Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 546
- Home
- Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์
- Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 546
การเปิดภูเขาสะท้อนดาบเป็นเวลากลางดึก มีข่าวลือว่า เคยเห็นประตูวิญญาณแห่งความตายของภูเขาสะท้อนดาบเปิดออกในคืนพระจันทร์พิเศษ
ความจริงข่าวลือนี้ก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ภูเขาสะท้อนดาบเป็นประตูแห่งความตาย แต่มันแค่มุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะที่ถูกผนึกเอาไว้ ไม่ใช่โลกวิญญาณแห่งความตาย
ในตอนที่เริ่มด่านที่เก้า ชู่มู่ถูกปิดตาเอาไว้ ผนึกร่ายวิญญาณไว้ และถูกพาอ้อมนานมาก ในที่สุดถึงพาเข้าไปยังภูเขาสะท้อนดาบ เข้าไปยังประตูเมืองที่ซ่อนไว้ระหว่างซี่โครงสุดขอบฟ้าของภูเขาสะท้อนดาบนั้น
ชู่มู่ไม่รู้ว่า ประตูความตายนี้เปิดออกอย่างไร รู้แค่ว่าร่างกายของตัวเองได้ผ่านเข้าไปในมิติพิเศษอย่างมาก ในมิตินี้เต็มไปด้วยกลิ่นไอความมืด ราวกับได้เข้าไปในพื้นที่แห่งความตาย รู้สึกเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่กลับมีสิ่งที่ขยับตัวได้
หลังจากเปิดตาออก ชู่มู่พบว่า ตัวเองอยู่ใต้ท้องฟ้าสีดำทันที !
ก้อนเมฆดำนี้ปกคลุมทั่วฟ้า ทำให้รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนหัวใจถูกบางอย่างกดทับเอาไว้ หายใจไม่สะดวก
ชู่มู่ในตอนนี้ยืนอยู่บริเวณขอบเมืองที่แห้งกราน สิ่งที่อยู่ด้านหน้าเป็นเมืองที่มีเมฆสีดำปกคลุมทำให้ดูลึกลับเก่าแก่อย่างมาก
ความจริง นี่ไม่ควรเรียกว่าเป็นเมือง ควรจะเรียกว่าเป็นพื้นที่มากกว่า เพราะในเมืองนี้ไม่มีสิ่งก่อสร้างกับบ้านเรือน แต่กลับมีเส้นทางที่เต็มไปด้วยก้อนหินและซากหินของหน้าผา
ในเมืองมี “กำแพง” มากมาย เป็นเพราะกำแพงเหล่านี้เกิดจากพืชสีดำที่ก่อตัวระหว่างซากปรักหักพังเหล่านั้นที่กระจายอยู่ บางครั้งอาจเห็นก้อนกำแพงที่กัดกร่อนรุนแรง
กำแพงสูงมาก สลับซับซ้อน แทบจะปกคลุมเมืองอมตะทั้งเมือง อีกทั้งยังมี “ถนน” ที่ปกคลุมด้วยพืช บางครั้งอาจพบเห็นระหว่างกำแพงเหล่านี้มีแสงเย็นเยียบประหลาดที่ส่องประกาย นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดักโจมตีแน่นอน
เมืองอมตะนี้ไม่ใหญ่มาก อีกทั้งก่อตัวเป็นทางลาดระดับหนึ่ง ยิ่งเดินลึกเข้าไปพื้นที่ยิ่งสูงมากขึ้น !
ชู่มู่ยืนอยู่บริเวณนอกเมืองแล้วมองออกไป สามารถมองเห็นตำแหน่งที่ไกลออกไปมาก นั่นเป็นตำหนักเก่าสีเทาที่ตั้งชันอยู่ในพื้นที่สูงสุดของทางลาดภายใต้ฟ้าสีดำแห่งนี้
ที่ทำให้รู้สึกตกใจคือ ตำหนักเก่านี้สัมผัสกับท้องฟ้าสีดำนี้พอดี ชั้นเมฆได้เกิดการบิดเบี้ยวอย่างประหลาด ราวกับมีพลังบางอย่างควบคุมมิติแห่งนั้นอยู่ !
ชู่มู่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ในภูเขาสะท้อนดาบจะมีเมืองอมตะที่สะเทือนใจแบบนี้อยู่ ภาพนี้เหมือนความมืดจะปกคลุมโลกนี้ตลอดกาล !
