Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 26 จัดการระดับจักรพรรดิ
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 26 จัดการระดับจักรพรรดิ
แม่ทัพเทพโครงกระดูกมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสำรวจตรวจตรา มุมปากแฝงรอยยิ้มหยอกเย้าเอาไว้ “ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาอย่างเจ้าคนหนึ่ง ไม่ยอมบำเพ็ญให้ดีๆ แต่กลับมายังหุบเขาเขี้ยวหักแล้วสอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องของเผ่าชนพื้นเมือง อาจหาญไม่เบาจริงๆ ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนบัดนี้ ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาที่เข้ามายังเทือกเขานี้ก็ล้วนแต่นะมัดระวังกันทั้งนั้น มีแต่เจ้าเท่านั้นที่กล้าดีถึงเพียงนี้! แม้ข้าและแม่ทัพเทพคนอื่นๆ จะมิอาจผ่านสิ่งกีดขวางแล้วเข้าสู่ดินแดนจิตโลกาได้ แต่การจะส่งคนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเข้าไปในดินแดนจิตโลกานั้นก็ทำได้สบายนัก!”
“อ้อ ข้าตั้งตารอคอยเลยล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มอย่างสงบ
แม่ทัพเทพโครงกระดูกเห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยิ้มเยาะ “ทำไมรึ อาศัยว่าค่ายกลเมืองหิมะเหินของเจ้ายอดเยี่ยมนักอย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดให้มากความ
เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิหรือ
ก็แค่ระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ของเกาะลอยคว้างแห่งแรกที่ตนไปบุกฝ่าเท่านั้น! เมื่อวิเคราะห์จากการทดลองของตน แม้โดยรวมแล้ว สติปัญญาของเผ่าชนพื้นเมืองจะสูงกว่าเผ่ามรณะทมิฬมากนัก แต่ในด้าน ‘การบำเพ็ญจิต’ ของพวกเขาก็แตกต่างกับผู้บำเพ็ญอย่างชัดเจนมาก ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
“ร่างแยกมากมาย อาศัยว่ามีเมืองหิมะเหิน ก็โอหังถึงเพียงนี้ ไม่ดูเลยว่าตนมีพลังสักแค่ไหนกัน” แม่ทัพเทพโครงกระดูกคร้านจะพูดให้มากความ บรรดาผู้ไร้เทียมทานระดับยอดในเผ่าชนพื้นเมืองของพวกเขาไม่เห็นผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
พวกเขามีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่างจากผู้อื่นโดยกำเนิด
สายตาของแม่ทัพเทพโครงกระดูกหยุดลงที่ร่างของประมุขแสงดาวและผู้อาวุโสกลุ่มนั้น “แสงดาว อย่าหาว่าจักรพรรดิไม่ให้ทางรอดกับเจ้าก็แล้วกัน ตอนนี้มีทางสองสายให้พวกเจ้าเลือกเดิน”
ประมุขแสงดาวและบรรดายอดฝีมือคนอื่นๆ ของเผ่าแสงดาวต่างก็สั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ
ทางสองสายหรือ
เห็นทีจักรพรรดิเป่ยเหอจะยังคงใส่ใจชีวิตของเชลยเหล่านั้นอยู่เล็กน้อย
“ทางแรก ก็คือดื้อดึงต่อต้านต่อไป ข้าก็จะลงมือทำให้เผ่าแสงดาวของพวกเจ้าถูกทำลายไป เฮอะๆ สายเลือดของเผ่าชนพื้นเมืองมีมากมายยิ่งนัก สายเลือดที่อ่อนแออย่างสายเลือดแสงดาวก็ควรจะสลายหายไปได้แล้ว ปล่อยให้สายเลือดที่แข็งแกร่งกว่าดำรงอยู่ต่อไปในโลกใบนี้” แม่ทัพเทพโครงกระดูกพูดเสียงเรียบ “ข้าล่ะรอคอยให้พวกเจ้าเลือกทางสายนี้เป็นอันมาก”
บุคคลระดับสูงของเผ่าแสงดาวต่างก็โศกเศร้า แต่กลับข่มกลั้นเอาไว้
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่งเสียงฮึดฮัดอยู่อีกด้านหนึ่ง
