Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 51 ประมุขวังทะเลปีศาจ
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 51 ประมุขวังทะเลปีศาจ
จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งตายแล้ว!
ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เปรียบเทียบกับนายท่านแห่งสมาคมจิตมารแล้ว จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งยังเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่มีอยู่เพียงแค่สามคนของ ‘ประมุขวังทะเลปีศาจ’ ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ (ยอดเคารพ) ก็ถูกสังหารเช่นนี้เสียแล้วหรือ บุรุษอาภรณ์ขาวสะพายกระบี่เทพที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ หรือว่าไม่กลัวการแก้แค้นของประมุขวังทะเลปีศาจแม้แต่น้อยเลยหรือ
“น่ากลัวเหลือเกิน” เจ้าเมืองหลิงเฟิงมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวที่เดินเข้ามาผู้นั้นอย่างพรั่นพรึง “เพียงแค่ชี้นิ้วครั้งเดียวก็สามารถสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้แล้ว ถึงขนาดที่ทำให้ห้วงอากาศโดยรอบสั่นสะเทือนบิดเบี้ยวกันไปหมด ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ เกรงว่าในบรรดาจักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็คงจะมีอยู่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นกระมัง โดยทั่วไปก็ต้องเป็นจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ จึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้”
เพียงกระบวนท่าเดียวก็ปลิดชีพจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้
ช่างน่าหวาดหวั่นโดยแท้ จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเกือบทั้งหมดต่างก็ไม่สามารถแข็งแกร่งเช่นนี้ได้
แต่เขากลับไม่รู้ว่า…ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศที่ฉากหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้วก็สำแดง ‘ท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียม’ ไปพร้อมกัน ก่อนที่จะตระหนักรู้ท่าไม้ตายที่สาม ระดับแม่ทัพเทพ (จักรพรรดิเทพช่วงกลาง) ที่อ่อนแอสักหน่อยของหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาต่างก็สามารถจ่อมจมได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบวนที่สามที่พลังคุกคามเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่าในตอนนี้เลย จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งย่อมวิญญาณสูญสลายไปโดยไร้ซึ่งแรงต้านทานแม้แต่น้อยอยู่แล้ว!
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือบุตรสาวข้า ช่วยเหลือทั้งสกุลหลิงเฟิงของข้า” เจ้าเมืองหลิงเฟิงค้อมกายคารวะอย่างซาบซึ้งในทันใด
“ขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของผู้อาวุโส” ประกายที่ผิวหนังของหลิงเฟิงอวี๋หรงโคจรจนเสื้อผ้าอาภรณ์กลับมารวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ดังเดิม นางมองบุรุษอาภรณ์ขาวที่กลิ่นอายราวกับคมกระบี่ตรงหน้า ทั้งซาบซึ้ง ทั้งเกิดความยกย่องชื่นชมสายหนึ่งขึ้นมาด้วย!
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมาแล้วโบกมือคราหนึ่ง เก็บเอาซากศพของจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งขึ้นมา เขามองเจ้าเมืองหลิงเฟิงและหลิงเฟิงอวี๋หรงปราดหนึ่ง “จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งตายไปแล้ว เกรงว่าด้วยนิสัยของประมุขวังทะเลปีศาจย่อมไม่มีทางปล่อยให้จบไปง่ายๆ แน่ ข้าไม่เกรงกลัวเขา แต่พวกท่านก็ยังต้องเตรียมตัวกันเอาไว้ให้มากๆ ล่ะ อย่าได้ถูกเขาพาลโกรธเอา”
“ได้” เจ้าเมืองหลิงเฟิงหัวใจบีบรัดแน่น
แต่เขาก็มิได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ดีกว่าเมื่อครู่เป็นอันมากแล้ว!
อย่างเช่นจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งให้ทางเลือกกับเขาสองทาง ไม่ว่าทางเลือกไหน เขา เจ้าเมืองหลิงเฟิงก็ต้องตายทั้งสิ้น เป็นเพราะว่าจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง! เพื่อจัดการล้างแค้น เจ้าเมืองหลิงเฟิงผู้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็จำเป็นต้องตาย! เพราะว่าจักรพรรดิเทพช่วงต้น…ถึงแม้ว่าการบรรลุจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจจะบรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วก็เป็นได้ ก็มีสิทธิ์คุกคามไปถึงจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องสังหาร!
