Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ภาค 35 ตอนที่ 41 เส้นทางของกฎเกณฑ์สูงสุด
จอมกระบี่พูดยิ้มๆ ว่า “ข้าบรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว ทั้งยังบำเพ็ญมาอย่างยาวนาน รู้สึกมั่นใจว่าจะใช้ด้าน ‘วิถีทำลายล้าง’ กดดันจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สักตั้งหนึ่ง จึงได้ปะทุออกมาแล้วช่วงชิงต้นกำเนิดบางส่วนของโลกกำเนิดมา ภายใต้เงื่อนไขและทรัพยากรที่ดีที่สุดของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ท้ายที่สุดยังได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งในวังเทพจิตโลกามาอีก รับรู้อยู่นานแสนนานจึงก้าวเข้าสู่ขั้นสุดยอดได้ในรวดเดียว”
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“จะว่าไปแล้ว วิถีอากาศและเขตลวงโลกเทียมของเจ้า น่าจะเป็นอันดับหนึ่งในโลกกำเนิดของพวกเราแล้วกระมัง” จอมกระบี่เอ่ย “วิถีอากาศจวนจะถึงขั้นสุดยอดแล้วกระมัง เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ไปควบคุมพลังต้นกำเนิดนี้อีกเล่า”
“เพราะข้ากลัวหมาจนตรอกน่ะสิขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าบำเพ็ญวิถีอากาศและเขตลวงโลกเทียมควบคู่กันสองสาย ข้าก้าวหน้าได้รวดเร็วเสียจนกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้มากว่าเขาจะเหมือนกับจักรพรรดิจวิน ที่เลือกให้ยุคนี้สิ้นสุดลงเสียก่อน ถึงอย่างไรข้าก็ยังมิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอด! เมื่ออากาศอันสับสนอลหม่านถูกทำลายลงไป ร่างจริงของข้าอยู่ที่นี่ก็ต้านทานมิได้ ต้องสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาจากไป หลังจากถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในโลกกำเนิดอีกครั้งแล้ว ต่อให้ข้ากลับมาใหม่ ก็จัดเป็นผู้มาจากภายนอกแล้ว”
จอมกระบี่กระจ่างแจ้งขึ้นมา “ก็จริง ด้วยนิสัยของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้มากว่าอาจจะกระทบถูกเขาเข้าจริงๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
กระโดดออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น คือสิ่งที่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดทุกคนปรารถนา!
เท่าที่เขารู้ในตอนนี้ วิธีกระโดดออกจากกรงขังได้แก่…
หนึ่ง ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด
สอง ก็คือใช้พลังทำลายกฎ ตนเองแข็งแกร่ง เหนือกว่าพันธนาการของกฎเกณฑ์สูงสุดทั้งปวง หากเป็นเช่นนั้น จะหันกลับมาหลอมแปรและควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่งก็ง่ายดายแล้ว
ส่วนวิธีควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด
ผู้บำเพ็ญขั้นสุดยอดโดยทั่วไปล้วนแต่เหมือนกับ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่เผยแพร่ลัทธิแก่สรรพชีวิต ให้สรรพชีวิตศรัทธาเขา สิ่งมีชีวิตอันทรงปัญญานี้จึงจะเป็นการรวมตัวของแก่นหลักแห่งฟ้าดินของโลกกำเนิด! ‘วิญญาณ’ เป็นเอกลักษณ์และลี้ลับ แม้แต่สำหรับเทพจักรวาล พละกำลังซึ่งเป็นแก่นแท้ที่สุดที่แฝงอยู่ในวิญญาณก็ยังเป็นประโยชน์ต่อวิญญาณเช่นกัน
หากในโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง สิ่งมีชีวิตจำนวนมากล้วนศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียวกัน!
ปณิธานของสรรพชีวิต! ก็คือปณิธานของโลกกำเนิด!
หากสรรพชีวิตศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียวกัน ปณิธานของโลกกำเนิดก็จะศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียว หากเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมสามารถปกครองทั้งกฎเกณฑ์สูงสุดได้อย่างสบายๆ และสำเร็จเป็นเจ้านายของโลกกำเนิดได้ในรวดเดียว! อาศัยพละกำลังอันมหาศาลของโลกกำเนิดหล่อเลี้ยงตนเอง ก็ย่อมสามารถก้าวออกจากก้าวนั้น และสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้
เพียงแต่ทางเส้นนี้ก็ยากมากเช่นกัน
ข้อแรก โลกกำเนิดแห่งนั้นจะต้องมีสิ่งมีชีวิตมากพอ หากในช่วงแรกที่โลกกำเนิดถือกำเนิดขึ้นมามีสิ่งมีชีวิตน้อยนิดเกินไป ปณิธานของสิ่งมีชีวิตก็จะส่งผลกระทบต่อโลกกำเนิดเบาบางมาก มีแต่ต้องถึงยุคที่รุ่งโรจน์อย่างยิ่งที่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนบรรลุถึงขีดจำกัดที่โลกกำเนิดจะสามารถรับได้เท่านั้น ปณิธานของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนจึงจะมีคุณสมบัติพอจะส่งผลกระทบต่อปณิธานของโลกกำเนิดได้!
ข้อต่อมา ศรัทธาจะต้องเป็นศรัทธาอย่างแท้จริงที่เกิดจากวิญญาณเท่านั้น! หากศรัทธาไม่บริสุทธิ์พอก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นพวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จึงสำแดงรอบประทับหลอมรวมเข้าไปในวิญญาณของผู้นับถือแต่ละคน
ไร้ข้อกังขา
ว่าบนเส้นทางนี้ จะต้องถูก ‘กฎเกณฑ์สูงสุด’ ขัดขวาง ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ก็จะต้องขัดขวางเช่นกัน!
เช่นพวก ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ สามารถต้านรับการแตกสลายครั้งใหญ่ของโลกกำเนิดได้ เมื่อถือกำเนิดขึ้นมาใหม่นั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาก็ต้องตกอยู่ในห้วงนิทรา! รอจนพวกเขาตื่นขึ้นมา โลกกำเนิดก็ได้มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนวิวัฒน์ขึ้นมาแล้ว และมีเทพจักรวาลบางส่วนปรากฏขึ้นแล้ว…กฎเกณฑ์สูงสุดของโลกกำเนิดหมุนเวียนไป ก็เพื่อให้สิ่งมีชีวิตใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมามีแรงต้านทานเพียงพอ ‘ความสมดุล’ ก็เป็นหนึ่งในแก่นแท้ที่สำคัญของกฎเกณฑ์สูงสุด
……
นอกจากเผยแพร่ลัทธิ ทำให้ปณิธานของสรรพชีวิตช่วยตนปกครองกฎเกณฑ์สูงสุดแล้ว
ยังมีอีกวิธีหนึ่ง…ก็คือควบคุมต้นกำเนิดให้ได้!
โลกกำเนิดก็มีต้นกำเนิดเช่นกัน!
ต้นกำเนิดคือกฎเกณฑ์สูงสุดซึ่งเกิดจาก ‘วิถีขั้นสุดยอด’ แต่ละสายรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดสายไหน…ก็ล้วนแต่เป็นระดับขั้นสุดยอด คิดจะควบคุม อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง
หากต้นกำเนิดที่ปกครองมีจำนวนเกินครึ่งหนึ่ง ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้ปกครองกฎเกณฑ์สูงสุดได้แล้ว!
แต่ปกครองได้เกินครึ่ง หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ
ก็หมายความว่าบนเส้นทางจำนวนมากล้วนแต่ต้องบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองทั้งสิ้น!
