Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 15 บรรพเทวะคละถิ่น
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 15 บรรพเทวะคละถิ่น
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางทุ่งร้าง พลางเงยหน้ามองเรือใหญ่สูงตระหง่านกลางฟากฟ้า บนเรือใหญ่มีธงสองผืนโบกสะบัด บนธงสองผืนนั้นต่างก็มีตัวอักษรสองตัวที่แตกต่างกันอยู่ แม้เขาจะเข้าใจเพียงแค่ภาษาพูดของโลกใบนี้เท่านั้น โดยไม่รู้ว่าตัวอักษรเขียนอย่างไร แต่เมื่อได้เห็นอักษรสองตัวนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเข้าใจความหมายของอักษรเหล่านี้
เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นถึงระดับที่ลึกล้ำอย่างยิ่งแล้ว ตัวอักษรยังแฝงไว้ด้วยความพิสดารอันไร้ที่สิ้นสุด
อักษรสองตัวบนธงผืนหนึ่งมีความหมายคือ ‘จวิ้นซาน’ ส่วนอักษรสองตัวบนธงอีกผืนหนึ่งคือ ‘อวี้เฟิง’
“เป็นวิธีสำรวจที่แปลกประหลาดนัก” เมื่อชายชราท่าทางเยียบเย็นบนเรือใหญ่กลางฟากฟ้าลืมตาดวงที่สามขึ้นมา แล้วนัยน์ตาสีเขียวมรกตเหลือบมองลงมาเบื้องล่างนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุทะลวง แน่นอนว่าวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขามิได้รับผลกระทบแต่อย่างใด หากตั้งใจก็สามารถเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงได้ แต่เขาก็ยังจงใจเผยออกมาบางส่วน
เขาเก็บงำทางด้านวิญญาณเล็กน้อย ส่วนความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนั้น หรือว่าเหล่าทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่ลำนั้น รวมทั้งยอดฝีมือเช่นชายชราท่าทางเยียบเย็นและคนอื่นๆ แทบทุกคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ดังเช่นร่างกายของชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นั้น ความแข็งแกร่งของกลิ่นอาย…ยังเหนือกว่าตนเสียอีก!
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นเงาร่างหกสายก็ถลาลงมาจากเรือใหญ่ลำนั้น นำโดยชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นั้นนั่นเอง ด้านหลังเขามีพลทหารห้านาย ชายชราท่าทางเยียบเย็นมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ข้าและคนอื่นๆ เป็นคนสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง เห็นเจ้าอยู่ท่ามกลางความรกร้างเพียงลำพัง อีกทั้งร่างกายยังดูเหมือนจะบาดเจ็บสาหัสด้วย อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีมาตลอด คุณหนูของข้าใจดีอยากช่วยเหลือเจ้า อยากจะพาเจ้าไปด้วย เจ้ายินดีจะตามข้าและคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังเมืองจวิ้นซานหรือไม่”
“ข้ากำลังรับมือกับอันตรายอันหนักหน่วงต่างๆ อยู่พอดี หากสามารถหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ ย่อมยินดีอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นมาก่อนแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
เขาต้องการสถานที่เงียบสงบและปลอดภัยแห่งหนึ่งเพื่อบำเพ็ญให้ดีๆ เพื่อยกระดับพลังให้ได้โดยเร็วที่สุด
อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องการรวมกลุ่มเข้ากับเหล่าผู้แกร่งกล้าของโลกใบนี้ เพื่อจะได้เข้าใจโลกใบนี้ให้ถ่องแท้มากขึ้น
“เจ้ามีนามว่าอะไร และมาจากไหนหรือ” ชายชราท่าทางเยียบเย็นถาม
“ข้าน้อยหิมะเหิน ไม่มีบ้านอะไรหรอกขอรับ ข้าบุกฝ่าไปตามลำพังตัวคนเดียวมาตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ
ชายชราท่าทางเยียบเย็นพยักหน้าน้อยๆ “ก็ถูกต้องแล้ว บ้านเกิดของผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าก็คงจะมาจากมิติสักแห่งในโลกล่าง หิมะเหิน เจ้าสามารถเรียกข้าว่าพ่อบ้านอวิ๋นได้ ตอนนี้ตามข้ามาเถอะ”
ชายชราท่าทางเยียบเย็นพูดพลางพาพลทหารทั้งห้านายทะยานมุ่งหน้าไปยังเรือใหญ่กลางฟากฟ้าลำนั้นอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตามไปแล้วบินไปพร้อมกันทันที
เมื่อบินขึ้นไปบนเรือใหญ่
“ข้าคืออวี้เฟิงชิงอิน” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนผู้หนึ่งนัยน์ตาเป็นประกาย นางมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสนอกสนใจ พลางพูดยิ้มๆ ว่า “ได้ยินพ่อบ้านอวิ๋นบอกว่า เจ้าเป็นผู้เหินทะยานหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
