Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาค 35 ตอนที่ 26 สะเทือนแดนดิน (2)
ในขณะนี้ ขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งบนดินแดนจิตโลกาต่างก็เคร่งขรึมกันเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ‘จักรพรรดิชาง’ ‘บรรพชนฝาน ’‘มหาเคารพซือเทียน’ และ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ที่ล่วงรู้ตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ทุกคนล้วนพินิจดูการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านเคล็ดวิชาลับต่างๆ มากมาย
พลังยุทธ์ที่ร่างแยกเพียงร่างเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงก็สามารถกดดัน ‘ประมุขเกาะจันปา’ ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดได้แล้ว เมื่อร่างแยกเก้าร่างร่วมมือกันแล้วจะไปถึงระดับใดกันหนอ
คิดๆ ดูแล้วก็ทำให้เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็พากันรู้สึกถึงความตื่นตระหนก!
“พลังยุทธ์ของบุคคลลึกลับผู้นี้…” มหาเคารพฝูอี่ผู้สวมอาภรณ์สีฟ้าตลอดร่างก็อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสอดแนมดูการต่อสู้นั้นอยู่ห่างๆ “ร่างแยกร่างเดียวก็แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าหากร่างแยกเก้าร่างร่วมมือกันได้สมบูรณ์แบบพอ เกรงว่าพลังยุทธ์ของเขาก็คงพอจะสูสีกับข้าได้เลยทีเดียวกระมัง”
มหาเคารพฝูอี่มีระดับขั้นจิตใจเช่นนี้ก็ยังเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว
ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าขั้นสุดยอด บางทีเคล็ดลับวิชาจำนวนมากก็อาจจะลึกลับกว่ามหาเคารพฝูอี่อยู่พอสมควร แต่พลังการต่อสู้ซึ่งหน้าก็ยังมิอาจสู้มหาเคารพฝูอี่ได้อยู่ดี
มหาเคารพฝูอี่เคยกดดันรัฐโบราณแห่งหนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว! แม้กระทั่งสุดท้ายที่ประมุขรัฐเสียดฟ้าลงมือ ก็ยังทำได้เพียงแค่กดดันเขาเท่านั้นเอง
แต่ขณะนี้มหาเคารพฝูอี่คาดการณ์ว่าพลังยุทธ์ของบุคคลลึกลับผู้นี้อาจจะใกล้เคียงกับเขาก็เป็นได้!
……
แต่ละฝ่ายชมดูการต่อสู้อย่างตื่นเต้น ต่างก็คาดการณ์กันว่าบนดินแดนจิตโลกาจะมีบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นกำเนิดขึ้นมาอีกคนแล้วนับจากนี้เป็นต้นไป
“ประมุขเกาะจันปา เจ้ากลัวหรือ มิใช่ว่าเจ้าอยากเห็นพลังยุทธ์ที่แท้จริงของข้าหรืออย่างไร ข้าสำแดงอย่างสุดกำลัง แต่เจ้ากลับหวาดกลัวเสียแล้วหรือ” บุรุษอาภรณ์ขาวเก้าคนชี้นิ้วมือของตนนิ้วหนึ่งออกมาเบาๆ พร้อมกันแล้วขยับไปทางด้านหน้าน้อยๆ
พรึ่บ
ห้วงอากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องหน้าถูกการขยับน้อยๆ นี้ทำให้เดือดพล่านขึ้นมาในทันใด ห้วงมิติที่กินพื้นที่ล้านล้านลี้ แบ่งตัวกลายเป็นห้วงมิติขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ภายในห้วงมิติขนาดเล็กทุกแห่งต่างก็มีฟองอากาศอยู่ฟองหนึ่ง ฟองอากาศเริ่มพังทลายจากริมขอบอย่างต่อเนื่องกันราวกับปฏิกริยาลูกโซ่ พังทลายมุ่งสู่ศูนย์กลางเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยวิสัยทัศน์ของเทพจักรวาลก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์โดยละเอียดของกระบวนท่านี้ได้
แต่การพังทลายรวดเร็วเกินไป พลานุภาพจากการพังทลายของฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับแม่น้ำหลากมารวมตัวกัน รวมตัวกันเข้ามายังจุดศูนย์กลางจนหมดสิ้น ซึ่งก็คือบริเวณที่ประมุขเกาะจันปาอยู่นั่นเอง
ประมุขเกาะจันปาอยากจะหนี แต่ฟองอากาศที่มีอยู่ก็เคลื่อนตามไป เขาติดอยู่ท่ามกลางฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนไปตลอดกาล
กระบวนท่านี้ก็คือหนึ่งในสามกระบวนสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิง ‘ฟองอนันต์มลายสูญ’ นั่นเอง
ตอนนั้นที่สังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านก็ใช้กระบวนท่านี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าตอนนั้นมิได้ใช้ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ตอนนี้ถึงแม้ว่าคราวนี้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศจะมิได้ปรากฏออกมาภายนอก แต่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพกติดตัวเอาไว้ พลังของเขาก็กระตุ้นดอกบัวเพลิงห้วงอากาศก่อนแล้ว เช่นนี้อาณาบริเวณของกระบวนท่านี้จึงกว้างใหญ่เช่นนี้ได้ พลังคุกคามจึงได้น่าหวาดหวั่นเช่นนี้
“สมควรตาย” ดวงตาเล็กทั้งคู่ของประมุขเกาะจันปามองไปยังบริเวณรอบๆ อย่างเย็นชา
ด้วยความทระนงของการเป็นขั้นสุดยอด ทำให้เขารังเกียจที่จะหนี
ถ้าหากเขาอยากจะหนี แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังต้านไม่อยู่! ทางสายพละกำลังไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ฟ้าดินทุกกระเบียดนิ้วทั่วทั้งโลกกำเนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ราวกับของเล่นอย่างไรอย่างนั้น
แต่คราวนี้เขามิได้ต้านทานอย่างแข็งขัน หากแต่สำแดงเคล็ดวิชาอย่างสุดกำลัง ถ้าหากทำอย่างสุดกำลังแล้วจะยังมีผู้ใดที่ร้ายกาจกว่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางสายพละกำลังได้อีกเล่า
ฝ่ามือทั้งสองของประมุขเกาะจันปาประสานกันอยู่ตรงหน้าอก
ภายในอาณาบริเวณสิบจั้งโดยรอบตัวเขาเปลี่ยนกลายเป็นขมุกขมัว นอกบริเวณสิบจั้งจึงจะสามารถมองเห็นพละกำลังอันหม่นมัวโคจรโอบล้อมอย่างต่อเนื่องได้ด้วยตาเปล่า
“ปัง…”
ฟองอนันต์มลายสูญ!
ในที่สุดฟองอากาศขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มรอบตัวประมุขเกาะจันปาก็แตกสลาย! ตอนที่แตกสลาย มีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกผ่านตรงไปยังประมุขเกาะจันปา แต่กลับถูกขัดขวางเอาไว้อย่างหนักหน่วง สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังคุกคามของกระบวนท่าที่ตนสำแดงนี้ดูเหมือนว่าจะถูกเคลื่อนย้ายโคจรอย่างต่อเนื่อง โคจรมาต้านทานเคล็ดวิชาของตนเอง แต่โชคดีที่เคล็ดวิชาที่ร่างแยกทั้งเก้าอาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศสำแดงออกมานั้น พลังคละวิถีที่ควบคุมมีอยู่มากพอ ดุดันพอ ถึงแม้ว่าจะถูกเคลื่อนย้ายจนลดทอนลงไปเป็นอันมาก แต่ก็มีส่วนน้อยที่ยังคงปะทะลงไปบนร่างของประมุขเกาะจันปาอยู่ดี
ประมุขเกาะจันปาสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าการปะทะนี้ทะลุผ่านเข้าไปในส่วนลึกของร่างกายโดยตรง
“พรวด” ผิวหนังภายนอกล้วนมีสายโลหิตแทรกซึม ปากก็กระอักโลหิตออกมา
ประมุขเกาะจันปกจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ห่างออกไป
“ช่างเป็นเคล็ดวิชาป้องกันตัวที่ร้ายกาจน่าดูเลยทีเดียว ในด้านการถ่ายพลังก็เหนือกว่าหมื่นเคล็ดมิกล้ำกรายของข้าอยู่มากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยกย่องชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
“ภายใต้กฎเกณฑ์สูงสุด การโจมตีทั้งหมดที่สำแดงออกมาต่างก็อาศัย ‘พลัง’ มาสะท้อนทั้งสิ้น” ประมุขเกาะจันปามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าป้องกันอย่างสุดกำลัง ตามปกติแล้วย่อมมิอาจทำให้ข้าบาดเจ็บได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพลังคละวิถีที่เจ้าใช้จะมากมายและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!”
