Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 67 เตรียมการ
ณ ส่วนลึกของความรกร้างนอกเมืองจวิ้นซาน
จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีชมดูอยู่ข้างๆ มองดูคนทั้งสองซึ่งยืนประจันหน้ากันอยู่กลางอากาศไกลออกไป คนหนึ่งคือบุรุษอาภรณ์ขาว อีกคนหนึ่งคือสตรีอาภรณ์ขาว! ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าเมืองหงส์เมฆาต่างก็สวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ทั้งร่าง เพียงแต่ท่าทางของคนทั้งสองกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลิ่นอายที่เจ้าเมืองหงส์เมฆาปลดปล่อยออกมาในยามนี้ยิ่งใหญ่จนบดบังฟ้าและดวงตะวันเอาไว้ แม้แต่ฟ้าดินก็ยังต้องสั่นสะท้านด้วยกลิ่นอายของนาง แต่กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเลือนรางริบหรี่ ทั้งยังทำให้ผู้อื่นเกิดความคร้ามเกรงขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม เพราะถึงอย่างไรวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เรียกได้ว่าไร้ศัตรูในบรรดาผู้ที่ต่ำกว่า ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ ลงมา เมื่อปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาโดยไม่ยับยั้ง ก็ย่อมทำให้ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ รู้สึกคร้ามเกรงเป็นธรรมดา
“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ได้โปรดสู้สุดกำลังด้วย เนื่องจากในโลกเทพ นับตั้งแต่ข้าบรรลุถึงระดับขั้นปัจจุบันนี้เป็นต้นมา ก็มีแต่ข้าที่รังแกผู้อื่น คนอื่นๆ ไม่เคยมีผู้ใดคุกคามข้าได้มากพอเลย” หว่างคิ้วของเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็แฝงแววโหดเหี้ยมเอาไว้
“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเมืองหงส์เมฆาผิดหวังแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีแววกระหายการต่อสู้พลุ่งพล่าน
“ตู้ม!”
แววคมกริบในดวงตาของเจ้าเมืองหงส์เมฆากะพริบวาบ บริเวณหลายล้านลี้รอบด้านบิดเบี้ยวไปหมด ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นก็แผ่กำจายไปทั่วบริเวณหลายล้านลี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินเสียงร้องแหลมบาดหู ราวกับเสียงร้องของสัตว์ปีกอย่างไรอย่างนั้น! เสียงร้องนี้ทำเอาฟ้าดินรอบด้านบิดเบี้ยวไปหมด และแทรกซึมเข้าไปในกายของตงป๋อเสวี่ยอิง สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณและอวัยวะต่างๆ รวมไปถึงเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อต่างๆ ด้วย เพียงครู่เดียวร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อ่อนยวบลงอย่างมิอาจควบคุม ทำให้เขาตกใจใหญ่ “เมื่อสำแดงบริเวณออกมา ก็ทำให้พลังของข้าลดลงกว่าครึ่งเชียวหรือ หากบุกเข้ามาอีก เกรงว่าเพียงสองสามกระบวนท่าข้าก็คงต้องสิ้นชีวิตเสียแล้วกระมัง!”
