Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 550
- Home
- Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์
- Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 550
เวลาสิบนาที ดับหมด !!!
การต่อสู้ดุเดือด กินใจงั้นหรือ
สีหน้าของผู้คนที่ใช้คำว่า “คู่ต่อสู้สูสี” เหล่านั้นต่างแข็งทื่ออยู่กับที่
ส่วนผู้คนที่สนับสนุนเซียวอาน เชื่อว่าเซี่ยวอานอาจ “ดักโจมตี” แล้วทำให้พวกชู่เฉิงออกจากการแข่งขัน สีหน้าของพวกเขาประหลาดอย่างมาก !!!
การต่อสู้แบบหมู่ เพราะจำนวนของดวงวิญญาณมีมาก ทำให้การต่อสู้เปลี่ยนต่อเนื่อง เวลาในการต่อสู้จะเข้าใกล้หนึ่งชั่วโมง อีกทั้งนี่ยังไม่มีการเปลี่ยนดวงวิญญาณด้วย
จบการต่อสู้ในสิบนาที เป็นการบอกว่า ความสามารถของทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว !!!
อย่างน้อยเซี่ยวอานก็เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับที่ห้า สู้กับชู่มู่ครั้งเดียว กลับดับหมด ผลนี้ทำให้คนฟังสะเทือนมากเกินไปแล้ว!!
“ชู่เฉิงในตอนนี้จะกวาดล้างขั้นสองจริง ๆ แล้ว ผู้แข็งแกร่งที่พวกเราต้องแหงนหน้ามองยังถูกเขาขยี้ตายอย่างง่ายดาย” ซ่างเหิงพูดอย่างสะเทือนใจ
“ไม่แน่ เจ้านี่อาจซ่อนดวงวิญญาณหลักอะไรอยู่” จ้าวเฉิงพูดขึ้น
“เป็นไปไม่ได้แล้วงั้นหรือ ยังมีดวงวิญญาณหลัก ดวงวิญญาณพวกนี้ของชู่มู่ก็ผิดปกติมากพอแล้ว !” เหล่าสมาชิกตำหนักวิญญาณพูดด้วยสีหน้าตกใจ
สมาชิกตำหนักวิญญาณในลานกว้างตอนนี้มีไม่น้อยที่ได้เห็นการต่อสู้ของชู่มู่กับเจียงอี้เถิงกับตา บุคคลระดับผู้อาวุโสในตำหนักวิญญาณส่วนในไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ชู่มู่มีมารนิรยขาว พวกเขาที่เป็นสมาชิกธรรมดาจะพูดอะไรได้ อย่างไรพลังต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งที่ชู่มู่เผยออกมาให้เห็นทำให้สมาชิกตำหนักวิญญาณตื่นตาตื่นใจ ยังหวังว่าชู่มู่จะคว้าเกียรติสุดท้ายขั้นสองนี้มาอย่างสมเกียรติ
“ฮะฮะ ข้าพูดเฉย ๆ จะซ่อนดวงวิญญาณอีกได้อย่างไร” จ้าวเฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
…
ห้องโถงฝ่ายจัดการประลอง
“จากสถานการณ์ที่การผนึกไม่มั่นคงแล้ว ความสามารถของอสูรเลือดตัวนี้อาจเพิ่มขึ้นก็ได้ !” ชิวไห่หนึ่งในสี่ที่นั่งพูดขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว
“ก่อนที่จะถูกผนึก เป็นแค่จักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกว่า ตอนนี้อาจเพิ่มขึ้นจนอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดแล้วงั้นหรือ”
“อาจเป็นไปได้มาก เมื่อกี้ข้าได้ไปตรวจดู พบว่ากลิ่นเลือดค่อนข้างหนาแน่น” เย้เทาที่กลับจากเมืองอมตะพูดขึ้น
“เรื่องนี้ทำไมไม่บอกให้ไวกว่านี้ พวกคนที่ตรวจเรื่องนี้ ทำพลาดได้อย่างไร !” ไห่ชิวพูดอย่างหงุดหงิด
“ถ้าบอกว่าจักรพรรดิชั้นยอด จะมีผู้เข้าแข่งขันกี่คนไปถึงที่นั่น ก็ต้องตายหมด ไปตอนนี้อาจจะยังทัน ข้าไปเองเถอะ ไปลดความสามารถของอสูรเลือดตัวนั้นลงบ้าง” เย้เทาบอก
จักรพรรดิชั้นยอด ดวงวิญญาณระดับนี้นับว่าเป็นยมทูตของขั้นสอง จะมีดวงวิญญาณกี่ตัวถูกฆ่าในเสี้ยววินาที
โดยปกติแล้ว ความยากของเกียรติสูงสุดขั้นสองจะอยู่ที่จักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบ อีกกทั้งปกติจะต้องให้ผู้เข้าแข่งขันมากมายล้อมโจมตีถึงจะฆ่าตายได้ ถ้าความสามารถของอสูรเลือดเพิ่มขึ้นสองขั้น แทบไม่มีใครจะคว้าเกียรติสุดท้ายนี้ได้
“โดยปกติผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งต้องใช้เวลาสิบวันถึงจะไปถึง เย้เทาเจ้าเร็วหน่อย ทำให้จักรพรรดิชั้นยอดนั้นได้รับบาดเจ็บ แล้วให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันปล่อยออกมา น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” ชิวไห่บอก
เย้เทาพยักหน้า ในตอนนี้ได้ออกจากห้องโถงฝ่ายจัดการประลอง มุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะอีกครั้ง
ดวงวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ ส่วนใหญ่ความสามารถจะอ่อนลงเพราะขาดการต่อสู้ในระยะยาว แต่จะมีดวงวิญญาณที่มีพลังชีวิตดื้อดันอย่างมากบางพวก พวกมันสามรถหล่อหลอมร่างกายของพวกมันผ่านสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้ แล้วหลังจากผ่านเวลาอันยาวนั้น จะทำลายความสามารถในระดับเดิมได้ !