“นี่เป็นเมืองที่เก้าในตำนานเหรอ ! เปิดโลกจริง !!!” ผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่มาจากพื้นโลกร้องขึ้น
รอบตัวชู่มู่ยังมีผู้เข้าแข่งขันขั้นสองในด่านที่เก้าหลายคน คนทั้งหมดเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก สีหน้าตกใจของพวกเขาเกินจริงอย่างมาก ต่างร้องขึ้นทันที !
ชู่มู่กวาดตามองไป พบว่าผู้เข้าแข่งขันขั้นสองในด่านที่เก้านี้มีประมาณร้อยคน
เท่ากับว่า ในหนึ่งร้อยคนนี้มีกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองนี้ พวกเขาแต่ละคนคือการมีอยู่ที่แข็งแกร่งของเขตโลก อีกทั้งในเมืองบางแห่ง แม้แต่รุ่นผู้ใหญ่หรือรุ่นชรายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
“ได้ข่าวว่าสิ่งมีชีวิตในนี้ล้วนอยู่ในลักษณะสิบ ต่ำสุดก็ระดับผู้นำ…”
“ผู้นำลักษณะสิบน่าจะไม่น่ากลัวเท่าไร” บางคนพูดอย่างไม่แยแส
คนที่อยู่ในสนามล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง การประลองฟ้าดินได้จัดขึ้นเป็นเวลานานมากแล้ว เหล่าดวงวิญญาณของผู้เข้าแข่งขันในตอนนี้อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าหมดแล้ว เทียบเท่าความสามารถของผู้นำขั้นสูงลักษณะสิบ ดังนั้น สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่ควบคุมสี่ได้ทุกคนแล้ว ผู้นำลักษณะสิบนี้แทบไม่มีอะไรต้องกลัวจริง ๆ
“เสียดายมาก ผู้นำลักษณะสิบในที่นี่เป็นแค่ทหารน้อย เท่ากับว่าผู้นำลักษณะสิบจะปรากฎตัวเป็นฝูง” อู๋ชิ่งวังดวงวิญญาณพูดพร้อมยิ้มอย่างเยือกเย็น บอกความจริงอันโหดร้ายให้ผู้เข้าแข่งขันความรู้น้อยได้รู้!
“เป็น…เป็นฝูง…จริงเหรอ !!!” ประโยคเดียวของอู๋ชิ่งทำให้ผู้คนแตกตื่นทันที ต่างเผยความหวาดกลัวออกมา
“ทุกคนฟัง !!!”
ในตอนนี้ ร่ายวิญญาณอันหนึ่งทับเสียงของผู้คน ทำให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดในนอกเมืองหยุดพูดทันที
“เย้เทาหนึ่งในสี่ที่นั่ง !!!”
“คนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้บัลลังก์ ! ได้ข่าวว่า ดวงวิญญาณหลักของเขาอยู่ในระดับราชันหมด !”
ในไม่ช้า เหล่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดเห็นชายที่ยืนอยู่บนซากกำแพงนั้นทันที แล้วเริ่มพูดขึ้นเสียงเบา
ในสนามเต็มไปด้วยวัยหนุ่มแข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองร้อยคน แต่เมื่อเทียบกับเย้เทาแล้ว ยังห่างกันมากเหลือเกิน !
