Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 545
- Home
- Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์
- Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 545
ลานกว้างเทียนเซี่ย หญิงสาวปิดหน้า ดวงตาอ้างว้างคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนสีขาวยาว
เธอไม่ขยับใด ๆ มองดูเหมือนรูปปั้น อีกทั้งแม้จะมีแสงอาทิตย์สาดส่องกลับดูเหมือนคนตาย
ทุกคนที่เดินผ่านข้างเธอ จะชายตามองไปที่เธอ อย่างไรรูปปั้นนี้เต็มไปด้วยความลึกลับและความคิดบางอย่าง
ทว่า ด้านข้างเธอ กลับมีผู้แข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยพลังเยือกเย็นบางอย่างยืนอยู่ เพียงแค่มีคนคิดจะเข้าใกล้ คาดว่าจะสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้
ในที่สุด ชายใบหน้าซีดขาว สวมชุดสีเทาได้เข้ามาอย่างช้า ๆ เขาเดินไปตรงหน้าผู้หญิง โค้งคำนับ แล้วถึงพูดขึ้นว่า “คุณท่าน”
“บึ้ง !!!”
ทันใดนั้น พลังบางอย่างพุ่งขึ้นจากใต้ดิน ฟาดลงบนตัวชายใบหน้าซีดขาวนี้อย่างแรง กระดูกซี่โครงของชายคนนี้บุบลงไปทันที !
“ว้า” ชายคนนี้พ่นเลือดออกมา ล้มลงบนพื้นทันที ใบหน้ากระตุกด้วยความเจ็บปวด
“แม้แต่วัยหนุ่มที่ขาดหนึ่งญาณก็ควบคุมไม่ได้ ขยะจริง !” น้ำเสียงของคุณท่านหญิงราบเรียบอย่างมาก แต่ในคำพูดนี้กลับแฝงด้วยความแค้น !
ชายใบหน้าซีดขาวกุมหน้าอกไว้ เลือดไหลจากหน้าอกออกมา แต่ว่าเขาไม่กล้าต่อต้านใด ๆ อีกทั้งยังไม่กล้าเผยท่าทีก้าวร้าวออกมา
“ข้าน้อยสมควรตาย” ชายซีดขาวพูดขึ้น
“ตอนนี้เขาได้สร้างอันตรายต่อข้าระดับหนึ่งแล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าไปในด่านที่เก้า เจ้ารับผิดชอบฆ่าเขา” คุณท่านหญิงบอก
“ขอรับ ข้าน้อยจะไม่ให้เขามีชีวิตรอดจากกระประลองฟ้าดินแน่นอน อีกทั้ง ได้พูดคุยกับฉิงเย้องค์กรวิญญาณแล้ว เขาเองก็ยอมลงมือเช่นกัน เพียงแค่เขากล้ามุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะ ข้าน้อยจะให้เขาตายที่นั่นแน่นอน” ชายใบหน้าซีดขาวพูดขึ้น
“ให้เจ้าแฝงตัวข้างองค์หญิงจิ่งโหลว หาโอกาสอันดีควบคุมเธอไว้ เจ้าก็ทำไม่ได้ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว ถ้ายังทำพลาดอีก ข้าจะตัดหัวของเจ้า !” คุณท่านหญิงพูดอย่างเยือกเย็น
“ข้าจะไม่ทำให้คุณท่านผิดหวังอีก” ชายซีดขาวรีบโค้งคำนับ
ตอนที่ก้มหัวลง คุณท่านหญิงปิดหน้าได้ลุกขึ้น หลังจากนั้น สักพักได้หายไปในฝูงผู้คน ราวกับไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
ตอนนี้ชายซีดขาวถึงเงยหน้าขึ้น มุมปากที่เต็มไปด้วยเลือดสดได้ฉีกยิ้มลึกลับออกมา
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่า เจ้าอยากได้บ่อน้ำอมตะในเมืองอมตะ สิ่งที่ทำให้ดวงวิญญาณวัยอ่อนเติบโตด้วยความเร็วห้าเท่านี้เมื่ออยู่ในมือเจ้า เจ้าจะสร้างดวงวิญญาณแข็งแกร่งตัวหนึ่งในเวลาอันสั้น…”
“ทว่า แล้วจะทำอะไรได้ ต่อให้ระดับราชันเติบโตถึงลักษณะสิบ จะเพิ่มความสามารถแทบเป็นไปไม่ได้แล้ว มีเพียงดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูล ถึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด พาข้าเข้าไปในเมืองอมตะ ดวงวิญญาณเปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องตัวนั้นจะเป็นของข้า แล้วให้เวลาข้าอีกสิบปี จะมีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้าเซี่ยกว่างหานงั้นหรือ ผู้หญิงโง่ จะต้องมีสักวัน ที่เจ้าจะถูกข้าเหยียบเอาไว้ !”
