Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 21 สภาวะวิกฤติของโลกแสงดาว
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 21 สภาวะวิกฤติของโลกแสงดาว
โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมต่างก็ซ่อนเร้นอยู่กลางห้วงอากาศ มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิถีอากาศ ก็ย่อมสามารถสังเกตได้ถึงโลกที่ซ่อนเร้นอยู่เหล่านี้ได้อยู่แล้ว
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นกลางห้วงอากาศแห่งหนึ่งแล้วมองเกาะลอยคว้างที่มีขนาดเท่าเมล็ดงาที่อยู่ไกลออกไป พลางพยักหน้าน้อยๆ “อ้างอิงจากเกาะลอยคว้าง โลกอันลึกลับตรงหน้าข้าแห่งนี้ก็คือโลกแสงดาวแล้วล่ะ”
พรึ่บ
ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็เข้าไปภายในโลกอันลึกลับนี้ได้อย่างง่ายดาย
……
โลกแสงดาวก็คือดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ไม่เหมือนกับ ‘เกาะลอยคว้าง’ กดดันและขับไล่ กดดันให้ต่ำอย่างที่สุดภายในโลกแสงดาว เพียงความคิดเดียวก็สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้
“หืม”
หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปสู่โลกแสงดาวแล้ว กวาดสายตาคราหนึ่งก็เห็นว่าที่บริเวณไกลออกไปมีอาคารที่พังทลาย บริเวณรอบๆ ก็มีร่องน้ำตามรอยแยกของแผ่นดิน ป่าไม้ที่อยู่ไกลออกไปก็มีซากปรักหักพังเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล
“ดูคล้ายว่าจะผ่านศึกใหญ่มาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ประหลาดใจ เหล่าประชากรภายในโลกแห่งหนึ่งก็อาจมีการต่อสู้กันได้
“พรึ่บ!”
เขาปล่อยเขตพลังห้วงอากาศออกมาแล้วรับสัมผัสอยู่ห่างๆ โลกแสงดาวมิได้ขับไล่ แต่กลับแผ่ปกคลุมทั่วทั้งโลกแสงดาวในชั่วพริบตา ที่จุดศูนย์กลลางของดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้กลับมีพลังแสงดาวอันเข้มข้นเป็นที่สุดรวมตัวกันอยู่ ทั้งยังขับไล่การตรวจหาทั้งหมดอีกด้วย เขตพลังห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประสบกับการขับไล่เช่นเดียวกัน
ทว่าด้านนอกบริเวณที่แสงดาวแผ่ปกคลุมกลับมีเรือใหญ่หลายลำล่องลอยอยู่ ยามรักษาการณ์ที่ยืนอยู่บนเรือใหญ่ต่างก็แผ่กลิ่นอายของสายฟ้าออกมา
“อ้างอิงจากสิ่งที่ข้ารู้ กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแบ่งออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ตามสายโลหิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “อย่างเช่นเผ่าเซวี่ยเหยียนต่างก็มีบรรพชนที่มีสายโลหิตเซวี่ยเหยียนอันแกร่งกล้ายิ่งอยู่คนหนึ่ง นอกจากนี้ทั้งเผ่าพันธุ์ต่างก็กำลังศึกษาวิธีการปลุกเร้าสายโลหิตเซวี่ยเหยียน ด้วยเหตุผลเดียวกัน เผ่าโลกแสงดาว ที่เข้มข้นที่สุดในร่างกายก็คงจะเป็นสายโลหิตแสงดาว สายการบำเพ็ญหลักก็ควรจะเป็นสายโลหิตแสงดาว แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหล่านี้แผ่กลิ่นอายสายฟ้าออกมา เห็นได้ชัดว่ามิใช่เผ่าโลกแสงดาว”
“ที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาสังเกตการณ์ดูอยู่ห่างๆ
ศูนย์กลางโลกแสงดาวมีกลุ่มอาคารที่ทอดตัวต่อเนื่องกัน งามล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นที่รวมตัวของชาวเผ่ากลุ่มใหญ่ มองไปปราดหนึ่งก็เห็นชาวเผ่าโลกแสงดาวกว่าร้อยล้านคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น และบริเวณรอบๆ ก็มีแสงดาวคุ้มกันอยู่อย่างแน่นหนา! แต่แสงดาวนี้กลับเผชิญกับห้วงมิติปิดผนึกและตัดแยก ซึ่งก็คือเรือใหญ่หลายลำที่ล่องลอยอยู่ในบริเวณรอบๆ นั่นเองที่ปลดปล่อยห้วงมิติปิดผนึกออกมา
“โลกแสงดาวเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โง่งม มองเพียงปราดเดียวก็มองออกแล้วว่าเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอีกกลุ่มหนึ่งโจมตีเผ่าโลกแสงดาว
“ประหลาดนัก เผ่าเซวี่ยเหยียนที่ข้าพบเจอในครั้งก่อน ฟังจากที่เซวี่ยเหยียนจี้พูดเอาไว้ในตอนท้ายสุด พวกเขาเผ่าเซวี่ยเหยียนก็ถูกขับออกมาจากบ้านเกิด หลบหนีออกมาอย่างน่าอนาถ เผ่าโลกแสงดาวก็เผชิญกับการโจมตีด้วยเหมือนกันหรือ ดูท่าทางภายในกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็คงจะต่อสู้กันอย่างร้ายกาจเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบขบคิดเงียบๆ
คิดๆ ดูแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา
ขนาดเล็กๆ อย่างภายในตระกูลสักแห่งหนึ่งต่างก็มีสงครามภายในด้วยกันทั้งสิ้น! การต่อสู้นั้นก็มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงจริงๆ
“สวบ”
ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังด้านนอกของห้วงมิติปิดผนึกแล้ว ที่นั่นยามรักษาการณ์ซึ่งแผ่กลิ่นอายสายฟ้าออกมาที่กำลังเฝ้ายามอยู่คนหนึ่งพอดี เมื่อได้เห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นก็ตะคอกใส่ในทันที “เจ้าเป็นใคร!”
“ข้าเป็นใครน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มน้อยๆ เขตลวงก็แผ่ปกคลุมยามรักษาการณ์ตัวจ้อยที่น่าสงสารผู้นี้เอาไว้เสียแล้ว! เขาจงใจเคลื่อนที่ในพริบตามาถึงยังข้างกายของยามรักษาการณ์ผู้นี้ พลังยุทธ์ของยามรักษาการณ์อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพียงแค่ระดับขั้นอลวนเท่านั้น ปณิธานของชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็ยิ่งอ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญเสียอีก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถตรวจดูความทรงจำของเขาได้อย่างง่ายดาย
การตรวจดูความทรงจำในครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่ายามรักษาการณ์ผู้นี้มาจาก ‘เผ่าอสนีอสรพิษ’ ได้ติดตาม ‘ประมุขอสนีอสรพิษ’ มาที่นี่เพื่อโจมตีโลกแสงดาว ต้องการจะทำลายล้างเผ่าแสงดาวแล้วยึดครองโลกแห่งนี้!
“ทำลายเผ่าหนึ่งอย่างนั้นหรือ โหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจอยู่บ้าง
“ใครน่ะ!”
“ผู้ใดมายั่วโมโหเผ่าอสนีอสรพิษของข้ากัน” บนเรือใหญ่ลำหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ได้ค้นพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่นี่เข้าแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบตามองผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งที่บุกสังหารเข้ามาจากที่ไกลๆ หัวใจก็วูบไหวคราหนึ่ง เปรี้ยง… รอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบลงมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปตามรอยแยกสีดำ เข้าไปภายในศูนย์กลางโลกแสงดาวแล้ว
พรึ่บๆๆ…
ผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา
“หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นเป็นใครกัน เหตุใดเพียงชั่วพริบตาจึงได้หายลับไปเสียแล้ว”
“เขาไปไหนเสียแล้วเล่า”
“คล้ายว่าสิ่งที่เขาสำแดงจะเป็นการส่งถ่ายทลายโลกา ไม่รู้เลยว่าไปที่ไหน!”
