Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาค 35 ตอนที่ 21 บรรพชนแมลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารมารร้ายเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเขาไม่ใส่ใจ
แต่มีคนใส่ใจ!
“บุรุษชุดขาวผู้นี้เป็นใครกัน ถึงกับกล้าทำลายการบูชาโลหิตของเกาะจันปาเรา ทั้งยังสังหารยอดฝีมือของเกาะจันปาเราอีกด้วย!”
“ท่านประมุขเกาะ จะต้องตรวจหาตัวตนของเขาให้พบให้จงได้! ถึงกับสังหารยอดฝีมือที่เกาะจันปาเราส่งไปจนเกลี้ยง เกินไปแล้ว ไม่ไว้หน้าเกาะจันปาของพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
ภายในโถงตำหนักอึกทึกไปหมด
โถงตำหนักแห่งนี้ คือตำหนักหลักแห่ง ‘เกาะจันปา’ ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวกันที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของมารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ‘ประมุขเกาะจันปา’ ผู้นำของเกาะจันปาเป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดคนหนึ่ง แม้จะไม่มีสมบัติลับอันสูงส่ง แต่หากพูดถึงผลกระทบของพลังแล้ว ยังแข็งแกร่งกว่าจอมเคารพที่มีการรักษาชีวิตแข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นเจ้าลัทธิเหยียนโม๋หรือบรรพชนเหินประจิมอยู่ขุมใหญ่
ผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ โดยทั่วไปล้วนสามารถเอาชีวิตรอดเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้
เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ล้วนแต่บำเพ็ญวิถีสักสายหนึ่งจนถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดแล้ว จิตวิญญาณและการรับรู้เชื่อมต่อกันอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอาจจะเอาชนะพวกเขาได้ง่ายๆ แต่จะสังหารน่ะหรือ กลับแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เหมือนกับ ‘เจ้าศิลา’ ที่ห้ำหั่นกับ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ สู้สุดชีวิตจนต่างคนต่างบาดเจ็บสาหัสก็เพราะพวกเขาทั้งสองล้วนแต่ไม่ยอมถอยหนี เนื่องจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องรักษา ‘โลกทิพย์โบราณ’ เอาไว้ให้ได้ ส่วนเจ้าศิลาก็ไม่ยอมถอยเพราะโทสะล้วนๆ! หากคิดจะหนีจริงๆ…สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็มิอาจขัดขวางได้
ดังนั้นในฐานะที่ ‘ประมุขเกาะจันปา’ เป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอด ในฐานะจอมมารร้ายผู้หนึ่ง หลังจากครอบครองฝั่งหนึ่งแล้ว ก็ย่อมมีมารร้ายมากมายมาสวามิภักดิ์เป็นธรรมดา เพื่อมาอยู่ใต้ความคุ้มครองของเขา
ตามปกติแล้ว มีแต่พวกเขาที่รังแกผู้อื่น เคยถูกผู้อื่นรังแกเช่นนี้เสียเมื่อไหร่กัน
นอกจากหกรัฐโบราณ พวกเขาเกาะจันปาก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!
