Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 13 จักรพรรดิผู้โกรธเกรี้ยว
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 13 จักรพรรดิผู้โกรธเกรี้ยว
ดวงตาสีเทาบนยอดต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนี้ มีอานุภาพกดดันเช่นเดียวกับล้านล้านปีที่แล้วมา มันปลดปล่อยออกมาตลอดเวลา โครงสร้างภายในดวงตาคู่นี้ยิ่งพิสดารเป็นอย่างมาก บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีระดับขั้นใดกัน ต่อให้เป็นฝุ่นผง ภายใต้สายตาของเขา ก็ล้วนกลายเป็นผืนดินมหึมาแห่งหนึ่งได้ สามารถเฝ้าดูโครงสร้างอันลึกซึ้งอย่างยิ่งของฝุ่นสีเทาได้ ก็สามารถเฝ้าดูการปรากฏของการหมุนเวียนกฎเกณฑ์บนวัตถุของโลกกำเนิดได้เช่นเดียวกัน
แต่ในยามนี้!
ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดวงตาสีเทาคู่นี้ ก็อดเผยสีหน้าแตกตื่นออกมามิได้ เขามองดูดวงตาสีเทาคู่นี้โดยละเอียดอย่างมิอาจควบคุมได้
ในสายตาของเขา ดวงตาสีเทาขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว…
ไร้ที่สิ้นสุด!
โครงสร้างของดวงตาสีเทานี้ เดิมทีก็เร้นลับมากถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว!
อย่างกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เทียบเท่ากับกายหยาบของ ‘เทพจักรวาลขั้นสุดยอดทางสายฝึกกาย’ นั้น ก็แฝงไว้ด้วยจุดที่น่าเหลือเชื่อต่างๆ เลือดแต่ละหยด แต่ละอณูล้วนแฝงไว้ด้วยความพิสดารเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน ‘ดวงตาสีเทา’ คู่นี้จึงพิสดารกว่ากายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันมาก!
“งดงามเกินไปแล้ว”
“ขั้นสุดของความงาม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ เขามองดูดวงตาสีเทาคู่นี้ด้วยความลุ่มหลง
“จ้าวหิมะเหิน พวกเราเตรียมจะจากไปแล้ว ท่านจะให้พวกเราพาท่านจากไปพร้อมกันด้วยหรือไม่” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในห้วงสมอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซึ่งกำลังห้ำหั่นกับ ‘จักรพรรดิ’ แห่งเผ่ามรณะทมิฬอยู่ไกลออกไป
“จากไปรึ ท่านมั่นใจหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงด้วยความตกตะลึง จะออกจากดินแดนชนเผ่าแล้วหนีออกไปนอกขอบเขตของทั้งเกาะลอยคว้างก็ยังต้องใช้เวลาอยู่บ้าง
“พวกเรามีวิธีของพวกเราเอง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงพูด “พวกเราจะเคลื่อนไหวแล้ว ท่านจะไปด้วยหรือไม่”
“มิต้องสนใจข้าหรอก นี่เป็นเพียงหนึ่งในร่างแยกจำนวนมากของข้าเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด เขาพูดอย่างเรียบเฉยมาก ร่างแยกมีตั้งมากมาย เขาไม่สนใจสักนิดว่าร่างแยกเหล่านี้จะสลายไปหรือไม่! นอกจากนี้เขาก็ยังต้องชมดูดวงตาสีเทาคู่นั้นให้ดีอีกด้วย
ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงพูดว่า “บุญคุณครั้งใหญ่ของจ้าวหิมะเหินในครั้งนี้ เผ่าเซวี่ยเหยียนของเราะจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน พวกเราค่อยพบกันนอกเกาะลอยคว้างแห่งนี้ก็แล้วกัน”
“ได้สิ ไว้พบกันนอกเกาะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ
ขณะเดียวกันตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยากรู้อยากเห็นมาก
กองกำลังชนพื้นเมืองนี้กำลังพยายามพุ่งไปทางต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้นอย่างสุดชีวิต ส่วน ’จักรพรรดิ‘ แห่งเผ่ามรณะทมิฬผู้นั้นก็ขัดขวางไม่หยุด ขณะเดียวกันก็โจมตีอย่างโกรธแค้นไปที่ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นั้นเป็นหลัก