“ข้ามิได้มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับเจ้าหรอก เพียงแต่หวังว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะทำการสังหารให้น้อยลงหน่อยเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด
เขาย่อมไม่อยากให้ประมุขเกาะจันปาบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ อยู่แล้ว
เมื่อใดที่บ้าคลั่งขึ้นมา…
ถ้าหากประมุขเกาะจันปาไม่แยแสความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชา ลำพังแค่คนเดียวก็สามารถสร้างค่ายสังหารใหญ่แห่งแล้วแห่งเล่าขึ้นมาได้อยู่แล้ว! นี่เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากเห็นเลย
แน่นอนว่าประมุขเกาะจันปาเองก็ไม่อยากกระทำให้เกินกว่าเหตุสักเท่าใดนัก ข้อแรก หากค่ายสังหารเกินกว่าขีดจำกัดโดยทั่วไป เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนมากก็ย่อมมิอาจทนได้อยู่แล้ว ข้อสอง ‘หยวน’ ผู้ลึกลับแห่งดินแดนจิตโลกาผู้นั้น ถึงแม้ว่าจะยินดีที่ได้เห็นผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้ที่เข้มแข็งกว่า ได้เห็นการต่อสู้ แต่ค่ายสังหารที่เกินกว่าขีดจำกัดก็อาจยั่วยุ ‘หยวน’ ให้โมโหได้ เช่นนั้นผลที่ตามมาก็คงน่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมการบูชาโลหิตแต่ละครั้ง บรรดาพญามารจึงได้ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการกันทั้งสิ้น ไม่ลงมือทำด้วยตัวเอง
‘หยวน’ ยืนอยู่ที่ชั้นที่สูงกว่า มองลงมายังดินแดนจิตโลกา ผู้ที่กล้ายั่วยุหยวน ก็คงไม่ต้องพูดถึงผลลัพธ์ให้มากความเลย
เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกับ ‘หยวน’ นั้นแตกต่างกัน
หยวนอาจจะรู้สึกว่าค่ายสังหารบางครั้งนั้นเป็นการกำจัดตามปกติ ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของระบบระเบียบทั้งหมดของทั้งดินแดนจิตโลกา เขาก็ไม่อยากจะสอดมือยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของเหล่าผู้บำเพ็ญ
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสำหรับร่างกายที่อ่อนแอทุกร่าง การพูดถึง ‘ระบบระเบียบของภาพรวมดินแดนจิตโลกา’ นั้นไม่มีความหมายเอาเสียเลย! ผู้อ่อนแอแต่ละคนตายไปแล้ว ภาพรวมดินแดนจิตโลกาพัฒนาไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์! คนจำนวนน้อยแต่ละคนตายไป นั่นก็เป็นอันตรายธรรมดาๆ บนเส้นทางการบำเพ็ญ แต่มารระดับสุดยอดกลุ่มหนึ่งทำการสังหารหมู่ตามอำเภอใจ นั่นก็มิใช่การขัดเกลาแล้ว
นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงกับหยวน
หยวน สูงส่งเหนือผู้ใด เห็นผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เขาเพียงแค่ต้องการทวีคูณบุคคลที่สามารถ ‘หนีออกจากกรงขัง’ ได้เท่านั้นเอง! ความคิดของเขาก็มิใช่เรื่องผิด ไปถึงระดับขั้นเช่นเขา สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโลกกำเนิดเปรียบเทียบกับเขาแล้วก็เป็นความแตกต่างระหว่างสองระดับขั้นใหญ่อย่างแท้จริงเลยทีเดียว
บุคคลดังเช่นหยวนก็ยังดี
ดังเช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่โหดเหี้ยมอำมหิตกว่าจำนวนหนึ่ง รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโลกกำเนิดสิบแห่งร้อยแห่งสูญพันธุ์ไป ขอเพียงแค่มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดสักคนหนึ่งหนีออกจากกรงขังไปได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่าแล้ว!