“วิถีอากาศของข้าบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองตั้งนานแล้ว แม้แต่วิถีเขตลวงโลกเทียมก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ไม่ให้ไปกระทบถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เมื่อเผชิญหน้ากับจอมกระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง จอมกระบี่เป็นขั้นสุดยอดของรัฐโบราณคิมหันตวายุ เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะล่วงรู้ความลับมากมายเข้าอยู่ดี
“วิถีเขตลวงโลกเทียมก็บรรลุถึงชั้นที่สองแล้วหรือ” จอมกระบี่ตกตะลึง
“ข้อเจรจาตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุไปยกหนึ่งแล้ว และได้รับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมาจากที่นั่นด้วย ดังนั้นพวกจักรพรรดิเซี่ยจึงรู้สถานะคนวิถีจิตฟ้าของข้ามาตั้งนานแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ฮ่าฮ่า มิน่าเล่า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นบำเพ็ญมาหลายยุคแล้ว วิถีอสนีบาตเป็นขั้นสุดยอด บรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว ทั้งยังมี ‘วิถีทำลายล้าง’ ‘วิถีความมืด’ และ ‘วิถีแสงสว่าง’ ด้วย” จอมกระบี่กล่าว “ก่อนหน้านี้ข้ามีผลสำเร็จทางด้านวิถีทำลายล้างลึกล้ำกว่าเขา และฝืนชิงเอาสิทธิ์การปกครอง ‘วิถีทำลายล้าง มาได้ ที่เขาควบคุมก็น้อยกว่า แต่เจ้าบำเพ็ญเป็นระยะเวลาสั้นกว่าข้ามาก หาชิงเอาต้นกำเนิดสองสายได้ต่อเนื่องกัน จะต้องส่งผลกระทบต่อเขาเป็นแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ใช่แล้ว เดิมทีข้าคิดว่าจะเก็บเนื้อเก็บตัวไปตลอด รอให้บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วข้าค่อยลงมือ!”
หากไม่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด
ถ้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้มกระดานขึ้นมา ตนก็มิอาจต้านทานการแตกสลายครั้งใหญ่ได้
แม้จะกล่าวว่ามีขั้นสุดยอดเพิ่มมาอีกสักคนสองคน จะช่วยเคี่ยวกรำด้าน ‘การบำเพ็ญ’ แต่หากคู่ต่อสู้น่ากลัวเกินไป ก็มิใช่การเคี่ยวกรำ แต่เป็นหายนะแทนแล้ว!
ก่อนหน้านี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่กลัว ‘จอมกระบี่’ เลย เนื่องจากจอมกระบี่เชี่ยวชาญเพียงแค่ ‘วิถีทำลายล้าง’ เพียงสายเดียวเท่านั้น วิถีเส้นนี้ก็ไม่เชี่ยวชาญด้านการเผยแพร่ลัทธิและควบคุมวิญญาณ ทั้งยังไม่เชี่ยวชาญด้านการปกครองต้นกำเนิดจำนวนมากเสียด้วย! ดังนั้นเขายังตั้งตารอคอยให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เติบโตขึ้น เนื่องจากโลกกำเนิดมีเขาและเจ้าศิลาเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นขั้นสุดยอด เจ้าศิลาก็อยู่ในห้วงนิทราตลอดเวลา เขารู้สึกว่าเงียบเหงาเกินไปแล้ว
แต่หากตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญไม่ถึงสองล้านล้านปีก็ปกครองต้นกำเนิดสองสายต่อเนื่องกันแล้วล่ะก็ จะต้องส่งผลกระทบต่อเขาอย่างแน่นอน
บางทีเขาอาจจะมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นได้
แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะล้มกระดาน ทำลายล้างโลกตั้งแต่เนิ่นๆ เสียเลย!