คนอย่างพวกเขา เพียงแค่ได้รับการเสนอชื่อในบัลลังก์เทียนเซี่ยในวันข้างหน้า ก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว
“เมืองอมตะเป็นเมืองลึกลับเต็มไปด้วยอันตรายแห่งหนึ่ง มีเพียงผู้แข็งแกร่งถึงจะทนต่อการทดสอบอันโหดร้ายของเมืองนี้ได้ การประลองฟ้าดิน ไม่ใช่การแข่งขันที่จะรับรองความปลอดภัยให้ทุกคนอยู่แล้ว ผู้เข้าแข่งขันอาจต้องเสียสละชีวิตของตัวเองและดวงวิญญาณทุกเมื่อก็ได้ เมื่ออยู่ในเมืองอมตะแห่งนี้ นับว่าเต็มไปด้วยอันตราย ความโหดเหี้ยมทุกแห่งหน ความตายเป็นสิ่งที่พบได้ปกติ ดังนั้น พวกเจ้าควรทำใจไว้ตั้งแต่ตอนนี้”
“เช่นเดียวกับที่พวกเจ้ารู้ดี ในเมืองอมตะแห่งนี้ มีดวงวิญญาณลักษณะสิบมากมายอาศัยอยู่ พลังต่อสู้ขั้นต่ำคือผู้นำ ผู้นำมักอยู่เป็นฝูง และพลังต่อสู้ของมันปกติจะเทียบเท่าจักรพรรดิหรือจักรพรรดิขั้นต่ำ ถ้าในบรรดาพวกเจ้ามีผู้เข้าแข่งขันที่บังเอิญได้เข้ามาในด่านที่เก้านี้ แนะนำให้พวกเจ้าออกมาเถอะ เพราะความสามารถของพวกเจ้าไม่พอที่จะจัดการกับสิ่งมีชีวิตธรรมดาที่สุดในที่นี่ด้วยซ้ำ !”
น้ำเสียงของเย้เทาจริงจิงอย่างมาก คำพูดของเขาทำให้รู้สึกกดดัน ผู้เข้าแข่งขันที่คิดว่า ความสามารถของตัวเองไม่แข็งแกร่งพอเริ่มถดถอยแล้ว
ความสามารถเทียบเท่าลักษณะสิบนี้เทียบเท่ากับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นสูง หลายคนในสนามใช่ว่าจะมีดวงวิญญาณลักษณะเก้าขั้นกลาง
บางครั้งตอนที่เจอกลุ่มเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบ พวกเขาอาจจัดการด้วยการควบคุมหลายตัว แต่ถ้าเจอจักรพรรดิขั้นต่ำ อีกทั้งยังเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ด้วยความแตกต่างของความสามารถ พวกเขาจะไปไม่กลับจริง ๆ !
หลังจากเย้เทาพูดจบ มีหลายคนเลือกที่จะออกจากการแข่งขันจริง !
สำหรับผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้แล้ว การได้เข้ามาในด่านที่เก้าก็มากพอแล้ว ส่วนในด่านที่เก้านี้ ต้องเสี่ยงกับอันตรายถึงชีวิตถึงจะได้เกียรติสุดท้ายแบบนี้ คงเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดเท่าไร
“นี่เป็นทิศใต้ของเมือง จะมีเส้นทางหลายทางที่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง แท่นบูชาอสูรเลือด เส้นทางแต่ละทางจะมีทางแยกมากมาย อาจมีการอ้อม การวนกลับ อาจเป็นแนวดิ่งหรืออาจสูงขึ้น นี่ต้องใช้สติและปัญญาของตัวเองในการค้นหาเส้นทางมุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาอสูรเลือด ระหว่างทางจะเจอกับดวงวิญญาณดุร้ายต่าง ๆ ต้องใช้ความสามารถที่แท้จริงของพวกเจ้ากำจัดอุปสรรคเหล่านี้”
“ส่วนข้าจะต้องเตือนพวกเจ้าไว้ก่อน ทันทีที่ใต้เท้าพวกเจ้ามีลายเส้นสีเลือดปรากฏขึ้น เท่ากับว่านั่นเป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่อื่นของเมืองอมตะ เส้นทางนั้นไม่ใช่เส้นทางที่เด็กอย่างพวกเจ้าไปได้ ทันทีที่เข้าไป มีแค่คำเดียวคือ ‘ตาย’ !!!”
“ในเมืองอมตะแห่งนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตมากมายเฝ้าอยู่ สิ่งที่ผนึกอยู่ในนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิขั้นสูงแน่นอน แม้สิ่งมีชีวิตที่ผนึกในพื้นที่พวกเจ้าอยู่จะอ่อนที่สุดในเมืองอมตะแห่งนี้ แต่พวกเจ้าอย่าไปแตะต้องผนึกที่ไม่ควรคลายออกจะดีที่สุด พวกข้าจะไม่รับรองว่า ความสามารถของสิ่งมีชีวิตที่ถูกผนึกจะเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่สูงขึ้นหรือไม่ ดังนั้น อย่าหาที่ตายเพื่อประโยชน์ของตัวเองจะดีกว่า”
คำพูดเหล่านี้ของผู้อาวุโสเย้เทาทำให้ผู้เข้าแข่งขันกลัวจนพูดไม่ออก
ดวงวิญญาณที่เป็นสิ่งมีชีวิตเฝ้าอยู่เหล่านั้น ระดับต่ำสุดก็เป็นจักรพรรดิขั้นสูง เท่ากับว่า ดวงวิญญาณผนึกตัวใดถูกปล่อยออกมา จะฆ่าล้างพวกเขาได้หมดแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้อาวุโสเย้เทาได้บอกว่า พื้นที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นพื้นที่อ่อนแอที่สุดในพื้นที่ถูกผนึกไว้ ถ้าอย่างนั้นพื้นที่อื่นของเมืองอมตะ จะมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ลึกลับกว่าผนึกอยู่เหรอ !!!
