Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 65 ติดต่อ
ในโลกใบเล็กจิ๋วขนาดเพียงไม่กี่หมื่นลี้ รูปสลักสตรีขนาดมหึมาสูงพันเมตรตั้งตระหง่านอยู่ข้างภูเขาแห่งหนึ่ง ภูเขาสูงด้านข้างยังดูเตี้ยกว่ารูปสลักของสตรีผู้นี้อยู่เล็กน้อย
สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอในโลกใบนี้พากันคารวะอย่างเทิดทูนสุดหัวใจ
“เจ้าแม่จิตฟ้า”
“เจ้าแม่จิตฟ้า”
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันคารวะ
เพราะถึงอย่างไรสำหรับโลกใบเล็กอ่อนแอเช่นนี้ แม้แต่เหนือธรรมดาก็ยังมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ รูปสลักสูงพันเมตรช่างน่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง
ทันใดนั้น…
รูปสลักสตรีขนาดมหึมาพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง
“สวบ” เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งทะยานออกมาจากรูปสลักขนาดมหึมานี้ก่อนจะร่อนลงบนเกาะข้างทะเลไกลออกไป เป็นสตรีรูปโฉมงดงามในอาภรณ์สีขาวนวลดุจแสงจันทร์ รูปโฉมของนางเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปรกฎเกณฑ์ระดับคละถิ่น หากสิ่งมีชีวิตปกติทั่วไปเห็นเข้าก็ต้องโค้งคารวะอย่างมิอาจควบคุมได้
แต่ในยามนี้เอง เงาร่างอีกสองสายก็ร่อนลงมาเช่นเดียวกัน เป็นบุรุษสองคน คนหนึ่งเปล่งแสงเรืองรองออกมาจากทั่วร่าง ส่วนอีกคนหนึ่งก็มีดวงดารารายล้อมนับแสนล้านดวง
“จิตฟ้า”
“น้องหญิงจิตฟ้า” พวกเขาทั้งสองคุ้นเคยกันดีนัก
พวกเขาสามคนก็คือสามบรรพเทวะคละถิ่น
เจ้าแม่จิตฟ้านั่งลงไปพลางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ด้านข้างก็มีศิลาก้อนใหญ่ปรากฏขึ้นมาสองก้อน จากนั้นบรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือก็นั่งลงไป
“พวกเจ้าสองคนก็ได้ข่าวแล้วเหมือนกันหรือ” เจ้าแม่จิตฟ้าพูดยิ้มๆ
“ขอรับ ได้ยินมาว่าเป็นผู้เหินทะยานคนหนึ่ง” บรรพเทวะทิพย์ทองเอ่ย “กระบวนท่าทางด้านวิญญาณแข็งแกร่งเสียจนทำให้ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ต้องแบ่งสมาธิแปดเก้าส่วนไปต้านทาน! กระบวนท่าทางด้านวิญญาณเช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อนัก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเสียด้วยซ้ำ”
“ข้าก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน” บรรพเทวะดาวเหนือส่ายหน้า “ตอนที่ติดต่อกับผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคนอื่นก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน”
“ถูกต้อง” เจ้าแม่จิตฟ้าพยักหน้าเบาๆ “พวกเราสำเร็จขั้นคละถิ่นมาจนบัดนี้ ตลอดคืนวันอันยาวนานก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แม้ในบรรดาผู้แกร่งกล้าคละถิ่น สถานะของพวกเราจะธรรมดาสามัญ แต่ก็เคยพบปะกับผู้แกร่งกล้าคละถิ่นมาหลายคน ถึงขั้นโชคดีเคยได้คารวะท่านเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ด้วย! ตามหลักแล้วก็กล่าวได้ว่าข่าวสารค่อนข้างจะฉับไว แต่พวกเราก็ไม่เคยได้ยินเสียด้วยซ้ำ ก็หมายความว่า ผู้ที่มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้…มีจำนวนน้อยจนหาตัวจับยาก เกรงว่าคงจะมีจำนวนน้อยกว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นเสียอีก!”