“ทางสายที่สอง ก็คือพวกเจ้าจะต้องสวามิภักดิ์ต่อองค์จักรพรรดิ! นอกจากนี้ประมุขแสงดาวและผู้อาวุโสทั้งเก้าจะต้องมุ่งหน้าไปยังโลกเป่ยเหอ เพื่อฟังการโยกย้ายขององค์จักรพรรดิ พร้อมกับมอบเชลยให้ด้วย จักรพรรดิก็จะสามารถรับรองได้ว่า พวกเจ้าเผ่าแสงดาวจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปภายในโลกใบนี้ได้ และนับจากนี้ไป ก็จะระดมพลยอดฝีมือจากโลกแสงดาวอย่างมากที่สุดเพียงแค่สิบคนเท่านั้น” แม่ทัพเทพโครงกระดูกกล่าว
“เป็นไปไม่ได้”
“ฝันไปเถอะ”
“เช่นนั้นก็ทำศึกกันเถอะ ไหนๆ ก็เตรียมพร้อมแล้วนี่ หากเอาไว้ไม่ไหวเมื่อไหร่ ก็สังหารเชลยทั้งสามสิบคนทิ้งเสียก่อน”
คนของทางเผ่าแสงดาวต่างก็พากันคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
นี่คือเรื่องที่พวกเขามิอาจประนีประนอมได้! การบำเพ็ญนั้น ใฝ่หาสิ่งใดกัน ใฝ่หาความอิสระเสรีน่ะสิ! อิสระอย่างเต็มที่! ผู้ใดจะอยากเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอไปตลอดกาลกันเล่า หากรับปากแล้ว เช่นนั้นเผ่าแสงดาวก็จะดิ้นไม่หลุดจากการควบคุมของจักรพรรดิเป่ยเหอไปตลอดกาล
“โง่เง่า พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตาย หรือว่าพวกเจ้าเผ่าแสงดาวอยากจะทำลายเผ่าพันธุ์กัน” ผู้นำทั้งห้าเผ่าต่างก็ร้อนใจขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาทั้งห้าเผ่ามียอดฝีมือระดับยอดถึงสามสิบกว่าคนที่ถูกจับไปเป็นเชลย พวกเขาไม่อยากเห็นการแตกหัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทรยศจักรพรรดิเป่ยเหอ จึงได้แต่หวังว่าเผ่าแสงดาวจะยอมสวามิภักดิ์
“หากพวกเจ้าขัดขวาง เมืองต้องล่ม เผ่าต้องสลายอย่างแน่นอน!”
“ประมุขแสงดาว หรือว่าพวกเจ้ารักตัวกลัวตาย เสียสละพวกเจ้าแค่สิบคน ทั้งเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าก็จะเป็นอิสระ!”
ผู้นำทั้งห้าเผ่าพากันแค่นเสียงด้วยความโมโห
“น่าขันนัก เผ่าพันธุ์ล่มสลายหรือ อาศัยแค่พวกเจ้าน่ะนะ” ประมุขแสงดาวแค่นเสียงเฮอะด้วยความโกรธเกรี้ยว
“หากพวกเราคิดจะหนีไปจริงๆ ก็คงจะหนีไปจากโลกแสงดาวตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าไม่อยากจากบ้านเกิดไปก็เท่านั้นเอง” บรรดาผู้อาวุโสด้านข้างก็พูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
“น้องหิมะเหิน ทำตามที่พูดกันเอาไว้ก่อนหน้านี้แหละ หากต้านทานไม่ไหว เผ่าแสงดาวของข้ามีสองกองด้วยกัน ก็รบกวนเจ้าช่วยสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาพาพวกเขากลับไปยังดินแดนจิตโลกาด้วย” ประมุขแสงดาวเอ่ยปากออกมาเสียงดังกังวานอย่างคร้านจะปิดบัง
“วางใจเถิด ข้าต้องทำได้อย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
หากท้ายที่สุดมิอาจต้านทานได้ขึ้นมา
บรรดดาผู้ที่อ่อนแอก็จะแบ่งเป็นกองกำลังย่อยๆ แล้วเริ่มหลบหนีไป! ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในหอสุรา ประมุขแสงดาวก็ได้ขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือ
อันที่จริงแล้ว ในประวัติศาสตร์มีชาวเผ่าชนพื้นเมืองที่อ่อนแอหนีไปยังดินแดนจิตโลกามากมายนัก เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้วมักจะปิดบังตัวตน ผู้บำเพ็ญโดยทั่วไปจึงไม่ทราบ! อย่างตอนที่ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ อ่อนแอก็เคยหนีเข้ามาในดินแดนจิตโลกา
แต่ทว่า…
เผ่าชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬ ทั้งสองเผ่านี้ล้วนแต่มีเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมที่จำกัดมาก
เผ่ามรณะทมิฬแทบจะรั้งอยู่ในเกาะลอยคว้างมานานแสนนาน ภายในเกาะลอยคว้าง เมื่อเทียบกันแล้วพลังของพวกมันก็ยกระดับได้ง่ายกว่า ถึงขั้นมีแต่อยู่ในเกาะลอยคว้างเท่านั้น เผ่ามรณะทมิฬจึงจะสามารถวิวัฒน์ไปได้!