…
…
ชุดของปีศาขขาว ชู่มู่ได้ใช้เงินทั้งหมดหนึ่งหมื่นห้าพันล้าน หลังจากสวมชุดให้ปีศาจขาว ชู่มู่แทบไม่ต้องกังวลกับการขัดขวางของผู้เข้าแข่งขันขั้นสอง
แน่นอนว่า เป้าหมายของชู่มู่ในตอนนี้ไม่ได้มีเพียงดวงวิญญาณผนึกในด่านที่เก้าอย่างเดียว เขาจำต้องผ่านลายเส้นผนึกที่ดวงวิญญาณตัวนี้อยู่ เข้าไปในส่วนลึกของเมืองอมตะเพื่อคลายผนึกให้ดวงวิญญาณรองของท่านพ่อตัวเอง แล้วปล่อยมันออกมา
ชู่เทียนหมังเป็นผู้คุมดวงวิญญาณประเภทวิญญาณเหมือนกับชู่มู่ ชู่มู่เชื่อว่า ต่อให้ดวงวิญญาณรองของเขาได้เลิกสัญญาวิญญาณแล้ว ยังคงมีความทรงจำอยู่ไม่น้อย สิ่งที่ดีที่สุดคือ พามันไปหาท่านพ่อของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ชู่เทียนหมังน่าจะกำลังพยายามตามหาดวงวิญญาณที่เลิกสัญญาวิญญาณกับตัวเอง
องค์หญิงจิ่งโหลวได้บอกไว้ว่า ความสามารถก่อนที่ดวงวิญญาณรองของชู่เทียนหมังจะถูกผนึกเอาไว้ก็อยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว ตอนนี้ผ่านไปสิบปีแล้ว เกรงว่าความสามารถน่าจะถูกลดลงอยู่แค่จักรพรรดิขั้นสูง
และรอบ ๆ ลายเส้นผนึก ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ถูกองค์กรวิญญาณล้างสมองอยู่ไม่น้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ ความสามารถของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่งอย่างมาก บางตัวอาจถึงจักรพรรดิขั้นสูง อีกทั้งคาดว่าน่าจะถึงลักษณะสิบหมด
เท่ากับว่า ต่อให้ชู่มู่ในตอนนี้แทบไม่มีศัตรูในขั้นสอง แต่คิดจะคลายผนึกดวงวิญญาณของชู่เทียนหมัง จะต้องมีความสามารถฝ่าไปถึงจุดผนึก คาดว่าเป็นอันตรายอย่างมาก
แน่นอนว่า ถ้ามั่วเย้สามารถแปรเปลี่ยนตระกูลละก็ ทั้งหมดนี้จะจัดการได้ง่ายขึ้น
องค์หญิงจิ่งโหลวได้บอกข่าวสารแบบนี้ เท่ากับจะเข้าร่วมกลุ่มกับชู่มู่ แบบนี้เธอจะปลอดภัยขึ้นด้วย
ชู่มู่ก็ไม่มีความเห็นอะไร อย่างไรเสีย เธอได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองอมตะแล้ว ถ้ามีเธออยู่ละก็ ปัญหาทั้งหมดจะจัดการได้ง่ายขึ้นมาก
ในไม่ช้า เหล่าผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มของทั้งเมืองเทียนเซี่ยได้เข้าสู่การประลองครั้งสุดท้ายนี้แล้ว
ด่านที่เก้ากับสิบดำเนินพร้อมกัน เท่ากับว่าหลังจบการประลองครั้งนี้ จะรู้ผู้ได้เกียรติสุดท้ายของด่านที่หนึ่งและสองแล้ว
ผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มแทบทั้งหมดของการประลองเทียนเซี่ยได้รวมตัวอยู่ในเมืองเทียนเซี่ย คนที่จะได้เกียรติสุดท้ายนั้น จะมีชื่อก้องกังวานไปทั่วฟ้าดิน กลายเป็นเป้าหมายที่เหล่าวัยหนุ่มนับหมื่นใฝ่ฝันจะเอาชนะ !