บรรพเทวะดาวเหนือและบรรพเทวะทิพย์ทองก็พยักหน้า นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำสุดเหล่านั้นไม่ถูกนับรวมด้วย เพราะถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็มีปัญญาธรรมดาทั่วไป จนไม่มีทางสำแดงพลังที่แท้จริงของตนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ พลังอ่อนแอจนเอาชนะพวกร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งหลายมิได้เสียด้วยซ้ำ! ผู้ที่สามารถฝึกฝนจนสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้นั้นล้วนแต่สามารถสำแดงพละกำลังของกายหยาบออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น เช่นผู้เหินทะยานบางคนก็ยิ่งสำแดงพละกำลังได้พิสดารยิ่งกว่า จนสังหารพวกสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่อ่อนแอได้อย่างง่ายดาย
อันที่จริงจำนวนผู้แกร่งกล้าคละถิ่นนั้นมีน้อยนัก!
ไม่ต้องพูดถึงพวกผู้ปกครองโลกกำเนิดซึ่งหาตัวจับได้ยากยิ่งกว่าเลย
ต่อให้เป็นผู้ที่สามารถตื่นรู้ขั้นสุดยอดได้สำเร็จ…ก็น้อยเสียจนน่าสงสาร!
“ก่อนหน้านี้พวกเราก็เคยได้อุทิศผู้เหินทะยาน ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ไปแล้ว” เจ้าแม่จิตฟ้าเอ่ย “แม้เจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่จะส่งเทวทูตมารับไว้ แต่ก็คงไม่เคยใส่ใจอะไรนักมาก่อน”
“อื้ม ต่อให้ผู้เหินทะยานเหล่านั้นบรรลุร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น คิดจะบรรลุและสำเร็จขั้นคละถิ่นก็ยังมีโอกาสต่ำมากอยู่ดี เจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ไหนเลยจะมาแยแส” บรรพเทวะทิพย์ทองซึ่งอยู่อีกข้างหนึ่งพูดขึ้น “ได้ยินมาว่าเป็นเพราะเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง ‘หยวน’ ต้องการบ่มเพาะผู้ที่อ่อนแออย่างสุดกำลัง บรรดาเจ้าดินแดนคนอื่นๆ จึงได้ยอมบ่มเพาะ”
บรรพเทวะดาวเหนือเอ่ยว่า “ครั้งนี้ในโลกของพวกเรา โลกของพวกเรามีผู้ที่ทางด้านเส้นทางวิญญาณน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา หากเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ล่วงรู้เข้า คงจะชื่นชมยินดีไปด้วย”
“หากเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่เบิกบานใจขึ้นมา บางทีพวกเราอาจจะไม่ต้องประจำการอยู่ที่ชุมชนโลกอสนีบาตนี่ตลอดไปก็เป็นได้” เจ้าแม่จิตฟ้าเอ่ย
“หากก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง บรรลุถึงขั้นโลกา พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้ว” บรรพเทวะดาวเหนือไม่ยอมจำนนใจเป็นอย่างมาก
ช่วยไม่ได้
แม้พวกเขาจะกระโดดออกจากกรงขังและเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่น
แต่พวกเขาทั้งสามต่างก็ ‘ตื่นรู้ขั้นสุดยอด’ ได้สำเร็จในเส้นทางที่ง่ายดายที่สุดด้วยกันทั้งสิ้น! เมื่อสำเร็จการตื่นรู้ขั้นสุดยอด พวกเขาก็กลายเป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง’ พลังแข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดธรรมดาทั่วไปที่พลังอ่อนแอเหล่านั้นมากมายยิ่งนัก สามารถบดขยี้ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นให้ตายได้ตลอดเวลา แต่ว่าในบรรดาผู้แกร่งกล้าคละถิ่น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง’ นั้นจัดเป็นระดับต่ำสุด เนื่องจากนี่คือวิธีบรรลุที่ง่ายดายที่สุด
หากมี ‘สายเลือดคละถิ่น’ เมื่อเทียบกันแล้วก็ถือว่าบำเพ็ญง่าย จึงทำให้ท่ามกลางมิติคละถิ่นอันกว้างใหญ่ไพศาลมีระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์และระดับยอดเคารพจำนวนมากมาย
และยังมีผู้ที่ตื่นรู้ขั้นสุดยอดได้สำเร็จ!