ผู้เหินทะยานหรือ
นั่นคือสิ่งใดกัน
เมื่อครู่พ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้นก็พูดถึงผู้เหินทะยานเช่นกัน แต่ห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเต็มไปด้วยความมึนงง ยามนี้สตรีที่เห็นได้ชัดว่ามีศักดิ์ค่อนข้างสูงส่งผู้นี้ถามขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำได้เพียงยิ้มรับเท่านั้น
“นี่คือคุณหนูสามของบ้านข้า” นัยน์ตาเยียบเย็นของพ่อบ้านอวิ๋นมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ที่ยอมช่วยเหลือเจ้า และพาเจ้าไปจากที่นี่ด้วยกัน ล้วนแต่เป็นคำสั่งของคุณหนูสามทั้งสิ้น”
“หิมะเหินขอบคุณคุณหนูสามที่ช่วยชีวิตเอาไว้ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นทันที
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย” คุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้นี้กลับไถ่ถามต่อว่า “ได้ยินมาว่าบ้านเกิดของผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าแตกต่างกับโลกเทพของพวกเราอย่างสิ้นเชิง เจ้าเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากรู้มากมาตลอด น่าเสียดายที่ชาวโลกเทพอย่างพวกเรามิอาจไปยังโลกล่างได้”
“แค่กๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันกระแอมไอขึ้นมาหลายที สีหน้าแดงก่ำ มุมปากมีรอยเลือดจางๆ
ทำได้เพียงแสร้งได้รับบาดเจ็บเท่านั้น!
เขาไม่กล้าตอบเลย! เพราะถึงอย่างไรตนก็ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผู้เหินทะยานหรือโลกเทพเลย หากตอบไปส่งเดชแล้วเผยพิรุธออกมา ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะส่งผลอะไรตามมา ดูท่าแล้ว กองกำลังนี้คงจะมีที่มาไม่ใช่ย่อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีติดต่อกับตระกูล หากตนความแตกขึ้นมา เกรงว่าตระกูลของอีกฝ่ายคงจะล่วงรู้ทันที หากเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ก็คงไม่ดีต่อตนเองเอามากๆ
เก็บเนื้อเก็บตัวเสียหน่อย แล้วพยายามเข้ากับโลกใบนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดจะดีกว่า
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ ต้องให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางพ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ “พ่อบ้านอวิ๋น ท่านลองดูทีว่าพอจะมีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้หรือไม่”
“อาการบาดเจ็บของเขาพิเศษมาก ข้ามองให้มะลุปรุโปร่งมิได้เลย รู้เพียงว่าแม้ร่างกายของเขาจะพยายามข่มเอาไว้ แต่ก็ไม่มีทางหายดีอย่างสิ้นเชิงได้” พ่อบ้านอวิ๋นส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก ก่อนหน้านี้ข้ามิอาจเยียวยาอาการบาดเจ็บได้ทั้งกายทั้งใจมาตลอด ขอเพียงอยู่ในที่ปลอดภัย แล้วบำเพ็ญให้ดีๆ สักยกหนึ่ง ใช้เวลาสักหน่อยก็สามารถฟื้นฟูได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
โดยทั่วไปแล้วพลังชีวิตของผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งล้วนแกร่งกล้าหาใดเปรียบ พลังฟื้นฟูก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพูดว่าตนสามารถจัดการเองได้ ทุกคนก็เชื่อหมด
“อื้ม เช่นนั้นเจ้าระวังหน่อยก็แล้วกัน” คุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ กำชับ “พ่อบ้านอวิ๋นรีบเตรียมที่ทางให้เขาพักผ่อนเร็วเข้า ให้เขาได้รักษาอาการบาดเจ็บให้ดีๆ หน่อย”
“ขอรับ คุณหนูสาม” พ่อบ้านอวิ๋นรับคำ
…
เอี๊ยดด…
ณ ห้องเดี่ยวห้องหนึ่งที่ไม่สะดุดตาอันใดภายในเรือใหญ่ พ่อบ้านอวิ๋นผลักประตูเข้ามาแล้วพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าอยู่ห้องนี้ก็แล้วกัน อ้อ แล้วก็คุณหนูสามมีนิสัยใจดี ไม่เหมือนกับผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าที่ไต่ขึ้นมาจากความอ่อนแอทีละขั้นๆ แต่ละคนล้วนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เจ้าอย่ามาเล่นลูกไม้เจ้าเล่ห์อะไรกับคุณหนูสามล่ะ คุณหนูสามอาจจะถูกเจ้าหลอกได้ แต่เข้าหลอกข้ามิได้หรอก หากกล้าหลอกตระกูลจวิ้นซานอวี้เฟิงเจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถมาก เข้าใจแล้วหรือไม่”
