Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 34 ฆ่าทิ้งเสียเลยเป็นดี
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 34 ฆ่าทิ้งเสียเลยเป็นดี
กลางราตรีอันมืดมิด ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นเส้นสายเล็กละเอียดมุ่งหน้าไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
“ตู้ม” “แคว่ก…”
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพลันปะทุออกมาเบื้องหน้า
“เริ่มประมือกันแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางทอดสายตามองไปยังสายน้ำที่ทอดตัวออกไปไกล สายน้ำนั้นกว้างแปดร้อยลี้ ทั้งยังคดเคี้ยวทะลุทะลวงไปทั่วทั้งเมืองเจียงหยวน มีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่เหนือผิวน้ำนี้ ยามนี้อาภรณ์สีดำของ ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ อันตรธานไป เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเขา หลังของเขาค้อมลงเล็กน้อย ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย กรงเล็บคมกริบคู่หนึ่งยังคว้าหอกยาวเอาไว้ด้วย
ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ เกราะเหนือผิวกายของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับมีลำแสงสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น
“กาเหว่าภูษา ไปตายเสียเถอะ” แสงสีทองกะพริบวาบคราหนึ่ง ค้อนใหญ่เล่มหนึ่งก็ทุบลงมาอย่างกราดเกรี้ยว บุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งเปล่งแสงสีทองออกมาจากทั่วร่าง อานุภาพสูงเทียมฟ้า
จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับตั้งหอกยาวขึ้นมา สกัดกั้นค้อนที่น่าหวาดหวั่นนี้เอาไว้ แต่กลับยังคงถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไปหลายลี้ สายน้ำรอบกายก่อตัวเป็นคลื่นขนาดมหึมาขึ้นมา
“พลังของกาเหว่าภูษานี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว” บุรุษร่างกำยำซึ่งมีแสงสีทองอาบไล้ไปทั่วร่างเห็นเข้ากลับสีหน้าเปลี่ยนแปรไป เขาเป็นหัวหน้าของสามพี่น้องโลหิตทมิฬซึ่งฝึกฝนพละกำลังอันเหิมเกริมหาใดเปรียบออกมา ที่ผ่านมาเขาไล่สังหารหลายครั้ง แม้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาจะนับได้ว่ามีร่างกายแข็งแกร่ง แต่กลับไม่กล้าต้านทานกระบวนท่าของเขาซึ่งหน้าเลย ตอนนี้กลับต้านทานขึ้นมา และเพียงแค่ถอยหลังไปหลายลี้เท่านั้นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย!
“ฟิ้ว!”
แสงสีเขียวอันแปลกประหลาดสายหนึ่งแทงลงบนร่างของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาที่กระเด็นถอยไป ลำแสงสีดำเหนือผิวของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับแข็งแกร่งทนทานหาใดเปรียบและสามารถต้านทานการแทงครั้งนี้ได้อย่างสิ้นเชิง แสงสีเขียวอันแปลกประหลาดนั้นก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา…เป็นชายหนุ่มท่าทางเย็นชาที่ถือกริชเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ในมืออีกข้างก็ยังถือกริชเอาไว้อีกเล่มหนึ่ง
ยามนี้ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาผู้นี้ก็เผยสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา “แทงไม่ทะลุหรือนี่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า บัดนี้ข้าสามารถควบคุมไข่มุกทองคำดำได้แล้ว และยังได้อาศัยมันสร้าง ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ ขึ้นมาอีกด้วย พวกเจ้าสังหารข้ามิได้หรอก ฮ่าฮ่า” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาหัวเราะดังลั่น ที่ผ่านมาเขามีชื่อเสียงด้านการป้องกันของเกราะเกล็ดอันแข็งแกร่ง แต่พี่น้องโลหิตทมิฬร้ายกาจยิ่งนัก พละกำลังอันเหิมเกริมหาใดเปรียบของพี่ใหญ่ล้วนกระแทกเขาจนได้รับบาดเจ็บจนต้องกระอักโลหิตออกมาทุกครั้ง การแทงสังหารทั้งหลายของเจ้าสามก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เช่นกัน