แต่ตอนนี้เล่า
ผู้ที่สังหาร ‘เฮ่อต้ง’ คือยอดฝีมือผู้ลึกลับตรงหน้าผู้นี้ ถึงแม้ว่าประมุขวังทะเลปีศาจจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่อยู่ข้างนอก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ (ยอดเคารพ) เรื่องราวในครั้งนี้ พวกเขาสกุลหลิงเฟิงคือฝ่ายที่ถูกกลั่นแกล้ง ขอเพียงแค่พวกเขาไปจากเมืองหลิงเฟิงชั่วคราว ประมุขวังทะเลปีศาจก็คงรังเกียจที่จะสะกดรอยตามสังหารพวกเขา
“รีบไปเตรียมตัวกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือเบาๆ คราหนึ่งแล้วหมุนกายเดินตรงออกไปด้านนอก จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งแล้วเหินลอยออกไปจากชั้นสองของหอสุรา
ที่บริเวณไกลออกไปของท้องถนนด้านนอก มีผู้สัญจรจำนวนมากมองดูที่นี่อยู่ห่างๆ อยู่ก่อนแล้ว ประชากรโลกเทพเหล่านี้ถือกำเนิดมาก็แกร่งกล้าเป็นพิเศษอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าระยะทางจะไกล ทั้งยังมีสิ่งปลูกสร้างขวางกั้น แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ชั้นสองของหอสุราได้อย่างชัดเจน แล้วก็รู้ว่าที่ ‘จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง’ ตายไปนั้นเป็นเพราะถูกบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นสังหาร
“ร้ายกาจยิ่งนัก”
“กระบวนท่าเดียวก็ปลิดชีพได้แล้ว!”
“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย”
“สกุลหลิงเฟิงนี่ก็ช่างโชคดียิ่งนัก เผชิญกับความยุ่งยากครั้งใหญ่ เจ้าเมืองหลิงเฟิงดูเหมือนว่าต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว ถึงกับมีสุดยอดผู้แกร่งกล้าเช่นนี้คนหนึ่งอยู่ที่เมืองหลิงเฟิงของข้า เห็นเรื่องไม่ยุติธรรม จึงสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งเพื่อช่วยเหลือพวกเขา”
“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็คือลูกศิษย์หนึ่งในสามคนของประมุขวังทะเลปีศาจ มีความเป็นมายิ่งใหญ่เหลือเกิน ยอดฝีมือท่านนี้ก็ยังกล้าสังหาร!”
“เฮอะ ด้วยพลังยุทธ์ของยอดฝีมือท่านนี้ที่สังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้ภายในกระบวนท่าเดียว ไม่แน่ว่าตัวเขาเองก็คือระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์กระมัง! ถึงได้กล้าสังหารโดยไม่ไว้หน้าประมุขวังทะเลปีศาจเลย”
ประชากรโลกเทพมากมายเห็นแล้วก็พากันถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมกันนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
สถานที่พรรค์นี้มิอาจรั้งอยู่ได้นาน
ชั้นสองของหอสุรา
“เร็วเข้า”
เจ้าเมืองหลิงเฟิงก็กวาดตามองบริเวณรอบๆ อย่างละเอียดรอบคอบแล้วสั่งการลงไปว่า “พวกเราถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว ถึงแม้ว่าประมุขวังทะเลปีศาจจะมิได้ไล่สังหารพวกเราคนตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้เป็นการเฉพาะ แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะระบายความโกรธ ดังนั้น เร็วเข้า! ทั้งตระกูลหลิงเฟิงแบ่งออกเป็นกองกำลังย่อยสิบกอง ประจำเรือใหญ่ เข้าสู่ดินแดนรกร้าง หลีกเลี่ยงปัญหาใหญ่เหล่านี้ไปก่อนเป็นการชั่วคราวรอให้ผ่านวันเวลาไปสักระยะแล้วค่อยกลับมา”