…
“ชู่มู่ เจ้าพยายามเก็บพลังต่อสู้เถอะ โดยเฉพาะดวงวิญญาณหลัก เกียรติสุดท้ายในด่านที่เก้าไม่ได้ได้มาง่าย ๆ” เย้ชิงจือพูดกับชู่มู่
ชู่มู่พยักหน้า ในตอนนี้ได้ร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญราชันผีหินผากับภูตพันวายุออกมาตรงหน้าตัวเอง
ราชันผีหินผาอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสองแล้ว ด้วยผลของเกราะวิญญาณขั้นแปด ถ้าใช้แปรเปลี่ยนราชันผีอีก ต้านทานการโจมตีของจักรพรรดิขั้นกลางได้ไม่มีปัญหา ส่วนพลังต่อสู้หลักต่อจากนี้ ย่อมต้องมอบให้กับเย้หวันเชิงและองค์หญิงจิ่งโหลวแล้ว
เส้นทางที่องค์หญิงจิ่งโหลวเลือกนับว่า มุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาอสูรเลือด ระหว่างทาง แม้ทั้งสี่คนจะเดินอ้อม แต่ใช้ไม่กี่วัน เริ่มตามผู้เข้าแข่งขันคนอื่นทันแล้ว
ตามการคาดคะเนก่อนหน้านี้ น่าจะใช้เวลาอีกแค่สองวัน ก็จะไปถึงแท่นบูชาอสูรเลือดแล้ว
เส้นทางที่องค์หญิงจิ่งโหลวเลือกก่อนหน้านี้น่าจะใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เพราะระหว่างทางได้เจอกับการขัดขวางของสิ่งมีชีวิตและผู้เข้าแข่งขัน ทำได้แค่ไปถึงในวันที่แปดหรือเก้า
จั้นเย้ของชู่มู่เองก็ไม่อาจต่อสู้เวลานานขนาดนั้นได้ ดังนั้น หลังจากสู้กับเซียวอานแล้ว ชู่มู่ได้เก็บจั้นเย้กลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ ให้มันพักผ่อนในนั้น รอให้ความสามารถแตกหักงอกใหม่ฟื้นกลับมา
…
วันที่แปด
พวกชู่มู่ทั้งสี่คนได้เข้าใกล้แท่นบูชาอสูรเลือดในที่สุด
ใต้แท่นบูชาอสูรเลือด ยังมีลานกว้างบูชาอยู่ ทั้งลานกว้างนี้เป็นรูปร่างที่มีสิบสองมุม ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองอมตะ
จากขอบลานกว้างไปยังใจกลางสุดของแท่นบูชา มีเสาหินที่แกะสลักด้วยลายเส้นปีศาจประหลาดมากมาย เสาเหล่านี้มีความสูงเกือบสามสิบเมตร ถูกย้อมเป็นสีเทาขาว บนนั้นมีฝุ่นและคราบตามกาลเวลา
บริเวณขอบทั้งสิบสอง แบ่งเป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่แท่นบูชา เส้นทางนี้คั่นด้วยเสาที่เรียงราย ที่น่าสะเทือนใจคือ แม้ฐานของแท่นบูชานี้จะกว้างเหมือนลานกว้าง แต่นอกจากเส้นทางที่ก่อตัวจากเสาแล้ว กลับเต็มไปด้วยรูปปั้นประหลาดมากมาย รูปปั้นเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตดุร้าย พวกมันยืนอยู่ตรงนั้นราวกับมีชีวิต ราวกับว่าถ้ากล้าเหยียบเข้าไปในพื้นที่ของมัน พวกมันจะ “ฟื้นชีพ” ทันที !