เคล็ดวิชาที่เขาใช้ปรับปรุงตนเองให้สมบูรณ์ รวมทั้ง ‘ไข่มุกทองคำดำ’ และคัมภีร์สามเล่มนั้นที่ซื้อมาจากงานชุมนุมประมูลสมบัติ ในที่สุดอาศัยพละกำลังของไข่มุกทองคำดำ ทำให้การป้องกันร่างกายของเขาบรรลุถึงระดับขั้นใหม่ เขาเรียกมันว่า ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’
“สังหารเจ้ามิได้รึ”
“วันนี้เจ้าต้องตาย”
พี่น้องโลหิตทมิฬบ้าคลั่งไปแล้ว พวกเขาเริ่มสำแดงวิธีการสู้สุดชีวิตต่างๆ ออกมา
ตู้มๆๆ…
คนหนึ่งเหิมเกริม คนหนึ่งแปลกประหลาด พวกเขาสองคนร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำเอาจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาแทบจะไร้เรี่ยวแรงต้านทาน แต่ ‘แสงสีดำ’ เหนือผิวกายของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาชั้นนั้นทนทานยิ่งนัก ต่อให้แทงทะลุแสงสีดำได้อย่างพอถูไถ อานุภาพที่หลงเหลืออยู่ก็เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น แทบจะคุกคามจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามิได้เลย
“เจ้าสาม ระวัง!” บุรุษร่างกำยำที่อาบไล้อยู่ภายใต้แสงสีทองสีหน้าเปลี่ยนแปรไป
เดิมทีชายหนุ่มท่าทางเย็นชายังคิดจะลอบโจมตีเข้ามาอีกครั้ง แต่สีหน้ากลับพลันเปลี่ยนแปรไป ท่ามกลางความว่างเปล่าด้านข้างพลันมีลมรวมตัวกันขึ้นมา กลายเป็นเงาร่างอันเลือนรางพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มท่าทางเย็นชา
ปัง!!!
เงาร่างอันเลือนรางนั้นพลันออกดาบกว่าหมื่นครั้งในชั่วพริบตา ดูแน่นขนัดประหนึ่งพายุคลั่งอย่างไรอย่างนั้น มือทั้งสองของชายหนุ่มท่าทางเย็นชาถือกริชไว้ข้างละเล่ม ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก็กะพริบวาบ สกัดกั้นประกายดาบอันบ้าคลั่งนั้นเอาไว้
“ฟึ่บ”
ท่ามกลางประกายดาบแน่นขนัด แสงโลหิตสายหนึ่งพลันวาบขึ้นมา
“อ๊ากกก” ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาร้องด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าสาม” บุรุษร่างกำยำรู้ก่อนแล้วว่าท่าไม่ดี จึงเร่งมาถึงในที่สุด เขาทุบค้อนลงไปเต็มแรงครั้งหนึ่งทันที ค้อนขนาดมหึมาขยายใหญ่ขึ้นตามลม ทุบไปทางเงาร่างอันเลือนรางนั้นเสียงดังโครมคราม
เงาร่างอันเลือนรางนั้นกลับถอยหลบไปทันทีโดยไม่กล้าต้านทาน พี่ใหญ่ของสามพี่น้องโลหิตทมิฬ…มีชื่อเสียงเกรียงไกรในบรรดายอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าต้านทานกระบวนท่าของเขา อย่างน้อยเขาก็ไม่กล้า
“เจ้าสาม เจ้าสาม” บุรุษร่างกำยำคว้าพี่น้องของตนเอาไว้ ร่างกายของชายหนุ่มท่าทางเย็นชาสั่นสะท้านเล็กน้อย ทั้งร่างแผ่ไอหมอกสีแดงโลหิตออกมา ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาขบกรามพลางพูดเสียงสั่นเครือว่า “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลยว่ากาเหว่าภูษาจะมอบ ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ นี้ให้ผู้อื่น”
เข็มพิษเงาโลหิตเป็นอาวุธที่ ‘เจ้าลัทธิเงาโลหิต’ ซึ่งจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของโลกเทพหลอมขึ้นมา ‘พิษเงาโลหิต’ ด้านบนนั้นสามารถใช้ได้ครั้งเดียว เมื่อแทรกซึมเข้าไปในร่างกายศัตรูแล้วก็จะหายวับไป แต่เนื่องจากใช้ได้ครั้งเดียวนั่นเอง…อานุภาพของเข็มพิษเงาโลหิตนี้จึงยิ่งใหญ่นัก! โดยทั่วไปแล้วเจ้าลัทธิเงาโลหิตจะมอบเข็มพิษเงาโลหิตให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาสักคนละสามอันห้าอัน
จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ได้รับเข็มพิษเงาโลหิตมาจำนวนหนึ่งด้วยความบังเอิญ!