เช่นเดียวกัน มีแต่โลกชนพื้นเมืองที่ถือกำเนิดขึ้นในหุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้น จึงจะสามารถวิวัฒน์ไปและรอดชีวิตในโลกได้ หากไปยังดินแดนจิตโลกา ล้วนมิอาจวิวัฒน์ได้! สายเลือดสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันแข็งแกร่งภายในกายของพวกเขา ทำให้พวกเขามิอาจมีทายาทสืบสกุลในดินแดนจิตโลกาได้ นอกจากนี้หากไม่มีโลกบ้านเกิด พลังก็จะยกระดับยากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า นอกเสียจากจะมีสมบัติล้ำค่าที่ไร้เทียมทาน
อย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ ผู้ไร้เทียมทานเพียงหนึ่งเดียวแห่งเผ่าเซวี่ยเหยียนของพวกเขา ทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้ผลวิญญาณทิพย์มา แต่สมบัติล้ำค่าระดับนี้ได้มายากเกินไปแล้ว
มิอาจวิวัฒน์ได้ พลังก็ยกระดับได้ยากลำบากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า เมื่อเวลาผ่านไป ชาวเผ่าก็จะกระจายตัวออกจากกัน บ้างก็ได้ทีรวมเข้ากับผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาเสียเลย หรือไม่ก็แอบเข้าไปในโลกชนพื้นเมืองอื่นๆ แล้วหลอมรวมเข้ากับโลกอื่น…และนี่ก็คือสาเหตุว่า เหตุใดเมื่อไร้โลกบ้านเกิด เผ่าหนึ่งๆ จึงต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปในท้ายที่สุด
“ช่างโง่เง่าเสียจริง ไม่รู้จักประมาณตนเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกยิ้มเย็น แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย
“พวกเจ้าห้าคนลงมือเถิด” แม่ทัพเทพโครงกระดูกเอ่ยปาก “ฆ่าให้เกลี้ยง! ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วเผ่าแสงดาวนี่จะทนได้สักกี่น้ำกัน จะยืนหยัดได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว”
“ขอรับ”
ผู้นำทั้งห้าเผ่าทั้งโกรธทั้งร้อนใจ
“แสงดาว หากวิงวอนตอนนี้ยังทันนะ!” บุรุษผิวสีแดงเพลิงหน้าตาอัปลักษณ์แค่นเสียงด้วยความโมโห
“วิงวอนรึ เฮอะๆ” ประมุขแสงดาวหัวเราะเสียงเย็นชา
“รีบลงมือ” แม่ทัพเทพโครงกระดูกขมวดคิ้วพลางเร่งเร้า
ผู้นำของทั้งห้าเผ่ามองสบตากัน
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามัน!”
พวกเขาทั้งห้ามีเพลิงโทสะแน่นเต็มอก พวกเขามั่นใจว่าจะทำลายเผ่าแสงดาวทิ้งได้ เนื่องจากเบื้องหลังพวกเขายังมีแม่ทัพเทพอีกสามท่านอยู่! แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถเห็นได้ล่วงหน้าก็คือ…เผ่าแสงดาวคงจะทำลายยอดฝีมือระดับยอดสามสิบคนของทั้งห้าเผ่าอย่างเด็ดขาด
ตู้มๆๆๆๆ!!!!!