เมื่อเทียบกับระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ที่แท้จริงแล้ว กายหยาบของเขาก็อ่อนแอกว่ามากทีเดียว
หากห้ำหั่นซึ่งหน้าโดยไม่ใช้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณ เขาก็สามารถต่อสู้กับผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ได้ จะมีก็แต่เจ้าเมืองหงส์เมฆาเพียงคนเดียวเท่านั้น…ที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกบีบบังคับจนต้องเผยพลังที่แท้จริงทั้งหมดออกมาในทันใด
“ใช้พละกำลังสายเลือดของตนเองเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ฟ้าดินและลดบริเวณลง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดไม่ว่าหน้าไหน ร่างกายก็ล้วนแต่เปลี่ยนแปรมาจากกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น
ดังนั้นอย่างจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เหล่านี้ ขอเพียงตื่นรู้ขั้นสุดยอด คืนสู่บรรพชน ก็สามารถสำเร็จเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดได้แล้ว เนื่องจากพวกเขาควบคุมตนเองได้ร้ายกาจยิ่งกว่า เมื่อบรรลุก็เป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง’ แล้ว! และร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็เหมือนกับ ‘โลก’ ใบหนึ่ง อย่างหุบเขาเขี้ยวหัก อันที่จริงแล้วก็เปลี่ยนแปรมาจากซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมโหฬารสองตนนั่นเอง
ตนเองก็คือโลก! จึงย่อมสามารถลดกฎเกณฑ์และลดบริเวณลงได้
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดระดับยอดสุดล้วนแต่สามารถทำให้ ‘หยวน’ บาดเจ็บได้ ตนเองก็เพียงพอจะเทียบได้กับโลกกำเนิดใบหนึ่งแล้ว
เห็นได้ชัดว่าบริเวณที่เจ้าเมืองหงส์เมฆาสำแดงออกมาในตอนนี้ ก็สามารถแปรกฎเกณฑ์บางส่วนที่แฝงอยู่ในสายเลือดแล้วสำแดงออกมาได้! นางมีหวังจะ ‘ตื่นรู้ขั้นสุดยอด’ มากกว่าจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เสียอีก!
“เขตลวงโลกเทียม” เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง โลกลวงอันยิ่งใหญ่ก็ร่อนลงไป หมายจะฉุดดึงวิญญาณของเจ้าเมืองหงส์เมฆาเข้าไปในนั้น
“เอ๊ะ” สีหน้าของเจ้าเมืองหงส์เมฆาเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียวสมาธิเกือบเจ็ดส่วนก็ต้องใช้ไปกับการต้านทานเขตลวง “เป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ร้ายกาจนัก”
นางแบ่งสมาธิไปต้านเขตลวง เหลือสมาธิเพียงสามส่วนไว้ใช้กับการต่อสู้ พลังจึงเริ่มลดลงทันที
บริเวณซึ่งเดิมทีน่าหวาดหวั่นก็สลายไปทันที!
เนื่องจากบริเวณนี้ต้องให้เจ้าเมืองหงส์เมฆาแบ่งสมาธิสองสามส่วนจึงสามารถคงเอาไว้ได้ ยามนี้จึงต้องละทิ้งบริเวณไปเป็นธรรมดา แล้วพยายามสำแดงพลังของตนออกมา
“แคว่ก…”
เจ้าเมืองหงส์เมฆาถลาไปคราหนึ่ง มือทั้งคู่วาดออกไปราวกับปีก
ฟ้าดินแยกเป็นสองส่วน!
หอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือตงป๋อเสวี่ยอิง หอกยาวตีวงคราหนึ่ง มิติชั้นแล้วชั้นเล่าก็ก่อตัวขึ้นเป็นน้ำวน สกัดกั้นการต้านทานของเจ้าเมืองหงส์เมฆาเอาไว้อย่างต่อเนื่อง
“ยังดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงถอนหายใจคราหนึ่ง บริเวณกระจายตัวออกไป ตนก็สามารถรักษาพลังรบระดับยอดเอาไว้ได้ สมาธิสามส่วนของเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็สามารถสำแดงพลังร่างกายระดับยอดออกมาได้ครึ่งหนึ่ง พลังระดับนี้ก็เกือบจะเท่ากับระดับเจ้าเมืองมังกรเหล็กแล้ว
เมื่อพลังของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันไม่มากนัก ความพิสดารของกระบวนท่าจึงยังสามารถชดเชยความแตกต่างระหว่างกันได้
……
“ตู้มๆๆ…”
สนามรบของทั้งสองฝ่ายรั้นมืดฟ้ามัวดินไปหมด
ผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดสองคนของทั้งโลกเทพกำลังห้ำหั่นกัน
“พลังของท่านพี่ลดลงไปมากถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีมองดูอยู่ห่างๆ แล้วก็อดตกตะลึงมิได้ “จักรพรรดิเทพหิมะเหินนี่ช่างน่ากลัวนัก กระบวนท่าทางด้านวิญญาณร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันอย่างสูสี
เจ้าเมืองหงส์เมฆารวดเร็วยิ่งนัก กระบวนท่าก็งดงาม มือทั้งคู่ของนางประหนึ่งปีกอันพลิ้วไหวและคมกริบหาใดเปรียบ
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งพิสดารยากเกินคาดเดา มิติชั้นแล้วชั้นเล่ารอบด้านถูกเขาควบคุมเอาไว้ หอกยาวเล่มหนึ่งสำแดงออกมา มิติก็กดดันลงมาตลอดเวลาราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ราวกับฟองอากาศที่กลายเป็นกรงขัง! ซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าอยู่ตลอดเวลา แม้จะใกล้เพียงคืบเดียว แต่กลับประหนึ่งห่างกันราวฟ้ากับเหว ทำให้เจ้าเมืองหงส์เมฆากระทบไม่ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเลย!
