสังหารกระมัง! ร่างแยกทั้งหมดของเขาคงทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างอัตคัต ไม่กล้าโผล่หัวออกมา”
“ไม่แน่ว่า…ราชันย์อนธการอมตะอาจจะมีวิธีสังหารเขาก็เป็นได้! เพราะถึงอย่างไรราชันย์อนธการอมตะก็สามารถมองตัวตนของเขาออก ทั้งยังสามารถนำศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างหนึ่งออกมาได้ ราชันย์อนธการอมตะอาจจะมีวิธีการบางอย่างที่เหนือกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้ก็เป็นได้”
“ฮ่าฮ่า พูดมาตั้งนานแล้วว่า ไม่มีผู้ใดสามารถกดดันข้าและคนอื่นๆ ไปได้ตลอดหรอก! คนวิถีจิตฟ้าที่โง่เง่า เป็นเขาที่ไปยั่วยุราชันย์อนธการอมตะ เป็นเขาเองที่รนหาที่ตาย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูสิว่าเขาจะมีจุดจบอย่างไร”
มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนรอคอย
……
แต่ละฝ่ายต่างก็จับตามองด้วยความสนใจ ส่วนราชันย์อนธการอมตะก็บ้าคลั่งขึ้นมาอย่างแท้จริง หลังจากเขาโบกมือคราหนึ่งเพื่อเก็บซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนั้นลงไปแล้ว ก็เริ่มทำการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
ตู้ม
ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็ทะลุผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้แล้ว เขามุ่งหน้าตรงไปสังหารร่างแยกร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ตายเสียเถอะ”
ฝ่ามือมหึมาของราชันย์อนธการอมตะราวกับมีโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดแฝงเอาไว้ ภายใน ฝ่ามือหนึ่งตะปบออกไป หลบจนมิอาจหลบได้อีกแล้ว จึงตกเข้าไปในนั้นเสียแล้ว! อานุภาพของฝ่ามือนี้ยังน่ากลัวกว่าการลอบโจมตีอย่างสุดกำลังของบรรพชนราตรีนิรันดร์เสียอีก ถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนกับตกเข้าสู่มิติคละถิ่นอย่างไรอย่างนั้น ทั้งโลกมรณะอันดำมืดกำลังเชือดเฉือนเข่นฆ่าตนเอง
“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งร่างแยกนับร้อยร่างออกไปทำลายค่ายกล ร่างแยกเหล่านี้มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ถึงอย่างไรผู้ที่มีพลังระดับขั้นสุดยอดได้ก็มีน้อยยิ่งนัก
ร่างแยกร่างนี้มีพลังเพียงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น
จึงถูกทำลายไปในพริบตา!
“ตายเสียเถอะ ไปตายให้หมดเสียเถอะ”
ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่ตรงนั้น บนใบหน้าราวกับมีเกล็ดน้ำแข็งชั้นหนึ่งฉาบเอาไว้ มือทั้งสองก็ทะลุผ่านระยะทางอันยาวไกลไร้ที่สิ้นสุดมา แล้วตะปบลงบนร่างแยกร่างหนึ่งทันที
สวบๆๆๆ…
ฝ่ามือของเขาตะปบลงไป ร่างแยกแต่ละร่างก็สลายไป
และมีร่างแยกที่ค่อนข้างแข็งแกร่งร่างหนึ่งที่ต้านทานได้สองฝ่ามือจึงจะสลายไป
หลังจากราชันย์อนธการอมตะทำลายร่างแยกไปได้สามสิบกว่าร่างแล้ว ร่างแยกร่างอื่นๆ ทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หนีจากไปหมดแล้ว อันที่จริงหากจะหนีจริงๆ คาดว่าราชันย์อนธการอมตะก็คงจะสังหารร่างแยกทันเพียงแค่สองสามร่างเท่านั้น ที่เขาสามารถสังหารได้มากมายถึงเพียงนี้…ก็เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะอาศัยสิ่งนี้ ให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าที่แท้แล้วราชันย์อนธการอมตะแข็งแกร่งเพียงใด
“หนีรึ เจ้าหนีได้พ้นรึ” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเหี้ยมเกรียม
ตู้ม
เงาร่างของราชันย์อนธการอมตะหายวับไปกับอากาศ
……
เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง
ก็มาถึงกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินอันใหญ่โต เมืองหิมะเหินกว้างใหญ่ไพศาล เป็นตัวเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของรัฐเมฆทักษิณาในปัจจุบันนี้ ประชากรมีมากมายนับไม่ถ้วน,ประชากรในตัวเมืองเพียงแห่งเดียวก็มากกว่ารัฐชั้นสามทั่วไปแห่งหนึ่งแล้ว
“อิงซานเสวี่ยอิง!” เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของราชันย์อนธการอมตะสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน แล้วสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหิน ทว่าค่ายกลของเมืองหิมะเหินหมุนเวียนไปตั้งนานแล้ว แสงรำไรปกคลุมไปทั่วทั้งตัวเมืองและตัดขาดการส่งถ่ายเสียงด้วย! เพราะถึงอย่างไรด้วยวิธีการของราชันย์อนธการอมตะ แค่เสียงของเขาก็เพียงพอให้ผู้อ่อนแอทั้งหลายตายตกไปได้แล้ว
“ผู้ใดก็ช่วยเจ้ามิได้ นอกจากนี้ทั้งเมืองหิมะเหินยังต้องถูกฝังไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย!” ราชันย์อนธการอมตะคำราม
แม้เขาจะแค้นเคืองหาใดเปรียบ แต่ถึงอย่างไรก็เคยปะทะกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมาก่อน และพบอุปสรรคมามากพอ เขายังคงความมีเหตุมีผลเอาไว้! แม้ปากจะพูดจาร้ายกาจ แต่อันที่จริงแล้วเขากลับไม่กล้าเข่นฆ่ามากเกินไปนัก! เนื่องจากหากการเข่นฆ่ามากเกินไป ถ้าในภายหน้าจะบูชาอีก แล้วจะทำเช่นไรเล่า หากล้างสังหารสองครั้งเป็นจำนวนมากเกินไปจน ‘หยวน’ โมโหขึ้นมา ผลที่ตามมาก็จะน่ากลัวแล้ว!