“เจ้ายังมิได้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดหรือ” จอมกระบี่มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งจากวังเทพจิตโลกาแล้วกระมัง”
“ใช่แล้ว ข้ากับท่านเข้าไปในวังเทพจิตโลกาพร้อมกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “แม้จะมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง แต่จะบรรลุถึงขั้นสุดยอดก็ยังคงยากมากอยู่ดี”
จอมกระบี่พยักหน้า นัยน์ตาแฝงแววอึดอัดเอาไว้ “ใช่ ยากมาก”
เมื่อเดินผ่านทางเส้นนี้ไป จึงเข้าใจถึงความยาก
ผู้อื่นรู้เพียงว่าเขาบำเพ็ญได้รวดเร็วมาก แต่กลับไม่รู้ว่าเขาประสบกับอะไรมามากน้อยเพียงใด
“ข้าอยู่ในสกุลชาง การช่วงชิงภายในดุเดือดนัก ก่อนหน้านี้ข้ายังค่อนข้างอ่อนแอ จึงมิอาจแย่งชิงอันดับเข้าไปในวังเทพจิตโลกาได้ หลังจากสำเร็จเป็นจอมเคารพแล้ว จึงช่วงชิงอันดับมาได้” จอมกระบี่กล่าว
“เคราะห์ดีที่ท่านบรรลุ มิเช่นนั้นครั้งนี้จักรพรรดิจวินอุกอาจเช่นนี้ ก็คงยุ่งยากใหญ่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“โชคดีมากเช่นกันที่มีเจ้าอยู่ ลำพังข้าคนเดียวคงมิอาจหยุดยั้งเขาได้” จอมกระบี่ยิ้ม
ทั้งสองสบสายตากัน
แล้วก็ยิ้มออกมา
ใช่แล้ว
โชคดีอยู่บ้างจริงๆ พวกเขาทั้งสอง แค่คนเดียวมีพลังไม่พอ จึงมิอาจขัดขวางการทำลายล้างโลกของฝูงมารผลาญทำลายขั้นสุดยอดตนหนึ่งได้! ตอนนั้น ‘เจ้าเมืองหลัว’ สงสารสรรพชีวิต จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างแท้จริง จึงได้มอบโอกาสให้ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่คนละครั้ง เจ้าเมืองหลัวก็มิได้มั่นใจอะไร เพียงแค่มอบความหวังให้เท่านั้น บัดนี้ก็สำเร็จขึ้นมาแล้วจริงๆ!
พวกเขาทั้งสองช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
“ในเมื่อท่านจอมกระบี่บรรลุแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องอดทนต่อไปอีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ไล่ล่าจักรพรรดิจวินจนต้องหลบเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องอดทนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเข้าไปใหญ่”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ” จอมกระบี่นัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าหมายความว่า…”
“ข้ากับท่านสองคนร่วมมือกัน สามารถบีบจักรพรรดิจวินจนเป็นเช่นนี้ได้! ก็สามารถบีบให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำได้แต่หลบซ่อนเช่นกัน” แววตาของตงป๋อเสวี่ยอิงคมปลาบ “วิธีการเผยแพร่ลัทธิของเขาคือการทำให้สรรพชีวิตต้องตกเป็นทาส เข้าควบคุมวิญญาณของพวกเขาโดยตรง สามารถช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นได้เร็วเท่าไหร่ก็ทำให้เร็วที่สุดเถิด”
จอมกระบี่มองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถช่วยเหลือได้หรือ”
“ทำให้สรรพชีวิตต้องตกเป็นทาส ก็แค่วิธีควบคุมวิญญาณบางอย่างเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “พูดถึงการควบคุมวิญญาณแล้ว ท่านคิดว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะสามารถสู้วิถีเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองของข้าได้อย่างนั้นหรือ ข้าเคยตรวจสอบวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนั่นแล้ว ยังมีโอกาสแก้ไขได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ข้ามิกล้าลงมือ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เขาแตกตื่น”
“ดี” จอมกระบี่รอคอยด้วยความตื่นเต้น “ในเมื่อเจ้าสามารถช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตกเป็นทาสได้ เช่นนั้นก็สามารถลงมือได้ตลอดเวลาแล้ว”
“ครั้งนี้ต้องไล่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่นไปในรวดเดียวให้ได้!” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รอคอย
ส่วนการสังหารน่ะหรือ
แน่นอนว่าเขาปรารถนา คนที่สิ้นชีวิตไปเพราะจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีมากมายยิ่งนัก แต่ว่าก็ยังคงสังหารมิได้! ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดนั้น ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ยากจะสังหารได้