“ขอรับ”
“ขอรับ”
แต่ละคนรับบัญชา
สวบๆๆ…
พวกเขาทั้งหมดแปลงกายเป็นลำแสงแล้วเหินทะยานออกไปจากชั้นสองของหอสุราอย่างรวดเร็ว
ทั้งสกุลหลิงเฟิงเริ่มต้นเคลื่อนพลด้วยอัตราเร็วสูงสุด พวกเขาจะต้องระมัดระวัง! ถ้าหากเคราะห์ไม่ดี กระบวนท่าส่งๆ กระบวนท่าเดียวของประมุขวังทะเลปีศาจผู้นั้น เกรงว่าทั้งตระกูลก็คงจบสิ้นแล้ว
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงกายเป็นบุรุษอาภรณ์ดำตลอดร่าง กลิ่นอายก็อ่อนลงไปเป็นอันมาก เป็นเพียงแค่กลิ่นอายระดับจ้าวเทพช่วงต้น แล้วยังคงรั้งอยู่ที่เมืองหลิงเฟิงต่อไป
ณ โรงสุราริมทางที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในเมืองหลิงเฟิง มีกับข้าวหลายจานและสุราไหหนึ่งจัดวางอยู่
เขาดื่มสุราอย่างช้าๆ และรับประทานอาหารตามลำพัง
“ประมุขวังทะเลปีศาจปกป้องหวงแหนคนใกล้ชิด น่าจะต้องเคลื่อนไหวในทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด ตนสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง ผู้มีพลังยุทธ์อย่างประมุขวังทะเลปีศาจรับสัมผัสต่อเหตุปัจจัยได้อย่างเฉียบคมเพียงใด การรับสัมผัสต่อเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงกับลูกศิษย์ของตนสูญหายไปอย่างฉับพลัน ก็ย่อมต้องมาตรวจสอบในทันทีอย่างแน่นอนอยู่แล้ว “ถ้าหากบินอย่างช้าๆ กว่าจะบินมาถึง ฆาตกรอย่างข้าผู้นี้ก็คงหายไปไหนไม่รู้เสียแล้ว! ดังนั้นประมุขวังทะเลปีศาจก็น่าจะขอให้ผู้แกร่งกล้าช่วยเหลือ มาถึงที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด”
เคล็ดวิชาเคลื่อนที่อย่างศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาศาสตร์นี้ถึงแม้ว่าจะพบเห็นได้ยากยิ่ง แต่ก็มีเคล็ดวิชาที่คล้ายคลึงกันอยู่
ในบรรดาผู้เหินทะยานวิถีอากาศระดับจักรพรรดิเทพก็มีเพียงแค่ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดผู้นั้นเท่านั้นที่สามารถสำแดงออกมาได้! แต่ผู้แกร่งกล้าในโลกเทพมีมากมายดุจเมฆ พรสวรรค์สายโลหิตต่างๆ นานา มากมายนับร้อยพัน ผู้ที่สามารถเคลื่อนที่เป็นระยะทางห่างไกลภายในโลกเทพได้ก็มีอยู่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้เพียงแค่ไม่กี่ท่านเท่านั้น! ไม่กี่ท่านนี้แต่ละคนล้วนมีสถานะอันสูงส่ง พลังยุทธ์อย่างอ่อนแอที่สุดก็ต้องเป็นพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย บวกกับเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็เคลื่อนย้ายหลบหนีโดยทันที ก็ย่อมมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจัดการได้
สามารถเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้นในโลกเทพได้อย่างสบายๆ…
ก็คือสามตระกูลราชันย์ ต่างก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นระดับสูง!
ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์มีสถานะสูงส่งเป็นอย่างยิ่งในโลกเทพ ผู้แกร่งกล้าระดับขั้นนี้ทั่วทั้งโลกเทพมีอยู่ทั้งสิ้นเพียงแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้น! ในบรรดาพวกเขาส่วนมากต่างก็สามารถขอให้ผู้แกร่งกล้า ‘เคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้น’ ช่วยเหลือได้!