บรรดาผู้แกร่งกล้าเหล่านี้เคร่งเครียดกันเป็นอย่างยิ่ง มองไปทางยามรักษาการณ์ผู้น่าสงสารที่เพิ่งตื่นขึ้นมาผู้นั้นในทันทีแล้วทำการสอบถามโดยละเอียด เพราะว่ายามรักษาการณ์ผู้นั้นเพียงแค่เคลื่อนไหวตามคำสั่งเท่านั้น ตนเองมิได้เป็นมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมิได้เปิดฉากสังหารอยู่แล้ว!
*******
อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกามุ่งตรงเข้าไปในที่มั่นศูนย์กลางโลกแสงดาว ก็ย่อมกระตุ้นเตือนยอดฝีมือกลุ่มใหญ่อยู่แล้ว
“ใครน่ะ!”
“ผู้ใดกันที่เข้ามา”
“หรือว่าห้าเผ่านั้นจะกล้าบุกเข้ามาสังหารถึงที่นี่ ต้องการจะทำลายล้างเผ่าโลกแสงดาวของข้า พวกเขาก็ต้องตายกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว” ยอดฝีมือระดับบนของโลกแสงดาวกลุ่มใหญ่มากันอย่างรวดเร็ว
พวกเขามองปราดหนึ่งก็เห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้ซึ่งใบหน้าเจือรอยยิ้มน้อยๆ ยืนอยู่บนพื้นหญ้า ตงป๋อเสวี่ยอิงใบหน้าเจือรอยยิ้มน้อยๆ พลางมองไปทางบุรษในอาภรณ์แสงดาวที่เป็นผู้นำของยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ที่กำลังร้อนรนผู้นั้น “ประมุขโลกแสงดาว ข้ามาที่หุบเขาเขี้ยวหัก จึงได้แวะมาเยี่ยมเยือนระหว่างทาง”
ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่นี้ต่างก็มีความสงสัยอยู่บ้างพลางมองไปยังผู้นำของพวกเขา
“ท่านประมุข ท่านรู้จักเขาหรือขอรับ”
“เขาคือใครกัน”
“แม้กระทั่งข้าก็ยังมิอาจมองทะลุกลิ่นอายของเขาได้เลยแม้แต่น้อย ท่านประมุข เขามีความเป็นมาอย่างไรหรือขอรับ”
บรรดาระดับสูงเหล่านี้ หรือเหล่าผู้อาวุโส หรือเหล่าผู้นำทัพคนสำคัญ ต่างก็ระแวดระวังกันเป็นอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน หลังจากที่ตระหนักรู้ท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว กลิ่นอายของเขาก็เลือนรางยิ่งขึ้น ผู้อื่นล้วนมิอาจมองเห็นตัวตนจริงได้อย่างชัดเจน ภายในหุบเขาเขี้ยวหักก็กลายมาเป็นสัญชาตญาณของเขา จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปิดเผยกลิ่นอายอันแท้จริงออกมาเล็กน้อย
ประมุขโลกแสงดาวได้เห็นเหตุการณ์แล้วกลับพูดยิ้มๆ “ทุกท่านโปรดวางใจ นี่คือจ้าวหิมะเหิน สหายผู้มาจากดินแดนจิตโลกาที่ข้าเคยพูดถึงอย่างไรเล่า”
“อ้อ จ้าวหิมะเหินหรือ”
“เขาก็คือจ้าวหิมะเหินที่ช่วยเหลือองค์หญิงอย่างไรเล่า”
พวกเขาต่างพากันตกตะลึง
“จ้าวหิมะเหิน ก่อนหน้านี้ได้เชื้อเชิญเจ้ามายังโลกแสงดาวของข้า คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ ช่างน่าอายเหลือเกิน” ประมุขโลกแสงดาวยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยขึ้นทันควัน “จ้าวหิมะเหิน ไปที่จวนของข้าดีกว่า”
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปพร้อมกัน
……
ณ โลกแสงดาว ภายในจวน
ประมุขโลกแสงดาวพาตัวภรรยาและบุตรสาว อีกทั้งยังมีผู้อาวุโสติดตามมาด้วย มาจัดงานเลี้ยงรับรองตงป๋อเสวี่ยอิง