“พ่อบ้านอวิ๋นวางใจเถิด คุณหนูสามมีบุญคุณช่วยชีวิตข้า ข้าจะตอบแทนบุญคุณยังไม่ทันเลย ไหนเลยจะเอาความแค้นไปตอบแทนบุญคุณได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ
“เฮอะ คนที่เอาความแค้นไปตอบแทนบุญคุณนั้นมีมากมายถมไป วาจาข้าก็ได้พูดไปแล้ว เจ้าจำเอาไว้ในใจให้ดีก็แล้วกัน” พ่อบ้านอวิ๋นมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น จากนั้นก็หมุนกายจากไป
ประตูปิดลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงไปเพียงลำพัง จึงนับว่าถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้
ตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในโลกแห่งนี้ก็เป็นเวลาที่อ่อนแอและสับสนที่สุด ที่กลัวที่สุดก็คือหากประมาทแล้วความแตก ก็อาจจะดึงดูดศัตรูจำนวนมากขึ้นมา หรือแม้กระทั่งยิ่งก่อเรื่องก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้ที่สามารถเข้ามายังสถานที่ต้องห้าม ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้และเลือกการห้ำหั่นครั้งสุดท้ายเหล่านั้นล้วนถูกหยวนส่งมาที่นี่! สถานที่ระดับนี้จะปกติทั่วไปได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “อย่างน้อยก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถคุกคาม ‘ยอดเคารพ’ ระดับจักรพรรดิที่ครบสมบูรณ์ได้อยู่บ้างกระมัง”
เมื่ออยู่ในสถานที่ระดับนี้ เพิ่งเริ่มต้นก็ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวเอาไว้หน่อยจะดีกว่า
…
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บนเรือ ก็มิได้ค้นความทรงจำของผู้อื่น เพื่อป้องกันมิให้ถูกจับได้
เขาเพียงแค่ใช้วิธีการง่ายๆ บางอย่างของ ‘เขตลวงโลกเทียม’ ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อเขา และจงใจดึงดูดให้คนบางคนเล่าเรื่องราวมากมายออกมา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ รู้สถานการณ์บางอย่างขึ้นมา เรื่องเกี่ยวกับ ‘ผู้เหินทะยาน’ เขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง
“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา “โลกใบนี้คือโลกเทพอย่างนั้นหรือ ยังมีมิติระดับต่ำอื่นๆ อีกมากมาย ถูกพวกเขาเรียกว่าโลกล่าง โลกล่างมีมิติตั้งมากมาย ผู้แกร่งกล้าที่สุดในจำนวนนั้นจึงจะมีหวังเหินทะยานมาถึงโลกเทพได้อย่างนั้นหรือ”
“พี่หิมะเหิน”
ผู้ที่กำลังพูดคุยกับตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือทหารคุ้มกันที่ยืนอยู่ข้างกราบเรือ ทหารคุ้มกันก็ว่างเสียจนเบื่อหน่าย เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็แค่เคยได้ยินเรื่องผู้เหินทะยานอยู่บ้างเท่านั้น ท่านคือผู้เหินทะยานคนแรกที่ข้าได้พบเสียด้วยซ้ำ! ตามตำนาน แม้จะมีผู้เหินทะยานมาถึงโลกเทพมิใช่น้อย แต่ก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกเทพอันกว้างใหญ่ไพศาล จึงย่อมกลายเป็นหาได้ยากเป็นธรรมดา บวกกับต่อให้อยู่ตรงหน้า พวกข้าก็จำแนกไม่ออก! ครั้งนี้เป็นเพราะมีพ่อบ้านอวิ๋นอยู่ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ของพ่อบ้านอวิ๋นมองออกว่าพี่หิมะเหินไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่น จึงมั่นใจว่าท่านคือผู้เหินทะยาน”
“ข้าติดค้างพ่อบ้านอวิ๋น เพราะท่านข้าจึงสามารถขึ้นมาบนเรือลำนี้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ในใจกลับแอบจำชื่อ ‘สายเลือดบรรพเทวะคละถิ่น’ เอาไว้ก่อนแล้ว
ไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นก็เป็นผู้เหินทะยานแล้วอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้น เดิมทีชาวโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนแต่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นกันหมดอย่างนั้นหรือ
บรรพเทวะคละถิ่นผู้นี้…เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือ สิ้นใจไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่หนอ
หากเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นโลกใบนี้ก็ออกจะน่ากลัวอยู่บ้างแล้ว!
“ท่านต้องขอบคุณคุณหนูสาม เคราะห์ดีที่เป็นคุณหนูสาม คุณหนูสามเป็นคนดีจึงช่วยเหลือท่าน” ทหารคุ้มกันผู้นั้นเอ่ย “หากมิใช่เพราะคุณหนูสามเอ่ยปาก พ่อบ้านอวิ๋นไหนเลยจะเปลืองแรงจงใจสำแดงตาทิพย์ออกไปสำรวจท่านได้เล่า”
……………………………………