ตอนนี้พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงอ่อนแออย่างยิ่ง เขามิอาจมีอิทธิพลต่อพวกหยวนได้เลย ได้แต่เหยียบย่างบำเพ็ญไปตามวิถีของตนเท่านั้น
“เพียงแค่หวังว่าค่ายสังหารจะน้อยลงสักหน่อยอย่างนั้นหรือ” ประมุขเกาะจันปามองดูบุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้า “เจ้าใส่ใจมดปลวกพวกนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ มดปลวกนับล้านล้านตายไปแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า”
“พวกเขาก็มีบิดามารดา มีภรรยาและบุตรชายบุตรสาวเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีการดิ้นรนบำเพ็ญอีกด้วย… จะเห็นเป็นมดปลวกจริงๆ แล้วสังหารหมู่นับล้านล้านชีวิตได้อย่างไรกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ
“แล้วถ้าหากผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าสังหารต่อไปเล่า” ประมุขเกาะจันปาพูด
“เช่นนั้นข้าก็ได้แต่…สังหารต่อไป!” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองประมุขเกาะจันปา “สังหารผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าทุกคนที่ลงมือให้หมด! นอกเสียจากว่าเจ้า ประมุขเกาะจันปาลงมือด้วยตัวเอง ข้าก็ต้านไม่อยู่ แต่ค่ายสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้า รอให้ ‘หยวน’ มาถึงก่อนเถิด ใครหน้าไหนก็ช่วยเจ้าไว้มิได้หรอก”
เนื้ออวบอูมบนใบหน้าประมุขเกาะจันปาบูดเบี้ยว
หยวนหรือ
สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด และเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน แต่ละคนดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่กลับหวาดกลัว ‘หยวน’ ด้วยกันทั้งสิ้น
ยิ่งมาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขานี้ก็ยิ่งเสียดายชีวิต
พวกเขาต่างก็มุ่งมาดปรารถนาถึงก้าวที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือการหนีออกจากกรงขังแห่งนี้
“ขุมอำนาจแห่งอื่นเล่า ทะเลสาบมารทมิฬ รัฐเหินประจิม ภูผาเมฆามาร และเมืองอัคคีทิพย์เล่า” ประมุขเกาะจันปาเอ่ยต่อไป “เจ้าก็จะสังหารอย่างนั้นหรือ”
“สังหารให้หมดนั่นแหละ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ผู้ที่กล้าทำการสังหารหมู่ ก็ต้องฆ่ามันให้หมด!”
ในขณะนี้…
ขุมอำนาจที่สังเกตการณ์ดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายเหลือเกินแล้ว ถึงแม้ว่าสิ่งของอย่าง ‘กระจกยลฟ้า’ จะเห็นเพียงแค่สถานการณ์การต่อสู้เท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงพูด แต่ผู้ใดที่ชมดูการต่อสู้อยู่มิใช่สุดยอดผู้แกร่งกล้าบ้างเล่า ดูจากการขยับปากของตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขเกาะจันปา ดูจากความเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศที่พวกเขาสังเกตดูอยู่ ต่างก็สามารถทราบถึงเนื้อความที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงพูดคุยกันแล้ว
วาจาเมื่อครู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการตักเตือนไปยังขุมอำนาจมารทั้งหมดทั่วดินแดนจิตโลกาอย่างเห็นได้ชัดว่า จะสังหารผู้ที่กล้าสังหารหมู่ตามอำเภอใจให้หมด!