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม…” ทุกท่วงท่าของยักษ์ร่างดำทะมึนล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันน่าเหลือเชื่อ เพียงแต่กระบวนท่าของเขาเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเกินไป เมื่อท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้รับมือ ก็แค่ต้านรับอย่างทื่อๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น! เคราะห์ดีที่มีเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงปะทุออกมาอย่างสุดกำลัง ทำให้พลังของ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นั้นเหลือเพียงเจ็ดส่วนของก่อนหน้านี้เท่านั้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้จึงสามารถต้านทานต่อไปได้
“ต้านทานได้เก่งจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบสีหน้าเปลี่ยนแปรไป
ตอนที่อานุภาพของยักษ์ร่างดำทะมึนยังมิได้อ่อนกำลังลงนั้น ก็เพียงพอจะเทียบได้กับพลังของ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ในตอนที่ปะทุออกมาเพื่อโจมตีเมืองหิมะเหินอย่างสุดชีวิตในตอนนั้น ต้องรู้ไว้ว่า ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ก็มิอาจคงสภาพน่าหวาดหวั่นเอาไว้ได้เป็นเวลานาน หากทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน…เมื่อราชันย์อนธการอมตะปะทุออกมา ก็สามารถครองความได้เปรียบในระยะเวลาสั้นๆ ได้
แต่เมื่อเวลานานเช้า หากราชันย์อนธการอมตะไม่สามารถคงสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ได้ ก็ต้องถูก ’จักรพรรดิ‘ ผู้นี้กดดันฝ่ายเดียวแล้ว แน่นอนว่าราชันย์อนธการอมตะสามารถป้องกันตนเองได้อย่างไร้ปัญหา
“ภายในหุบเขาเขี้ยวหักอันกว้างใหญ่ไพศาล นี่เป็นเพียงเกาะลอยคว้างที่แสนจะธรรมดาแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอ้าปากค้าง
แม้ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญจะมีกระบวนท่าพิสดาร เมื่ออานุภาพค่อนข้างอ่อนแอก็สามารถรักษาชีวิตได้
แต่หนึ่งแรงก็มิอาจสู้พลังอันยิ่งใหญ่ได้!
เมื่ออานุภาพแตกต่างกันถึงระดับหนึ่ง ก็ต้องถูกกวาดล้างไปเช่นกัน
“ว่ากันว่าเผ่าชนพื้นเมืองมีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ กายหยาบแข็งแกร่งเสียจนเกินจริง ส่วนท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้ กายหยาบน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์
เขาจับตามองอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วก็มองดูดวงตาสีเทาคู่นั้นโดยละเอียดต่อไป เขาขัดเกลาไปพลาง จมดิ่งอยู่ในนั้นไปพลาง บนใบหน้าถึงขั้นเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
……
ยามนี้ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นั้นโกรธแค้นมาก โกรธแค้นเสียจนอยากจะลงมือกับตงป๋อเสวี่ยอิง
เนื่องจากเพราะผู้บำเพ็ญที่สมควรตายคนนี้ ทำให้เขาต้องแบ่งสมาธิไปต้านทาน จนพลังได้รับความเสียหาย! แต่เหล่าผู้อาวุโสและอ๋องคนอื่นๆ หนีไปได้กันหมดแล้ว แม้แต่ ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ ก็มิได้มาช่วยเหลือเขา! ผู้อาวุโสใหญ่สั่งให้คนมาถ่ายเสียงบอกว่าเขาไปสะกดรอยตามผู้บำเพ็ญที่ใช้กระบี่ผู้นั้นแล้ว!
ไม่มีคนช่วย
ค่ายกลรบทั้งสี่ของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้และผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ละค่ายกลรบล้วนสามารถเทียบเคียงกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ได้!