คำพูดนี้ของเย้เทาทำให้ผู้คนหวาดกลัวอย่างมาก ผู้เข้าแข่งขันที่คิดจะฝ่าด่านลำพังก่อนหน้านี้เริ่มตามหาเพื่อนร่วมกลุ่มทันที !
มาถึงด่านที่เก้าแล้ว นอกจากความสามารถแข็งแกร่งเกินคนแล้ว การจะไปถึงจุดหมายด้วยความสามารถของตัวเองลำพังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“เส้นทางถอยกลับง่ายมาก เมื่อเห็นลายเส้นสีเขียว เดินไปทางซ้าย จะออกจากเมืองอมตะในไม่ช้า” เย้เทาบอก
“แล้วก็เมืองอมตะนี้ห้ามบิน กำแพงพืชสีดำนี้เกิดจากดวงวิญญาณพืชอมตะมากมาย พวกมันไม่ปล่อยให้ข้ามไปได้ ทันทีที่มีผู้เข้าแข่งขันข้ามไปจะโจมตีทันที ความสามารถของพวกมันไม่แข็งแกร่ง แต่ถ้ามีจำนวนมากละก็ คิดจะข้ามกำแพงไป จะมีพืชนับร้อยตัวนับพันตัวใช้เถาวัลย์สีดำโจมตีดวงวิญญาณของเจ้า” เย้เทาพูดเสริม
ในโลกอลวน เมืองต้องห้ามทั้งหมดล้วนห้ามบิน การบินเพื่อต่อสู้ยังไม่เท่าไร แต่ถ้าบินข้ามพื้นที่บนฟ้าบางแห่งของสิ่งมีชีวิต จะถูกทั้งฝูงโจมตี นี่เป็นเรื่องที่ควรระวังอย่างมากในโลกธรรมชาติ ผู้คุมดวงวิญญาณทุกคนต้องจดจำให้ดี
ดังนั้น ในตอนแรกก็ไม่มีใครคิดจะขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกข้ามเมืองอมตะแห่งนี้อยู่แล้ว
“พอแล้ว สิ่งที่ข้าจะบอกมีเท่านี้ ไม่ต้องขอให้พวกเจ้าโชคดีแล้ว ขอให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดกลับมาก็ดีแล้ว” หลังจากพูดจบ เย้เทาได้กระโดดลงจากกำแพง เป็นการบอกว่า เหล่าผู้เข้าแข่งขันเข้าสู่เมืองอมตะนี้ได้แล้ว
คำพูดเหล่านี้ของเย้เทาทำให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่มีความกล้าในตอนแรกไม่กล้ามุ่งหน้าแล้ว !
เมืองที่เต็มไปด้วยความตายแห่งนี้ เต็มไปด้วยอันตรายที่ยากจะหยั่งรู้ ใครจะเป็นคนที่กล้าเข้าไป
และแล้ว ในตอนนี้ ชายชุดน้ำเงินลายเส้นสีดำคนหนึ่งได้ปรากฏตัวท่ามกลางผู้คน ชายคนนี้ไม่พูดไม่จาเดินไปยังประตูเมืองอมตะ !
คนเดียว !
ชายคนนี้ไม่สนใจที่จะเลือกเพื่อนร่วมกลุ่ม กลับเดินมุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะลำพัง !
“นั่น…นั่นซือเทียนองค์กรวิญญาณ !!!”
“สมกับเป็นคนที่ทุกคนยอมรับว่า แข็งแกร่งที่สุด และได้เดินเข้าไปคนเดียว !”