พละกำลังของตนสำแดงออกมาผ่านกระบวนท่าอันพิสดารต่างๆ อานุภาพจึงย่อมยิ่งใหญ่กว่ามากทีเดียว
แม้กระบวนท่าของเจ้าเมืองหงส์เมฆาจะงดงามเสียจนน่าตื่นตะลึง แต่กลับยังคงด้อยกว่าอยู่ขุมหนึ่ง เพียงแต่อาศัยที่อานุภาพแข็งแกร่งพอ จึงสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสี!
“ระวัง”
“โอ๊ย เกือบไปแล้ว” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีมองดูแล้วก็กังวลเป็นอันมาก “กระบวนท่าของจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว เคราะห์ดีที่ร่างกายของท่านพี่แข็งแกร่งพอ”
******
ศึกครั้งนี้ดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วยาม
ในที่สุดทั้งสองก็หยุดมือลง
สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว สิ่งที่ได้รับนั้นสามารถมองข้ามไปได้! เพราะเขาเคยประลองกับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนอื่นๆ มาแล้ว ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ไม่ต้องสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณออกมาเพื่อประลอง เมื่อสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณออกมา อีกฝ่ายก็ยอมแพ้ทันที
“นานแล้วที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ” เจ้าเมืองหงส์เมฆามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วรำพึงออกมาว่า “วันนี้กลับถูกจักรพรรดิเทพหิมะเหินทำร้ายเสียหลายครั้ง”
“สำหรับท่านเจ้าเมืองแล้ว อาการบาดเจ็บแค่เท่านี้คงสามารถมองข้ามไปได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่อครู่ที่ได้ประมือกันเขาก็สัมผัสได้แล้วว่า เจ้าเมืองหงส์เมฆาจึงจะเป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ที่ร่างกายแข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบมา ต่อให้เป็นเจ้าเมืองมังกรเหล็ก หากพูดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายแล้วก็ด้อยกว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาอยู่ขุมหนึ่ง
“ถูกท่านจักรพรรดิเทพหิมะเหินทำให้บาดเจ็บได้ แสดงว่ากระบวนท่าของข้ายังคงไม่สมบูรณ์แบบพอ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาพูดด้วยความยินดี
นางแตกต่างจากผู้เหินทะยาน
ผู้เหินทะยานนั้นรู้แจ้งวิถี
แต่นางขุดค้นพลังสายเลือดของตนเอง หลังจากบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์แล้ว นางก็เริ่มขัดเกลา ‘กฎเกณฑ์’ ที่แฝงอยู่ในสายเลือด และนำมันมาปรับใช้กับการต่อสู้ นางยังถึงขั้นเคี่ยวกรำบริเวณอันน่าหวาดหวั่นนั่นและท่าไม้ตายมากมายขึ้นมา! เพียงแต่การประมือครั้งนี้ทำให้นางพบข้อบกพร่องของตนเอง จึงย่อมต้องชดเชยข้อบกพร่องนี้
ระหว่างการชดเชยข้อบกพร่อง ก็เป็นการยกระดับด้วยเช่นกัน
“เจ้าเมืองหงส์เมฆา ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะรบกวนให้ท่านเจ้าเมืองช่วยเหลือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“อ้อ พูดมาเถิด” เจ้าเมืองหงส์เมฆากล่าว
“ข้าหวังจะให้ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ศิษย์ข้าคารวะเข้าอยู่ในสำนักของท่าน ท่านสามารถรับนางเป็นศิษย์ได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากศิษย์สาวบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นแล้ว เขาก็จะจากโลกใบนี้ไปเงียบๆ แต่บัดนี้เขามีชื่อเสียงระบือไกล เพื่อป้องกันมิให้ในภายภาคหน้า หลังจากตนจากไปแล้ว มีศัตรูมาลงมือกับศิษย์ตน จึงย่อมต้องเตรียมการเอาไว้ให้ดี