ผู้ที่สามารถปกครองโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้เหล่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าร้ายกาจ! ยังแข็งแกร่งกว่าผู้ตื่นรู้ขั้นสุดยอดอย่างพวกเขาอยู่ระดับหนึ่ง ผู้ที่ปกครองโลกกำเนิดก็ถูกเรียกว่าเป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกา’ นับได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าระดับยอดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว หากอยู่ในโลกกำเนิดของตน ก็ยิ่งเรียกได้ว่าไร้ศัตรู
“มีแต่ผู้ที่บรรลุวิถีเหล่านั้นที่กระโดดออกจากกรงขังและสำเร็จขั้นคละถิ่น จึงมีโอกาสปกครองโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้” บรรพเทวะทิพย์ทองพูดพลางส่ายหน้า “มีเพียงระดับนั้นเท่านั้นจึงทำให้เจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่มองด้วยสายตาอีกแบบหนึ่งได้ ส่วนพวกเราน่ะหรือ เฮอะๆ…”
“อย่าเพิ่งถอดใจ” เจ้าแม่จิตฟ้ากล่าว “พวกเราตื่นรู้ขั้นสุดยอด คืนสู่บรรพชน จึงสามารถขุดค้นพลังสายเลือดของตนได้อย่างต่อเนื่อง”
“หากเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ยินดีช่วยเหลือพวกเรา พวกเราก็ยังมีความหวังอยู่หลายส่วน” บรรพเทวะทิพย์ทองพูดพลางส่ายหน้า “จิตฟ้า เจ้ามีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสามคน บัดนี้ห่างจากการบรรลุอีกเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น ครั้งนี้อุทิศผู้เหินทะยานนามจักรพรรดิเทพหิมะเหินไป หากเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่มอบรางวัลให้ เจ้า จิตฟ้าอาจจะมีหวังบรรลุก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นข้าและดาวเหนือก็ต้องอาศัยเจ้าแล้ว”
“พี่ชายทั้งสอง การบรรลุนี้ยากเย็นเพียงใดกัน” เจ้าแม่จิตฟ้าเอ่ยเช่นนี้ นัยน์ตากลับฉายแววรอคอย
“พี่ชายทั้งสอง เช่นนั้นข้าก็จะรายงานตรงขึ้นไปยังจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่แล้ว” เจ้าแม่จิตฟ้ากวาดตามองบรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือที่อยู่ด้านข้าง
“ดี” บรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือต่างก็พยักหน้า ทั้งยังตื่นเต้นขึ้นมาอีกด้วย
เนื่องจากหากพวกเขาไม่มีเรื่องสำคัญพอ ก็คงไม่กล้าไปรบกวนเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่
******
ขณะที่บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามกำลังติดต่อกับเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่
ในโลกเทพแห่งนั้น
ในจวนหิมะเหิน เมืองจวิ้นซาน
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังพบผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพคนหนึ่งเพียงลำพัง
“จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลาง หยิบจอกสุราขึ้นมา “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงอันเกรียงไกรของจักรพรรดิเทพ และอยากพบมาตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อเกิดเรื่องระดับนี้ขึ้นมา จะทำให้จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทั้งสามท่านนั้นมาล้อมโจมตีข้า แต่ทว่าก็ทำให้ข้าได้พบกับท่านจักรพรรดิเทพก่อนเวลา”
“ลำพังแค่ทางสายอากาศของจักรพรรดิเทพหิมะเหิน พลังก็ไม่แพ้ข้าแล้ว ถึงขั้นเข้าถึงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเช่นเดียวกับข้าเสียด้วยซ้ำ” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินพูดยิ้มๆ “นอกจากนี้ยังมีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอีกด้วย เกรงว่าในโลกเทพแห่งนี้ ในรายนามจักรพรรดิเทพ ก็มีเพียงเจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้นที่สามารถฟาดฟันกับจักรพรรดิเทพหิมะเหินได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
คนตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายทางสายอากาศที่มีอยู่เพียงคนเดียวก่อนหน้านี้นั่นเอง!