“หืม”
ดื่มสุราไปชั่วขณะหนึ่ง กับข้าวก็หมดไปแล้วสองจาน ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไป
กลางท้องฟ้าไกลออกไป
ทันใดนั้นก็มีแสงดาวระยิบระยับ! ณ ทางเดินที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันมืดหม่นดารดาษเส้นหนึ่ง เงาร่างสองสายปรากฏตัวขึ้นจากกลางแสงดาว คนหนึ่งก็คือบุรุษอ้วนพีที่สวมอาภรณ์ตัวหลวม หน้าผากของเขายังมีหนามแหลมที่แผ่กำจายแสงดาวอันน่าประหลาดออกมาอยู่ด้วย ส่วนผู้ที่อยู่ด้านข้างของเขาก็คือชายชราร่างผอมเล็กในอาภรณ์ดำที่ดูชั่วร้ายล้นฟ้าผู้หนึ่ง เขากวาดสายตามองปราดหนึ่ง ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองหลิงเฟิง มีบางคนที่มิได้มองเห็นผู้แกร่งกล้าที่อยู่กลางอากาศ ทว่ากลับรู้สึกถึงความรู้สึกกดดันบนดวงวิญญาณได้
“มาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในโรงสุราแห่งนี้วางจอกสุราลงแล้วพินิจดูอย่างเงียบๆ “ประมุขวังทะเลปีศาจ ตอนนี้สกุลหลิงเฟิงต่างก็พากันหนีกระจัดกระจายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ภายในเมืองล้วนแล้วแต่เป็นชาวเมืองธรรมดาๆ ทั้งสิ้น หวังว่าท่านจะไม่ระบายความโกรธใส่ชาวเมืองธรรมดาเหล่านี้นะ มิฉะนั้นถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยากประมือกับระดับยอดเคารพในตอนนี้ แต่ก็มีบางทีที่ร่นถอยมิได้”
ที่ดินแดนจิตโลกา ตอนที่พลังยุทธ์ของเขายังอ่อนแอ ก็ยังกล้างัดข้อกับราชันย์อนธการอมตะเลย! ถึงขนาดที่ทำลายการบูชายัญของราชันย์อนธการอมตะในตอนนั้น
การที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งนั้นเป็นเรื่องดี แต่เขาย่อมไม่อยากทำให้ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองแห่งนี้ถูกลากไปเกี่ยวข้องด้วย!
เมื่อใดที่อีกฝ่ายส่งสัญญาณว่าจะลงมือ
ก็เป็นเวลาที่เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือ!
……
ณ ชั้นสองของหอสุราที่จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งตายตกไปแห่งนั้น
พวกประมุขวังทะเลปีศาจทั้งสองคนมาถึงยังที่แห่งนี้พร้อมกัน
กาลเวลาโดยรอบไหลย้อนกลับ ไหลย้อนกลับมาถึงตอนที่ ‘จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง’ จับกุมตัวหลิงเฟิงอวี๋หรงเอาไว้ ภาพเหตุการณ์หลังจากนั้นจึงเริ่มเป็นปกติ ภาพเหตุการณ์ฉากแล้วฉากเล่า การผลาญสังหารแขกคนอื่นๆ และผู้ดูแลในพริบตาเดียว ฉุดคร่าหลิงเฟิงอวี๋หรง คุกคามกดดันสกุลหลิงเฟิง…แต่ยามที่บุรุษอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพปรากฏตัวขึ้นที่ภาพวาดนั้นเอง เพิ่งเห็นบุรุษอาภรณ์ขาว ภาพทั้งหมดก็พลันแหลกสลายไปเสียแล้ว
“เป็นเขานั่นเอง” ประมุขวังทะเลปีศาจเอ่ยเสียงต่ำ “ข้ายังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น พลังยุทธ์แข็งแกร่งน่าดูเลยทีเดียว แต่สวมอาภรณ์ขาวและสะพายกระบี่เทพอย่างนั้นหรือ ผู้แกร่งกล้าที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้ที่จัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของทั้งโลกเทพ กลับมิได้มีคนผู้นี้อยู่ ลับๆ ล่อๆ ไม่กล้าเปิดเผยร่างจริง กล้าเพียงแค่ซ่อนเร้นกลิ่นอายเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์มาเคลื่อนไหวเท่านั้น เกรงว่าพลังยุทธ์คงจะมิได้แข็งแกร่งสักเท่าใดนัก”
อย่างเช่นผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ จะหลบๆ ซ่อนๆ ไปทำไมกัน เปล่งประกายยิ่งใหญ่ หรือแม้กระทั่งชั่วร้าย! ทั้งยังอุกอาจเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง
“ในเมื่อไม่กล้าเคลื่อนไหวด้วยตัวตนที่แท้จริง บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นี้ก็คงจะหวั่นเกรงท่านประมุขวังทะเลปีศาจ ดังนั้นตอนจัดการจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งจึงได้ปิดบังตัวตน” บุรุษอ้วนพีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยพลางหัวเราะหึๆ
“กล้าสังหารลูกศิษย์ข้า ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่” นัยน์ตาของประมุขวังทะเลปีศาจเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ
……………………………………………