หากจักรพรรดิต้องขัดขวางพวกเขาพร้อมกัน มือไม้ก็ต้องพันกันวุ่นวายอยู่บ้าง เขามิอาจออกกระบวนท่าไปจัดการกับตงป๋อเสวี่ยอิงได้! เพราะหากเขาไปจัดการเมื่อใด เกรงว่าชนพื้นเมืองเหล่านี้ก็คงจะสามารถหาโอกาสช่วงชิงผลวิญญาณทิพย์ไปได้
“ตู้ม”
หนึ่งในค่ายกลรบของผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้
เหนือผิวกายของยอดฝีมือทั้งสามของค่ายกลรบนี้ ต่างก็มีเกราะสีแดงโลหิตอันแปลกประหลาดอยู่ ภายใต้การกระตุ้น เกราะสีแดงโลหิตทั้งสามก็มีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียว อานุภาพของค่ายกลรบแห่งนี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งทันใด! หากพูดถึงอานุภาพแล้วก็ถึงระดับ ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ เลยทีเดียว! แข็งแกร่งกว่าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้อยู่ขุมใหญ่ หลังจากอานุภาพปะทุขึ้นมาแล้ว ค่ายกลรบนี้ก็พุ่งตรงไปทางต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้น
“เผ่าเซวี่ยเหยียน แม้แต่สมบัติประจำเผ่าพวกเจ้าก็พกมาด้วยหรือ” จักรพรรดิตกใจมาก
เกราะทิพย์เซวี่ยเหยียน
มีทั้งหมดสามอันด้วยกัน! เป็นสมบัติประจำเผ่าของเผ่าเซวี่ยเหยียน ตอนที่ภายในยังไม่มีผู้แกร่งกล้าที่สุดยอดคอยปกป้องทั้งเผ่านั้น ก็มีผู้อาวุโสประจำเผ่าสามคนพกเกราะทิพย์เซวี่ยเหยียนคนละอัน แล้วร่วมมือกันก็เพียงพอจะปกป้องทั้งเผ่าได้แล้ว
สมบัติประจำเผ่าระดับนี้มิอาจสูญเสียไปได้ง่ายๆ! มาเสี่ยงอันตรายที่เกาะลอยคว้าง ยังจะพกสมบัติประจำเผ่ามาด้วยหรือ ต้องรู้ไว้ว่าหากผู้บำเพ็ญหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นมิได้ปรากฏกายขึ้นมา แล้วผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามอยู่พร้อมหน้ากันตรงนั้นแล้ว…เกรงว่าสถานการณ์ของเผ่าเซวี่ยเหยียนก็คงจะเลวร้ายกว่านี้ หากพ่ายแพ้และสู้จนตัวตาย ก็จะต้องสูญเสียสมบัติประจำเผ่าไป!
“เผ่าเซวี่ยเหยียน บ้าไปแล้วหรือ” จักรพรรดิมิอาจเข้าใจได้ มันและเผ่าเซวี่ยเหยียนติดต่อกันหลายครั้งแล้ว เนื่องจากสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดในเกาะลอยคว้างแห่งนี้อย่าง ‘ผลวิญญาณทิพย์’ นั้นมีผลน่าอัศจรรย์ต่อการทำให้พละกำลังของสายเลือดเผ่าเซวี่ยเหยียนตื่นรู้ ดังนั้นตลอดคืนวันอันยาวนาน ผู้แกร่งกล้ายยุคแล้วยุคเล่าของเผ่าเซวี่ยเหยียนต่างก็มาที่นี่เพื่อคิดหาวิธีช่วงชิงผลวิญญาณทิพย์ไป
แต่ก็ไม่เคยบ้าคลั่งถึงเพียงนี้มาก่อน!
“สมควรตาย”
พลังของจักรพรรดิได้รับผลกระทบ ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้และค่ายกลรบทั้งสี่ล้วนรับมือไม่ได้ง่ายๆ ในจำนวนนั้นพลังของค่ายกลรบแห่งหนึ่งก็ยังปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิและผู้อาวุโสใหญ่นั้นแตกต่างกัน สิ่งที่จักรพรรดิถนัดก็คือใช้กายหยาบเข้าต่อสู้ประชิดตัว กระบวนท่าทางด้านบริเวณซึ่งกินวงกว้างนั้นไม่เชี่ยวชาญนัก เพียงครู่เดียวจึงมิอาจสกัดกั้นได้ทันท่วงที
ฟิ้ว…
พลังของค่ายกลรบแห่งนั้นปะทุออกมา เมื่อเทียบกับจักรพรรดิ ความแตกต่างก็มิได้มากมายนักแล้ว เมื่อปะทุออกมาในระยะใกล้ๆ ทั้งยังมีสหายคอยช่วยเหลือ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้นแล้ว
“ไม่!”
จักรพรรดิเดือดดาลขึ้นมา เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว เขาโบกมือคราหนึ่งแล้วตะปบไปทางผลวิญญาณทิพย์บนต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้น
ต้นไม้ผลต้นนี้ มีผลอยู่ทั้งหมดสองผลด้วยกัน
จักรพรรดิและค่ายกลรบแห่งนั้น คว้าผลไม้เอาไว้คนละผลแทบจะพร้อมกัน!