“ข้าบรรลุระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย คิดจะก้าวหน้าไปอีกก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินทอดถอนใจ “พวกเราไม่เหมือนกับชาวโลกเทพพวกนั้น ชาวโลกเทพพวกนั้นมีสายเลือดคละถิ่นโดยกำเนิด เกิดมาแล้วก็ไม่ตาย แม้แต่เด็กน้อยชาวโลกเทพไม่ว่าคนไหน เมื่อไปยังโลกล่างสักแห่งก็ล้วนแต่เป็นอ๋องเป็นผู้ทรงอำนาจได้อย่างง่ายดาย แม้พวกเราจะถึงระดับจักรพรรดิเทพแล้ว แต่ละก้าวที่จะยกระดับขึ้นไปนั้นก็ยากลำบากหาใดเปรียบ พวกเขาชาวโลกเทพกลับมีระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เป็นกอง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเห็นด้วย
หากไม่มีพลังสายเลือด อาศัยตนเองยกระดับขึ้นไป ก็ยากเกินไปแล้ว
การบรรลุขั้นสุดยอดนั้น หากนับตามพลังรบก็เป็นเพียงแค่ระดับอ๋องหรือระดับจ้าวเทพเท่านั้น! โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมากมาย สามารถทำให้ผู้เหินทะยานเหล่านี้เคี่ยวกรำและบรรลุได้ จึงจะพอมีหวังทำให้ พลังรบบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพสำเร็จต่อไปได้…แต่จะสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ยากเกินไปแล้ว!
เพราะว่า
ขอเพียงขุดค้นพลังสายเลือดออกมาจนหมด ขุดค้นจนถึงระดับครบสมบูรณ์ขั้นสุด ก็จะเป็นระดับ ‘จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ แล้ว
แต่ผู้เหินทะยานและพวกตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ กลับจัดเป็นพวกที่คิดค้นขึ้นมาด้วยตนเองจากความว่างเปล่า พวกเขาต้องคิดค้นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขึ้นมา เนื่องจากยากยิ่งนัก แต่ละก้าวของพวกเขาจึงมั่นคงเป็นอย่างมาก จึงสามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ แต่ต่อให้บรรลุ ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ แล้ว พวกที่มีสายเลือดคละถิ่นเหล่านั้น ต่อไปเป็น ‘ตื่นรู้ขั้นสุดยอด’ ก็ได้แล้ว
ส่วนผู้เหินทะยานและพวกตงป๋อเสวี่ยอิง หลังจากสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว จะก้าวไปอีกสักก้าวกลับยากยิ่งกว่า เพราะก้าวถัดไปอีกก้าวหนึ่งก็คือรู้แจ้ง ‘วิถี’ ระดับคละถิ่นแล้ว! อาศัยตนเองไปรับรู้ แล้วบรรลุถึงระดับคละถิ่น นี่ก็คือ ‘ใช้พลังทำลายกฎ’
พวกผู้ที่ใช้วิธีการต่างๆ อย่างการเผยแพร่ลัทธิและหลอมแปรต้นกำเนิดเพื่อควบคุมต้นกำเนิดของโลกกำเนิด แล้วอาศัยสิ่งนี้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เป็นผู้ปกครองโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง นับว่าแข็งแกร่งมาก
แต่การอาศัยตนเองบรรลุไปทีละก้าวๆ ไปจนถึงสำเร็จระดับคละถิ่นนั้น ก็ยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่!
นี่คือเส้นทางที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
มีหลายคนที่หลังจากบรรลุ ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ แล้ว กลับเริ่มคิดหาวิธีหลอมแปรต้นกำเนิดของโลกกำเนิดสักแห่งขึ้นมาเพื่อปกครองโลกกำเนิดแล้วสำเร็จเป็นระดับคละถิ่น ช่วยไม่ได้ ใช้พลังทำลายกฎนั้นยากกว่าเป็นสิบเท่า ทำได้เพียงเลือกเส้นทางที่รองลงมาระดับหนึ่งเท่านั้น!
“เส้นทางยากเกินไปแล้ว ใต้โลกอสนีบาตมีโลกจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้เหินทะยานแต่ละยุคมีมากมายยิ่งนัก ก่อนที่ท่าน จักรพรรดิเทพหิมะเหินจะปรากฏขึ้นมา ข้าก็เป็นขั้นสุดทางสายอากาศของโลกจำนวนนับไม่ถ้วนมานานแสนนานแล้ว” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินส่ายหน้าพลางพูดอย่างขมขื่น “แต่ก็เป็นเพียงจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น จะสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ยังคงห่างไกลไร้ความหวัง ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ ก็ด้วยหวังว่าจะแลกเปลี่ยนคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญกับพี่หิมะเหินได้ ข้ารู้ว่าท่านคงจะเดินในเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่ก็คงจะสามารถแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันได้ เช่นนี้ก็จะมีส่วนช่วยในการบรรลุร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นของข้าและท่าน”
…………………