ส่วนเรื่องการคาดเดาผู้ที่จะได้เกียรติสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้ก่อนเริ่มการประลอง
ถึงด่านที่เก้า ชื่อของผู้เข้าแข่งขันแทบทั้งหมดจะอยู่บนป้ายประกาศ
ชู่มู่เป็นผู้ได้เกียรติสูงสุดของด่านที่แปด ชื่อเสียงดังกว่าแต่ก่อนหลายเท่า กลายเป็นผู้เข้าแข่งขันที่คาดว่าจะได้เกียรติสุดท้ายคนหนึ่งในสายตาผู้คน อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองล้มคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย !
แน่นอนว่า คนของวังมารนิรยเกลียดชู่มู่เข้ากระดูก เพราะปราศจากเจียงอี้เถิงและซิงหยางดาวรุ่งทั้งสองคนนี้แล้ว เหล่าสมาชิกของวังมารนิรยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคาดเดาว่าใครจะได้เกียรติสุดท้ายนี้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับวังมารนิรยมาก่อน !
“ฮะฮะ ชื่อเสียงของน้องสี่ในตอนนี้เกินกว่านายท่านตำหนักวิญญาณแล้ว ! ท่าทางน้องสี่มีความหวังยอย่างมากที่จะได้เกียรติสุดท้ายชั้นสองจริง ๆ ข้าอดใจไม่ไหวที่จะบอกข่าวนี้ให้กับคนในตระกูลแล้ว !” ชู่หยู่พูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
หลังจากชู่หยู่กับชู่ชิ่งถูกคัดออกในด่านที่สี่ ได้คอยติดตามเกียรติที่ชู่มู่ได้ในแต่ละด่าน และในทุกครั้งที่ชู่มู่ได้เกียรติสูงสุด ทั้งสองคนได้เขียนจดหมายด้วยความตื่นเต้น บอกสถานการณ์ให้กับคนในตระกูลรู้ เพื่อให้คนทั้งหมดในตระกูลรู้ว่าในตระกูลชู่ของพวกเขามีอัจฉริยะที่ทำให้คนหลายรุ่นภาคภูมิใจอยู่ !
“ประเมินออกมาแล้ว ชื่อเสียงของชู่เฉิงในตอนนี้เป็นรองจากซือเทียนองค์กรวิญญาณ น่าจะเป็นลพดับที่สองในเกียรติสุดท้าย คาดไม่ถึงจริง ๆ ผู้นำของเราจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ได้ !” จ้าวเฉิงตบไหล่ของซ่างเหิงแล้วพูดขึ้น
ตอนที่พูด จ้าวเฉิงยังมองไปยังจ่านหงที่ยืนห่างไม่ไกล พูดขึ้นว่า”เจ้าดู ตอนอยู่ด่านที่หนึ่ง เจ้าบอกว่าเขาทนไม่ถึง ยี่สิบห้านาที ตอนนี้ละ เจ้าสู้ดวงวิญญาณเขาไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว !”