หากหยวนจะสังหารเขา แค่พลิกฝ่ามือก็ทำลายได้แล้ว!
ดังนั้นต่อให้ราชันย์อนธการอมตะแก้แค้น ทำลายทั้งเมืองหิมะเหินก็นับว่าถึงขีดสุดแล้ว! เนื่องจากประชากรของเมืองหิมะเหินก็มากกว่ารัฐชั้นสามทั่วไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาหวังว่าเมื่อการบูชาสิ้นสุดลงแล้วจะพา ‘ผู้ท่องอมตะ’ เข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหัก โดยไม่จำเป็นต้องกลับมาอีกแล้ว ดังนั้นจึงหาญกล้าบูชารัฐเกือบสิบห้าแห่ง! แต่บัดนี้การบูชาล้มเหลว เขาก็ต้องวางแผนอยู่ในดินแดนจิตโลกาต่อไปอีกนาน…เช่นนั้นเมื่อสังหารขึ้นมา ก็ต้อง ‘เบามือ’ หน่อยแล้ว
“ราชันย์อนธการ ท่านจะลงมือกับจ้าวหิมะเหินก็แล้วไปเถิด ชาวเมืองหิมะเหินจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย ได้โปรดปล่อยไปเถิด” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือจอมเคารพกระบี่ปีศาจผู้สะพายกระบี่เทพเอาไว้
“จอมเคารพกระบี่ปีศาจหรือ”
“จอมเคารพกระบี่ปีศาจแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุปรากฏกายแล้วหรือ”
“เขาจะขัดขวางราชันย์อนธการอมตะหรือ”
แต่ละฝ่ายมองดูฉากนี้แล้วต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“จอมกระบี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เหนือท้องฟ้าของเมืองหิมะเหินแล้วตกตะลึงอยู่บ้าง เขาถ่ายเสียงพูดว่า “จอมกระบี่ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามากวนน้ำให้ขุ่นแล้วล่ะขอรับ ราชันย์อนธการอมตะเป็นแค่คนฟั่นเฟือนคนหนึ่งเท่านั้น”
จอมเคารพกระบี่ปีศาจกลับยังคงยืนอยู่กลางอากาศตรงข้ามราชันย์อนธการอมตะ
ราชันย์อนธการอมตะยิ้มเหี้ยมเกรียมพลางพูดว่า “เฮอะ จอมเคารพกระบี่ปีศาจรึ ทำไมกัน พวกเจ้ารัฐโบราณคิมหันตวายุจะเข้าร่วมกับเรื่องนี้ด้วยหรือ”
แม้เขาจะโกรธแค้น แต่กลับไม่รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด
เนื่องจากจอมเคารพกระบี่ปีศาจมิใช่ขั้นสุดยอดทั่วๆ ไป ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาสั้นนัก เป็นขั้นสุดยอดเพียงคนเดียวในรัฐโบราณคิมหันตวายุต่อจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสาม จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางจะต้องปกป้องจอมเคารพกระบี่ปีศาจผู้นี้อย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน!
“มิใช่รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าจะเข้าร่วม เพียงแต่ว่าตัวข้าจะมาเกลี้ยกล่อมท่านเท่านั้นเอง” จอมกระบี่เอ่ยปาก
“รีบไสหัวไปให้พ้นจากข้าเสีย ไม่มีเวลาพูดพล่ามกับเจ้าแล้ว!”
นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะฉายแววหนาวเหน็บ มือขวาบดบังท้องฟ้าเอาไว้ ภายในฝ่ามือมีโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ เขาตะปบตรงเข้ามา
จอมกระบี่ก็พลันถอนกระบี่ขึ้นมาในทันใด ชั่วขณะที่ประกายกระบี่ด้านหลังเขาออกจากฝักนั้น บริเวณนับล้านล้านลี้รอบด้านก็กลายเป็นโลกแห่งประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน อานุภาพยังแข็งแกร่งกว่าจอมกระบี่เมื่ออยู่ในโลกกำเนิดอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานก็ให้ความสำคัญกับจอมกระบี่เป็นอันมาก หากทุ่มสุดกำลังเพื่อช่วยเหลือเขา สมบัติล้ำค่าที่จอมกระบี่ได้มาก็ดีกว่าดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมากนัก
เป็นสมบัติลับที่แข็งแกร่งที่สุดชิ้นหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุทางสายวิถีทำลายล้างที่แปรรูปลักษณ์เป็นรูปกระบี่
ด้วยลูกไม้ของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งของจอมกระบี่ เมื่อถือสมบัติลับชิ้นนี้เอาไว้ในมือ พลังที่สำแดงออกมาก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่ในบ้านเกิดของเขาเป็นธรรมดา กล่าวคือมีพลังเป็นแปดส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์เลยทีเดียว
………………………….