ผู้นำทั้งห้าเผ่ามีพลังกล้าแกร่ง หากอยู่ภายในโลกบ้านเกิดของตน พวกเขาแต่ละคนก็ล้วนสามารถเทียบกับประมุขแสงดาวได้ แม้อยู่ที่นี่จะไม่มีพลังของโลกคอยช่วยส่งเสริม แต่ทั้งห้าคนร่วมมือกันก็น่าหวาดหวั่นพอสมควร
“ล้มเสียเถอะ!” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายคมกล้ากะพริบวาบ
เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมไป โลกแห่งหมื่นภาพเจิดจ้าขึ้นมา เหนี่ยวนำความปรารถนาต่างๆ ณ ส่วนลึกของจิตใจออกมา ผู้นำทั้งห้ารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งที่ตนใฝ่หาอยู่ตรงหนน้า เพียงแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น! ภายใต้การชักนำของพละกำลังอันไร้รูปร่าง วิญญาณก็จมดิ่งลงไปยังโลกลวงนั้น มีเพียงดวงตาตรงหว่างคิ้วของคนสามตาเท่านั้นที่เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า สีหน้าลุ่มหลงในตอนแรกกลับเผยสีหน้าดิ้นรนออกมา เขาเบิกตากว้าง แล้วเปล่งเสียงตะโกนออกมาว่า “ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย!!!”
ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ ทั้งยักษ์แปดกร ทั้งสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงู…แม้พวกเขาแต่ละคนจะมีท่าทีสูงส่งเทียมฟ้า และเริ่มสำแดงกระบวนท่าออกมาแล้ว จากนั้นอานุภาพในมือก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเผยสีหน้าลุ่มหลงมัวเมาออกมา ร่างกายก็พลันอ่อนยวบลงไป จากนั้นก็ล่องลอยไปตามความเคยชิน
ท่าไม้ตายที่หนึ่งของวิถีเขตลวงโลกเทียม…โลกลวง อันเฉิดฉาย!
โลกเฉิดฉายและชวนลุ่มหลง!
เพียงพริบตาเดียวผู้นำสี่คนจากห้าคนก็ล้มลงอย่างไร้แรงต้านทาน มีเพียงผู้นำสามตาคนนั้นที่ยังครองสติไว้ได้ส่วนหนึ่ง
และก่อนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะออกกระบวนท่าก็ได้ถ่ายเสียงพูดกับประมุขแสงดาวข้างๆ แล้วว่า “พี่แสงดาว ข้าจะสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณจัดการกับพวกเขา ต่อให้พวกเขาไม่ล้มลง พลังก็จะต้องเสียหายเป็นอย่างมาก ท่านก็ต้องออกกระบวนท่าทันที แล้วจับพวกเขาเอาไว้ให้ได้โดยเร็วที่สุด!”
เดิมทีประมุขแสงดาวยังคงสงสัยอยู่ในใจ
สามารถจัดการระดับอ๋องได้หรือ หรือว่าจะสามารถจัดการกับระดับจักรพรรดิได้ด้วย ในเผ่าชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬ ระดับอ๋องที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ วิญญาณก็ล้วนแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ ระดับจักรพรรดิก็เป็นระดับขั้นที่สูงที่สุดของพวกเขาแล้ว
“อะไรกัน! ล้มลงไปแล้ว ล้มลงไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ” ประมุขแสงดาวถลึงตาอ้าปากค้าง แต่ไหนแต่ไรมา ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีระดับจักรพรรดิที่จมจ่อมไปกับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณมาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว! หากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิงเตือนเอาไว้ก่อน ประมุขแสงดาวจะต้องตกตะลึงจนมีปฏิกิริยาโต้ตอบไม่ทันแน่นอน เคราะห์ดีที่เตือนเอาไว้ก่อน ประมุขแสงดาวจึงออกกระบวนท่าไปในทันที ฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้าซึ่งเกิดจากแสงดาวรวมตัวกันตะปบตรงไปทางผู้นำทั้งห้าเผ่านั้นเสียงดังฟิ้ว
…………………………………………..