“พี่รองถูกเข็มพิษเข้า พลังลดลงเป็นอย่างมากจนถูกเขาสังหาร” ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาขบกรามกรอด “คิดไม่ถึงว่าข้าก็จะถูกกระบวนท่าเข้าไปด้วย”
“เฟิงเซียว เจ้าถึงกับกล้าช่วยเหลือจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา ลงมือกับพวกเราหรือนี่” บุรุษร่างกำยำตะโกนด้วยความแค้นเคือง
เงาร่างอันเลือนรางนั้นก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เป็นบุรุษที่ผอมจนเหมือนหนังหุ้มกระดูกคนหนึ่ง เขาหัวเราะคิกคัก “พี่กาเหว่าภูษาให้ผลประโยชน์มากพอ เมื่อรับผลประโยชน์จากใคร ก็ย่อมต้องลงมือแทนเขา พี่น้องอย่างพวกท่านจะตำหนิข้ามิได้หรอก”
“ประเสริฐๆ”
สายตาของบุรุษร่างกำยำกวาดมองไปทางจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้มีแสงสีดำแผ่ออกมาจากผิวกายซึ่งอยู่ไกลออกไป “จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา เจ้ากล้ามอบเข็มพิษเงาโลหิตให้แก่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่อยู่ไกลออกไป โดยไม่กลัวจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวหันกลับมาลอบโจมตีเจ้าเลยหรือ”
จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษายิ้มหยัน
ด้วยนิสัยระมัดระวังของเขา หากไม่มีความมั่นใจมากพอ จะกล้ามอบสมบัติล้ำค่าในการลอบสังหารที่น่าหวาดหวั่นอย่าง ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ ให้แก่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวได้อย่างไรกัน
แม้เข็มพิษเงาโลหิตจะร้ายกาจ แต่ก็ต้องแทงเข้าไปในร่างกายก่อนถึงจะสามารถสำแดงเดชได้! แต่บัดนี้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาฝึก ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ จนสำเร็จ เขาเชื่อมั่นในตนเองว่าจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวมิอาจแทงทะลุร่างเขา และทำให้เขาบาดเจ็บได้ แล้วจะกลัวอะไรกันเล่า
“ครั้งนี้นับว่าเจ้ากาเหว่าภูษาโชคดี” บุรุษร่างกำยำไม่ยอมจำนนเป็นอย่างมาก เขากำหนดจิตคราหนึ่งก็เก็บพี่น้องของตนลงไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์
สวบ!
เขาแปรเป็นลำแสงแล้วทะยานออกไปไกลอย่างรวดเร็วทันที
จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวและจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็ มิได้ไล่ตามไปแต่อย่างใด เพราะพวกเขาเข้าใจดีมากว่าพี่ใหญ่ของพวกเขาเหล่าพี่น้องโลหิตทมิฬรับมือได้ยากเพียงใด… มีพละกำลังที่เหิมเกริมหาได้เปรียบ! ร่างกายแข็งแกร่งไม่แพ้ จักรพรรดิเทพช่วงกลางเลย! และนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวลอบลงมือกับเจ้าสามเท่านั้น มิได้ลงมือกับพี่ใหญ่เลย
“ในที่สุดพี่น้องโลหิตทมิฬนี่ก็ไปเสียที ถูกพวกเขาไล่สังหารมาตลอดจนอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้เลย” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผ่อนลมหายใจออกมา
“พี่กาเหว่าภูษา เจ้าสามของพี่น้องโลหิตทมิฬต้องพิษของเข็มพิษเงาโลหิตเข้า จะต้องคิดหาวิธีถอนพิษเงาโลหิตอย่างแน่นอน แต่การถอนพิษเงาโลหิต มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงจะไม่ได้มายุ่มย่ามกับท่านอีกพักใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นไม่อาจถอนพิษเงาโลหิตออกไปและสิ้นชีวิตในที่สุดก็เป็นได้” จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวพูดยิ้มๆ
“อื้ม” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาพยักหน้าน้อยๆ
เขาก็รอคอย
ทว่าเขาเข้าใจดีว่า พี่น้องโลหิตทมิฬจะต้องขอให้ยอดฝีมือคนอื่นช่วยเหลืออย่างแน่นอน แม้จะได้รับความยากลำบากอยู่บ้าง แต่คาดว่าก็คงจะสามารถถอนพิษได้ในท้ายที่สุด
“พี่น้องโลหิตทมิฬไปแล้ว ยังเหลือแมลงตัวจ้อยอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้จัดการ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากวาดตามอง “จ้าวเทพเมฆาเขียวออกมาเถิด”
“ออกมา!”
จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวก็โบกมือไปมา
ที่ฟ้าดินไกลออกไป พายุคลั่งจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับภูเขาแห่งหนึ่งกดดันลงไปบนต้นไม้ใหญ่ที่ตงป๋อเสวี่ยอิเร้นกายอยู่ต้นนั้น ปัง…ลำแสงสายหนึ่งกะพริบวาบแล้วทะยานจากมาอย่างรวดเร็ว ส่วนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นกลับกลายเป็นผุยผงไปเสียงดังโครมคราม ลำแสงทะยานมาถึงผิวน้ำก่อนจะกลายเป็นชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“คิดไม่ถึงว่าจะถูกพวกเจ้าพบเข้าจนได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวผู้นั้นด้วยความตกตะลึงแวบหนึ่ง เขาเข้าใจว่าเป็นจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวผู้นี้ที่พบเขาเข้า ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่างมิอาจดูแคลนได้เลยจริงๆ
จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับไม่เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย หากแต่มองไปรอบด้านพลางพูดเสียงดังลั่นว่า “ไม่ทราบว่าเป็นจักรพรรดิเทพท่านใด ปรากฏกายเสียเถิด! ทำไมรึ ได้แต่ให้จ้าวเทพใต้บังคับบัญชาเอาชีวิตมาทิ้งอย่างนั้นหรือ”
“ทั้งสองท่าน เบื้องหลังข้าไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
“ไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นหรือ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ไม่เชื่อเอาเสียเลย
จ้าวเทพคนหนึ่งกล้าตามมา เอาชีวิตมามอบให้หรือ
“บอกมานะ ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคือผู้ใดกัน หากพูดออกมาข้าอาจจะให้เจ้าได้ตายอย่างเป็นสุขเสียหน่อย” ใบหน้าเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยเกราะเกล็ดและรอยยับย่นของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นอัปลักษณ์มาก นัยน์ตาสีเหลืองดุจอำพันจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง เต็ฒไปด้วยแววโหดเหี้ยม
“เจ้าเล่ห์เพทุบาย ร้ายกาจเห็นแก่ตัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา “ตอนนั้น ในงานชุมนุมประมูลสมบัติ ข้าแลกเปลี่ยนกับเจ้าอย่างจริงใจ ทว่าต่อมาเมื่อสืบรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้า ก็รู้ว่าคนชั่วร้ายเช่นเจ้าสังหารไปเสียเลยจะดีกว่า! การมอบหยกแก้วคละถิ่นให้เจ้านั้นเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เสียดายก็แต่ว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในหอจิตฟ้ามาโดยตลอด ข้ามิอาจลงมือได้สะดวกในช่วงหมื่นปีนี้ คืนนี้เจ้าหนีออกมา ก็เป็นโอกาสดีที่ข้าจะได้กำจัดเจ้า วางใจเถิด ข้าน่ะวางแผนจะสังหารเจ้าจริงๆ อยู่แล้ว เจ้าก็อย่าได้คิดเพ้อเจ้อสะเปะสะปะว่าเบื้องหลังข้ามีจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อยู่ด้วย ”
“เจ้าจะสังหารข้าหรือ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษารู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก
เขาฝึกร่างทองคำดำไม่ดับสลายได้สำเร็จ พี่น้องโลหิตทมิฬก็มิอาจสังหารเขาได้ จ้าวเทพคนหนึ่งมาพูดจาใหญ่โต ไม่ละอายเลยหรือ
ต่อให้เป็นผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพ ระดับยอดสุดก็แค่เทียบได้กับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ เท่านั้นเอง
จ้าวเทพคนหนึ่งบอกว่าจะสังหารเขาอย่างนั้นหรือ
ช่างเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่งจริงๆ!
“เฮอะๆ เช่นนั้นเจ้าก็ตายเสียเลยเถิด! ข้าจะดูสิว่าหากสังหารแล้ว เบื้องหลังเจ้าจะมีจักรพรรดิเทพโผล่ออกมาหรือไม่” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาคร้านที่จะใช้อาวุธ ร่างกายพุ่งตรงออกไปแล้วกลายเป็นเงาราง ทิ้งร่องรอยคลื่นน้ำเอาไว้เหนือสายน้ำที่ทอดตัวยาวออกไป ทันใดนั้นก็พลันไปถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วตะปบกรงเล็บเข้ามาทันที
ส่วนจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่อยู่อีกข้างหนึ่งก็มองไปรอบด้านด้วยความระแวดระวัง แม้จะมิได้พบจักรพรรดิเทพคนอื่น แต่พวกเขากลับถือว่าอีกฝ่ายซ่อนเร้นลูกไม้ไว้ได้อย่างร้ายกาจ
…………………………………