“หุบปากให้หมด”
ประมุขเกาะจันปาแค่นเสียงอย่างเย็นชาคราหนึ่ง เบื้องล่างพากันเงียบสนิท
ประมุขเกาะจันปาอ้วนท้วนสมบูรณ์อย่างยิ่ง ประหนึ่งก้อนเนื้อที่กองอยู่บนบัลลังก์อย่างไรอย่างนั้น ดวงตาคู่เล็กของเขามองดูภาพที่ปรากฏขึ้นใน ‘กระจกยลฟ้า’ กลางฟากฟ้า แม้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะมุ่งหน้าไปยัง ‘เมืองอันหยากู่’ เพื่อทำการบูชาโลหิต แต่พวกเขากลับมองดูอยู่ห่างๆ ผ่านกระจกยลฟ้า เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือรวดเร็วเกินไปแล้ว พวกเขายังมิทันได้ลงมือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จากไปเรียบร้อยแล้ว
“บรรพชนแมลง ให้ท่านได้เห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว” ประมุขเกาะจันปามองไปทางผู้แกร่งกล้าอีกท่านหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ซึ่งทั้งร่างเต็มไปด้วยแผ่นเกล็ดสีดำขลับ มีปีกใสบางราวกับปีกจักจั่น บนหน้าผากยังมีเขานิ่มๆ อยู่สองข้าง ราวกับแมลงรูปร่างมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น! เขามีดวงตาอันเยียบเย็น เพียงจ้องตาเขาแวบหนึ่งก็ทำให้หนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจได้แล้ว
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ครั้งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านประมุขเกาะไปทำการบูชาโลหิต แต่กลับเกิดเรื่องระดับนี้ขึ้นมาได้เสียนี่” เสียงของบรรพชนแมลงผู้นั้นแหบพร่า มุมปากกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา “เห็นทีโชคจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
“โชคไม่ดีเลยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญถึงเพียงนี้ ที่ในเมืองอันหยากู่แห่งนี้บังเอิญมีเทพจักรวาลที่แกร่งกล้าผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่พอดี เทพจักรวาลผู้นี้เชี่ยวชาญทางด้านวิถีอากาศ ดูจากกระบวนท่าที่เขาสำแดงออกมาเหมือนกับว่าเป็นขั้นสุดยอดแล้ว” ประมุขเกาะจันปากล่าว “ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกามียอดฝีมือขั้นสุดยอดน้อยเสียจนน่าสงสาร คิดไม่ถึงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าจะพบเข้าคนหนึ่งได้ ทั้งยังเป็นผู้ที่ไม้ไว้หน้าข้าแม้แต่น้อยอีกด้วย”
ยอดฝีมือขั้นสุดยอดมีน้อยมากจริงๆ
นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแล้ว ที่เหลือก็มีจำนวนแค่ราวฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น ส่วนจำนวนที่แน่นอน บรรดาผู้แกร่งกล้าในดินแดนจิตโลกาก็ยังยากที่จะมั่นใจได้
เนื่องจากเมื่อถึงขั้นสุดยอดแล้ว ผู้ที่ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่ง หากมิได้ครองอำนาจทางฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง ก็จะเก็บซ่อนตัวแล้วตั้งใจใฝ่หาทางให้สำเร็จเป็น ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’! บรรดาพวกที่เก็บตัวนั้น หากไม่เปิดเผยออกมา ก็คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จริงๆ
“คิดไม่ถึงว่านอกจากท่าน บรรพชนแมลงแล้ว ในดินแดนจิตโลกาจะยังมีขั้นสุดยอดที่เร้นลับเช่นนี้อยู่อีก” ประมุขเกาะจันปากล่าว
“เคราะห์ดีที่ข้าบังเอิญบรรลุในสถานที่ของท่านประมุขเกาะพอดี” บรรพชนแมลงยิ้มน้อยๆ
“ฮ่าฮ่า บรรพชนแมลงสามารถอยู่ในพื้นที่ของข้าและบรรลุเป็นขั้นสุดยอดได้ นี่นับเป็นเกียรติของข้า บัดนี้บรรพชนแมลงบรรลุแล้ว นับจากนี้ไป เกรงว่าชื่อเสียงคงโด่งดังไปทั่วปฐพีแล้ว” ประมุขเกาะจันปาทอดถอนใจ
ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดบ้างก็ไม่เปิดเผยออกมา
ทันทีที่เปิดเผยก็จะสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา
เนื่องจากขั้นสุดยอดสักคนหนึ่งล้วนมีศักยภาพที่จะสำเร็จเป็น ‘สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู’ ได้! ต่อให้ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งก็มีคุณสมบัติพอจะสร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งปฐพีได้แล้ว
“เฮอะๆๆ” บรรพชนแมลงกลับหัวเราะเสียงเย็นชาหลายครั้ง นัยน์ตากลับมีแววอาฆาตวาบขึ้นมา “ใช่สิ ก็ควรจะชื่อเสียงคงโด่งดังไปทั่วปฐพีอยู่แล้ว”
ประมุขเกาะจันปาเห็นเข้าก็พลันหัวเราะออกมา “เห็นทีคงจะมีบางคนต้องโชคร้ายเสียแล้ว”
“ข้าอดทนมานานมากแล้ว” บรรพชนแมลงพูดเสียงเรียบ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ยอดฝีมือเร้นลับที่ทำลายผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านมากมาย ท่านก็จะปล่อยให้แล้วกันไปเช่นนี้หรือ”
“เขาเป็นยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศ นอกจากนี้ยังไม่เคยพบมาก่อนด้วย ข้าจะลงมือกับเขา ก็ไม่มีที่หาให้พบได้” ประมุขเกาะจันปาส่ายหน้า ร่างกายอันอ้วนท้วนโคลงเคลงไปมา “เอาล่ะๆ ครั้งนี้ก็ถือว่าโชคไม่ดีแล้วก็แล้วกัน”
บรรดาผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ในเกาะจันปาฟังแล้วก็มิอาจข่มเพลิงโทสะเอาไว้ได้
“ไม่รู้จักตัวตนของเขา หาจนไม่มีที่จะหาแล้ว นับว่าเขาโชคดี”
“เขาคงกลัวว่าจะทำให้ประมุขเกาะโมโห ดังนั้นจึงมิกล้าเปิดเผยตัวตนออกมา”
แต่ละคนเอ่ยปากพูด
ประมุขเกาะจันปาหัวเราะเฮอะๆ เพียงแต่ในดวงตาเล็กๆ ที่หรี่ลงนั้นกลับแฝงแววหนาวเหน็บเอาไว้ เมื่อครู่เขามองผ่านกระจกยลฟ้า…ก็มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงออกกระบวนท่า กระบวนท่าหนึ่งทำให้รอยแยกมิติหลายร้อยสายแผ่คลุมไปทั่วทั้งฟากฟ้าของเมืองอันหยากู่และสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดในพริบตาเดียว ขอบเขตใหญ่โตถึงเพียงนี้ อานุภาพก็รุนแรงถึงเพียงนี้ ทำให้ประมุขเกาะจันปาเข้าใจว่า…เป็นศัตรูตัวฉกาจ!
“ทำได้เพียงมองว่าโชคไม่ดีเท่านั้นเองกระมัง” ประมุขเกาะจันปาลอบคิด
เขามีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นโขยง ที่ส่งออกไปในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในกองกำลังเท่านั้นเอง
“ท่านประมุขเกาะ ข้าก็อยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว บัดนี้ก็ถึงเวลาจากไปเสียที” บรรพชนแมลงยืดกายขึ้น
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญอย่างสงบอยู่ในเมืองหิมะเหิน เพียงหนึ่งปีให้หลัง ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็เก็บรวบรวม วัสดุทั้งหมดที่บันทึกเอาไว้บนม้วนสาส์นฉบับที่สองได้จนครบแล้ว
ม้วนสาส์นสองฉบับนั้น
ม้วนสาส์นฉบับแรกบันทึกวัตถุล้ำค่าที่ต้องใช้สำหรับหลอมอาวุธอลวนนอกเหนือจาก ‘เม็ดทรายอลวน’ เอาไว้ แม้จะได้มาค่อนข้างง่าย แต่เมื่อเทียบกับเม็ดทรายอลวนแล้ว ด้วยเครือข่ายข้อมูลของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก็เกรงว่าสิ่งเหล่านั้นคงต้องใช้เวลาเก็บรวบรวมยาวนานกว่า
วัสดุซึ่งรวบรวมเอาไว้ในม้วนสาส์นฉบับที่สอง เมื่อเทียบกันแล้วก็มีระดับต่ำกว่ามาก แม้จะมีมูลค่าหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล แต่กลับเป็นเพราะ ‘จำนวนมาก’ ต่างหาก! หากพูดถึงความล้ำค่าเพียงอย่างเดียว ก็ด้อยกว่าวัตถุล้ำค่าบนม้วนสาส์นฉบับที่หนึ่งอยู่ขุมใหญ่