สีหน้าของจ่านหงประหลาดอย่างมาก ยังคงพูดอย่างดื้อดันว่า “เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายท่านฟางเจ๋อแน่นอน”
ซ่างเหิงมองไปยังสมาชิกตำหนักวิญญาณรอบๆ พูดกับผู้คนว่า”น่าจะเดาผู้ครองเกียรติสุดท้ายได้แล้ว คนที่มีหวังมากที่สุดคือซือเทียนองค์กรวิญญาณ ไม่รู้ว่าทำไมเจ้านี่ถึงเป็นที่ชื่นชอบของคนมากมาย แต่ไม่เห็นเขาอัญเชิญดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมาเท่าไร คาดว่า ความลึกลับของเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เป็นที่นิยม…”
“รองลงมาคือชู่เฉิง ชนะผู้แข็งแกร่งทั้งสองของวังมารนิรย ความสามารถของดวงวิญญาณหลักทั้งสามของเขาเป็นที่กระจ่าง โดยเฉพาะมารนิรยขาว ได้ครองขั้นสองทั้งหมด”
“อันดับที่สามคือ อู๋ชิ่งวังดวงวิญญาณ ได้เกียรติสูงสุดในอีกด่านของด่านที่แปด ดวงวิญญาณหลักของเขายังไม่ปรากฏตัว”
“อันดับที่สี่คือ นายท่านฟางเจ๋อ ว่าแต่ ฟางเจ๋อของพวกเราก็เก็บตัวจนแทบจะเน่าแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเมื่อก่อนเขาเคยระเบิดความสามารถออกมา คาดว่าคงถูกลืมไปแล้ว”
“อันดับที่ห้าคือ เซียวอานที่ไม่มีอำนาจมาจากเขตโลกตะวันออกไกลพ้น…”
…
“อันดับที่แปดคือ องค์หญิงน้อยวังมารนิรย ตอนอยู่ด่านที่แปดได้เผยมาริยขาวกับจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตออกมาแล้ว”
“หญิงงามอันดับหนึ่งของพวกเราก็เป็นผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวเช่นกัน” จ้าวเฉงพูดแทรก
…
“อันดับสิบคือ เย้ชิงจือ เห้อ ไม่ต้องพูดถึงเธอแล้ว ความสามารถหน่วยเสริมแข็งแกร่งยิ่งของเธอ อยู่กับใคร คนนั้นก็แทบไม่มีศัตรูแล้ว ส่วนเธอจะอยู่กับใคร ทุกคนน่าจะรู้ดี”
“อืม คู่สามีภรรยานี้ คาดว่าเกียรติสุดท้ายขั้นสองจะอยู่ในมือของพวกเขาจริง ๆ”
ความจริงแล้ว ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ก็เดาสถานการณ์แบบนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ซือเทียนองค์กรวิญญาณ ฟางเจ๋อตำหนักวิญญาณ อู๋ชิ่งวังดวงวิญญาณ แต่ตำแหน่งที่ควรจะเป็นของเจียงอี้เถิง ตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยม้ามืดอย่างชู่เฉิง
หลายครั้ง การฝ่าด่านไม่ได้ดูที่ความสามารถทั้งหมด ดังนั้น ใครจะได้เกียรติสุดท้ายนี้ ยังเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้
ความแตกต่างและความไม่รู้นี้ กลายเป็นเรื่องที่คนทั้งหมดร่วมสนุกแล้ว อีกทั้งมีผู้ติดตามหลายคนเริ่มแบ่งพรรคพวกตามผู้เข้าแข่งขันที่ตัวเองสนับสนุนด้วย
…
…
ในที่สุด ด่านที่เก้าจะเริ่มขึ้นแล้ว
ตามที่องค์หญิงจิ่งโหลวคาดไว้ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดจะถูกผนึกร่ายวิญญาณเอาไว้ ปิดตาไว้ พาไปยังจุดเข้าร่วมลึกลับ จนกระทั่งเข้าสู่เมืองอมตะ ถึงปล่อยให้ผู้เข้าแข่งขันมีอิสระ
เนื่องจากความพิเศษของสถานที่ ดังนั้น ในการประลองจะไม่มีผู้ชมใด ๆ
และคนทั้งหมดที่อยากรู้ผลการแข่งขัน ทำได้แค่รออยู่ในลานกว้างเมืองเทียนเซี่ย ในตอนนี้ผู้คุมดวงวิญญาณที่เพาะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ พิเศษนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดได้ทราบถึงสถานการณ์แข่งขันทั้งหมด ฝ่ายจัดการประลองได้อนุญาตให้ผู้คุมดวงวิญญาณปล่อยดวงวิญญาณส่งข่าวของตัวเองเข้าไปในเมืองอมตะ ดวงวิญญาณส่งข่าวตัวเล็กเหล่านี้เมื่อได้ข่าวสารบางอย่างมา จะใช้วิธีจิตพิเศษบางอย่างส่งไปให้ผู้คุมดวงวิญญาณ และให้ผู้คุมดวงวิญญาณเหล่านั้นบอกสถานการณ์ให้กับผู้ชม
วิธีนี้ทำให้การประลองฟ้าดินมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น ไม่ได้ให้ผู้คนรอเก้ออยู่กับที่ แล้วค่อยรู้ผลการประลองในภายหลังอย่างไร้สาเหตุ !