“ยังไม่ทันสุกเลย พวกเจ้าก็มาชิงเอาไปแล้วหรือ” จักรพรรดิคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
“หากรอจนสุกแล้ว จะยังเหลือมาถึงมือพวกเราหรือ”
พวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ดีใจใหญ่
แม้จะยังไม่สุกเต็มที่ แต่ก็ให้ผลถึงห้าส่วนแล้ว
“ไป!”
พวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ทั้งกลุ่มรวมตัวกันทันที ค่ายกลรบสลายไปจนสิ้น เหลือเพียงท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้คนเดียวเท่านั้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถือใบไม้เหลืองซีดเอาไว้ในมือ ใบไม้ถูกบี้จนแตก
วิ้ง!
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปกคลุมท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ สายตาของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปพลางยิ้มน้อยๆ
จากนั้นก็อันตรธานไป!
“สมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย!!!” จักรพรรดิแหงนหน้าคำราม เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักผู้อาวุโส และยังแพร่ออกไป ระลอกการโจมตีอันน่าหวาดหวั่นก็พุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปและถอยหนีทันที! เคราะห์ดีที่เขามีพลังรบขั้นสุดยอด กายหยาบก็แข็งแกร่งพอ เสียงคำรามครั้งหนึ่งจึงไม่ถึงกับล้างสังหารเขาได้
“หนีรึ”
จักรพรรดิสาวเท้าออกไปแล้วบุกตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
เขาเดือดดาลหาใดเปรียบ! หากมิใช่ผู้บำเพ็ญผู้นี้ เขามีผู้ช่วยกลุ่มใหญ่ ก็สามารถสกัดกั้นกองกำลังเผ่าเซวี่ยเหยียนเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย!
ผู้บำเพ็ญผู้นี้นี่เอง…ที่ทำให้ผู้ที่จะมาช่วยเขาหวั่นกลัวจนหนีหายไปหมด แต่เขาก็มิได้ตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชาแต่อย่างใด เนื่องจากมีอ๋องกลุ่มหนึ่งสิ้นใจด้วยเงื้อมมือของผู้บำเพ็ญแล้ว
เดิมทีผลไม้ที่สุกแล้วทั้งสองผล ก็มีหวังจะทำให้พลังของเขายกระดับขึ้นได้บ้าง แต่บัดนี้ มีเพียงผลที่ยังไม่สุกเพียงผลเดียว สำหรับจักรพรรดิผู้นี้ ก็ไร้ประโยชน์เสียแล้ว! พอจะมีประโยชน์สำหรับพวก ‘อ๋อง’ บ้างก็เท่านั้น คิดจะรอให้ผลต่อไปเกิดขึ้นและสุกงอมน่ะหรือ ก็ต้องรอคอยอีกนานแสนนานหาใดเปรียบแล้ว
“รวดเร็วนัก” หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง
แต่เดิมทีจักรพรรดิก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เพื่อสกัดกั้นชนพื้นเมืองเหล่านั้น เขาจึงมิอาจออกกระบวนท่ามาลงมือกับเขาได้ บัดนี้เพียงแค่ทะยานไปคราหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามตงป๋อเสวี่ยอิงที่หลบหนีไปอย่างรวดเร็วได้ทัน ฝ่ามือมหึมาอันดำทะมึนก็ปกคลุมเข้ามา! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าไม่มีที่ให้หลบหนีไปได้ เมื่ออยู่ภายใต้อานุภาพอันน่าเกรงกลัวเช่นนี้ กระบวนท่าถ่ายแรงของเขาก็ดูน่าขันนัก
“ปัง”
เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ร่างแยกซึ่งเป็นพลังรบหลักร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเผชิญหน้ากับ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นี้ สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั่วไปก็ล้วนต้องบาดเจ็บสาหัสด้วยกระบวนท่าเดียว! มีเพียงคนอย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ที่ปะทุพลังออกมาแล้วอยู่ในขั้นไร้ศัตรู และกายหยาบก็แข็งแกร่งถึงขั้นสุดเท่านั้น จึงสามารถต้านทานได้นานถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัสมากอยู่ดี
“ฟิ้ว…” ภายใต้อานุภาพอันน่าหวาดหวั่น กายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงร่างนี้ก็สลายไปทันทีโดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่ซาก ทว่าขณะที่ร่างแยกสลายไปนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเรียบเฉยมาก มุมปากยังถึงขั้นแฝงรอยยิ้มเอาไว้เล็กน้อย เขามีร่างแยกนับหมื่น จึงย่อมไม่สนใจร่างแยกแค่ร่างเดียวอยู่แล้ว