“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ร่างแยกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้ในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณารับกำไลเก็บวัตถุ ที่อาจารย์มอบให้เอาไว้ ก่อนจะตรวจสอบดูวัสดุจำนวนมหาศาลซึ่งอยู่ภายใน แม้เมื่อเทียบกันแล้วจะมีระดับต่ำกว่ามาก แต่จำนวนมหาศาลนัก เวลาหนึ่งปีก็สามารถเก็บรวบรวมได้ครบแล้วอย่างนั้นหรือ นี่ก็เหนือกว่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเอาไว้เสียอีก
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ ว่า “เสวี่ยอิง เจ้าหวังว่าจะทำให้ทั้งเมืองหิมะเหินแข็งแกร่งมั่นคงขึ้นใช่หรือไม่”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “อาจารย์ทราบได้อย่างไรขอรับ”
“ฮ่าฮ่า…เจ้าคงจะรู้ว่า ภายในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา พลังของข้าเพียงพอที่จะเทียบกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “ทำไมน่ะรึ ก็เพราะอาศัยค่ายกลทั้งหลายภายในรัฐน่ะสิ เมื่อแบ่งพลังออกไป ก็สามารถสำแดงพลังรบออกมาได้เป็นร้อยเป็นพันส่วน เช่นนี้จึงจะสามารถเทียบได้ว่าไร้ศัตรู! ส่วนวัสดุที่เจ้าต้องการเหล่านี้ เป็นวัสดุบางอย่างที่ข้าต้องใช้ซ่อมแซมให้นครหลวงแข็งแกร่งในครั้งนั้น ตอนนั้นข้ารวบรวมมามากเกินไป ยังมีสำรองเอาไว้อีกมากมาย หากขาดตกบกพร่องก็รู้ว่าจะไปหามาจากไหน ครั้งนี้จึงเก็บรวบรวมมาได้อย่างรวดเร็ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ขอรับ ตอนนั้นที่ท่านซ่อมแซมวังในนครหลวง ค่าใช้จ่ายมากกว่าข้ามากมายทีเดียวกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“ราวสิบเท่าของเจ้าได้กระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทอดถอนใจ “ข้าเจ็บปวดใจนัก ทุ่มเทสมบัติล้ำค่าแทบจะทั้งหมดในตอนนั้นเลยทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง
สิบเท่าหรือ
วัสดุของตนเหล่านี้มีมูลค่าราวหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล ที่ตนทำใจเช่นนี้ได้ ก็เพราะนำเอาสมบัติลับระดับยอดสุดของจวินอ๋องดำแลกมา! อาจารย์ซ่อมแซมเสริมความแข็งแกร่งของนครหลวงด้วยราคาเท่ากับสมบัติลับระดับยอดสุดตั้งหลายชิ้นเลยทีเดียว! ไม่เสียทีที่ถูกเรียกว่าเป็นระดับจอมเคารพที่มั่งคั่งที่สุด หากพูดถึงความร่ำรวยแล้ว แม้แต่มหาเคารพฝูอี่และมหาเคารพซือเทียนก็ยังอยู่ในลำดับหลังกว่า
“เจ้าซ่อมแซมตัวเมืองให้แข็งแกร่งขึ้นเพราะเหตุใดหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “แม้ข้าจะกระทำการอย่างระมัดระวัง ไม่เปิดเผยตัวตนออกไป แต่ก็เป็นศัตรูกับผู้อื่น การสังหารมารร้ายจะเป็นการยุแหย่จอมมารร้ายหลายตน! ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันที่ตัวตนถูกเปิดเผย แล้วส่งผลกระทบต่อตระกูลอิงซานไปด้วย ดังนั้นข้าจึงต้องเตรียมการก่อนล่วงหน้า”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าน้อยๆ
ในเมื่อศิษย์ของตนจะยืนหยัดขึ้นมา ก็ย่อมต้องมีพายุคลั่งโหมกระหน่ำเข้ามาเป็นธรรมดา
“หากต้องการความช่วยเหลือจากข้า ก็บอกมาได้เต็มที่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว
“อาจารย์ช่วยเหลือข้ามากมายแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
……
วันนั้น เขาก็เริ่มทำให้ทั้งเมืองหิมะเหินและจวนจ้าวซึ่งเป็นศูนย์กลางแข็งแกร่งขึ้นมา เขามีร่างแยกนับหมื่น แม้ร่างแยกอื่นๆ ส่วนใหญ่จะอ่อนแอมาก แต่ใช้ทำเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ก็สบายมากทีเดียว
เขาทำให้เมืองหิมะเหินแข็งแกร่งมั่นคง จึงไม่มีเรื่องข้างหลังให้ต้องกังวลอีกต่อไป