“อวี้เฟิงชิงอินรึ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาสะดุ้งก่อนจะมองตงป๋อเสวี่ยอิง “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน หรือว่าท่านจะจากโลกเทพแห่งนี้ไปอย่างนั้นหรือ”
“จากไปหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
เจ้าเมืองหงส์เมฆากล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์โลกเทพของเรา เคยมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน แต่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นานเท่าใดนัก พวกเขาก็อันตรธานไปแล้ว มาถึงระดับนี้ ไม่มีทางตายจากไปเงียบๆ หรอก สามบรรพเทวะคละถิ่นก็ไม่จำเป็นต้องสังหารพวกเขาโดยตรง ข้าเดาว่าพวกเขาคงจะจากโลกใบนี้ไปหมด จักรพรรดิเทพหิมะเหินท่านก็เป็นผู้เหินทะยาน นอกจากนี้เส้นทางวิญญาณยังบรรลุถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่ออีกด้วย ข้ารู้สึกว่าท่านเก่งกาจกว่าผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ก่อนหน้านี้เสียอีก! หากสามบรรพเทวะคละถิ่นพาท่านไปจากโลกใบนี้ ก็เป็นเรื่องปกตินัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ
เขาก็เดาได้แล้ว
จากเบาะแสต่างๆ ก่อนหน้านี้ เขาก็วิเคราะห์ได้ว่า โลกเทพแห่งนี้น่าจะเคยมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน!
ครั้งนี้มียอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้นมาเยี่ยมเยียนเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคยได้ติดต่อมาก่อน จึงย่อมรู้ว่า การคาดการณ์ของเขาถูกต้อง ! เนื่องจากผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เหล่านี้ล้วนแต่เคยต่อกรกับผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ที่น่าหวาดหวั่นมาก่อนทั้งสิ้น
“จากโลกใบนี้ไปหรือ สามบรรพเทวะคละถิ่นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหวั่นเกรงขึ้นมา
หากจากโลกใบนี้ไป เขาก็ยอมจากไปเองเสียจะดีกว่า
สามบรรพเทวะคละถิ่นพาตนไปหรือ
หรือว่า สามบรรพเทวะคละถิ่นจะมิได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ช่วยเหลือตนเองเท่านั้น
แต่ก็อาจจะมี ‘เจตนาร้าย’ ได้เช่นกัน เช่นนั้นก็จบเห่แล้ว! เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อใจเจ้าเมืองหลัวและเชื่อใจ ‘หยวน’ มากกว่า!
“สามบรรพเทวะคละถิ่นไม่เคยติดต่อกับข้ามาก่อนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ทว่าก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน ศิษย์ของข้า ข้าไม่ค่อยวางใจเท่าใดนัก ดังนั้นจึงหวังว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาจะช่วยเหลือ”
“นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เจ้าเมืองหงส์เมฆาเอ่ย “แต่ปณิธานของข้าไม่อยู่กับเรื่องนี้น่ะสิ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้อวี้เฟิงชิงอินคารวะหงส์อัคคีน้องสาวข้าเป็นอาจารย์ดีกว่า น้องสาวข้ามิใช่ชาวโลกเทพ หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด! แม้พลังที่นางสำแดงออกมาจะเป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ แต่หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิตแล้ว ก็แข็งแกร่งกว่าชาวโลกเทพมากนัก นอกจากนี้นางยังไม่มีทางจากไปไหนด้วย นางจะอยู่ในโลกเทพไปตลอดกาล”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมาทันใด “ดีๆๆ ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีจะยอมหรือไม้”
…………………