“บุตรสาวของข้าผู้นี้วางอำนาจและทะนงตนเหลือเกิน อีกทั้งยังมีความสนใจในดินแดนจิตโลกามากเกินไป จนถึงกับหนีไปจากโลกแสงดาวอย่างเงียบๆ แล้วเข้าไปในดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว” ประมุขโลกแสงดาวมองดูบุตรสาวของตนเอง แล้วแค่นเสียงเอ่ยว่า “ใครจะไปคิดว่าพอเข้าไปยังดินแดนจิตโลกาแล้วจะไปเจอะกับพญามารตนหนึ่งเข้า โชคดีที่มีร่างแปรคนวิถีจิตฟ้าของจ้าวหิมะเหินในตอนนั้นมาสังหารมาร ช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน
“ขอบคุณจ้าวท่านที่มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้าค่ะ” บุตรสาวของประมุขแสงดาวเอ่ยอย่างอ่อนน้อม
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
ชายชราร่างอ้วนพี ผมสีเงิน ที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยว่า “จ้าวหิมะเหินบังเอิญช่วยคุณหนูเอาไว้ได้พอดี นี่ก็เป็นชะตาลิขิต”
“เผ่าแสงดาวของข้ามีบุญคุณก็ต้องทดแทน” ประมุขแสงดาวเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “จ้าวหิมะเหินมายังหุบเขาเขี้ยวหัก เดิมทีเผ่าแสงดาวของข้าก็ควรจะช่วยเหลือเจ้าให้ดีๆ เพียงแต่ว่าเจ้าก็เห็นว่าตอนนี้เผ่าแสงดาวของข้าก็เหลือจะรับแล้ว โอ้ จ้าวหิมะเหินรีบจากไปโดยเร็วก็จะเป็นการดีที่สุด มิฉะนั้นก็จะถูกเผ่าแสงดาวของข้าลากให้มาติดร่างแหไปด้วย ก็จะยิ่งรู้สึกผิดต่อจ้าวท่านเข้าไปใหญ่”
“ที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามอย่างสงสัย “โลกแสงดาวจะเผชิญกับการโจมตีได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยปะกับเผ่าเซวี่ยเหยียนมาก่อนแล้ว พวกเขาก็เผชิญกับการโจมตีเช่นเดียวกัน บ้านเกิดก็ยังถูกยึดครองไปแล้วด้วย ก็ได้แต่หนีเอาชีวิตรอดอยู่ข้างนอกเท่านั้น”
“นี่ล้วนเป็นเพราะ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ทั้งสิ้น” ประมุขแสงดาวพูด “ข้าก็รู้จักเผ่าเซวี่ยเหยียน ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่อยากตกเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอ ดังนั้นจึงได้ถูกโจมตี แม้กระทั่งพี่เซวี่ยเหยียนก็ยังตายเพราะการต่อสู้ ได้ยินว่ามีเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งที่เซวี่ยเหยียนจี้พาไปด้วยเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ เผ่าแสงดาวของข้าก็ไม่อยากตกเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอเช่นเดียวกัน”
“เฮอะ” ผู้อาวุโสหน้าดำอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ก็แค่นเสียงเฮอะเยียบเย็นเช่นเดียวกัน “อยากจะทำลายเผ่าโลกแสงดาวของพวกเรา ลูกน้องที่จักรพรรดิเป่ยเหอส่งมาก็ต้องตายกันเป็นกลุ่มใหญ่ โลกหลายแห่งยอมสวามิภักดิ์ ก็ต้องดูว่าที่แท้แล้วจักรพรรดิเป่ยเหอจะยอมตัดใจสูญเสียลูกน้องได้มากมายสักเพียงใดกัน”
“ถูกรังแกกดขี่เป็นทาส ก็ยังมิสู้ต่อสู้จนตัวตายหรอก!” ผู้อาวุโสผมเงินร่างอ้วนพีก็เอ่ยอย่างเรียบเรื่อย
ประมุขแสงดาวมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวหิมะเหิน เจ้าก็ไม่ต้องถามอะไรให้มากความอีกแล้วล่ะ พอกินเสร็จข้าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะลอยคว้างกับเจ้าจำนวนหนึ่ง แล้วเจ้าก็รีบจากไปให้เร็วที่สุดเลยนะ อย่าได้ถูกพวกเราลากมาลำบากด้วยเลย”
………………………………………………..