และบนเส้นทางหินสีดำสิบสองทางที่มุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาสูงสุดนี้ มีรูปปั้นมากมายตั้งอยู่เช่นกัน เมือเทียบกับรูปปั้นที่นับไม่ถ้วนนอกเสาเหล่านั้นแล้ว เส้นทางนี้น้อยลงกว่ามาก
“ข้าเข้าไปดูให้ก่อน !”
เย้หวันเชิงรวมความกล้า ขี่ปีศาจเสือลานที่อยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลางมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่กั้นด้วยเสาอย่างช้า ๆ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยเสานั้น มีรูปปั้นวางอย่างเป็นระเบียบ กวาดตามองไป เหมือนจะมีประมาณสิบห้ารูป รูปปั้นเหล่านี้ยืนเหมือนมนุษย์ บนตัวพวกมันมีเกราะเกล็ดทีละชิ้น โครงร่างแข็งแรงกว่ามนุษย์มาก ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่คลานตัวขึ้น
บนหัวของรูปปั้นมีเขาอยู่ ใบหน้าโดดเด่น ให้ความรู้สึกเต็มไปด้วยพลัง ที่พิเศษคือ มันมีหางยาวเหมือนสัตว์เลื้อยคลานอยู่
ทั้งสี่คนไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตนี้มาก่อน จึงไม่รู้ชื่อเรียกของมัน หรือนี่อาจเป็นรูปปั้นศิลปะของเมืองอมตะ
“ว่าแต่ สิ่งมีชีวิตที่ถูกผนึกไว้ในแท่นบูชาอสูรเลือดจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ไม่มีทางเป็นจักรพรรดิขั้นกลางแน่นอน ถ้าอย่างนั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นจักรพรรดิขั้นสูงใช่ไหม” เย้หวันเชิงหันกลับมาถาม
“น่าจะอยู่ระหว่างจักรพรรดิขั้นสูงกับจักรพรรดิชั้นยอด”องค์หญิงจิ่งโหลวได้บอกขอบเขตความสามารถที่แน่ชัดออกมา
“หวังจะเป็นแบบนั้น…” เย้หวันเชิงพึ่งจะพูดขึ้น นึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วหยุดลงทันที !
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ปีศาจเสือปีกของเย้หวันเชิงเปลี่ยนทิศทางทันที วิ่งกลับมาด้วยความรวดเร็ว ทำท่าทีเต็มไปด้วยเหงื่อ !!!
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” ทั้งสามคนต่างถามด้วยความสงสัย
ชู่มู่ เย้ชิงจือ องค์หญิงจิ่งโหลวต่างตามอยู่ด้านหลังเย้หวันเชิง พวกเขาแทบไม่เห็นอะไร
“พระเจ้า รูปปั้นนั้น…มีชีวิต !” เย้หวันเชิงด่าออกมา!
สายตาของทั้งสามคนมองไปยังรูปปั้นทันที คอยสังเกตอย่างละเอียด
แต่ว่า ไม่ว่าจะมองไปทางใด รูปปั้นยังคงเหมือนรูปปั้นทั่วไป ไม่มีท่าทีของสิ่งมีชีวิตใด ๆ อีกทั้งถ้าบอกว่ารูปปั้นมีชีวิต ในระยะที่ใกล้แบบนี้ พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่รู้กลิ่นไอใด ๆ
“นี่เป็นผู้เฝ้ารูปปั้นหิน ดวงวิญญาณที่รวมจากหมวดหินและหมวดอสูร มีพลังและการป้องกันที่แข็งแกร่ง พื้นที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ไม่มีดวงวิญญาณตระกูลธาตุแบบนี้” ในตอนนี้ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังช้า ๆ
ก่อนหน้านี้ชู่มู่ก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวด้านหลังแล้ว ในตอนนี้ได้หันกลับไปมองคนที่พูด
ส่วนสามคนที่เหลือได้เผยสีหน้าหวาดระแวงออกมาตอนเสียงนี้ดังขึ้น สายตาจับจ้องไปยังแขกไม่รับเชิญคนนี้
ชายคนนี้เดินมาคนเดียว ด้านข้างกลับไม่มีดวงวิญญาณตัวใด ราวกับคาดว่าพวกชู่มู่จะไม่โจมตีเขา เขาไม่ได้หยุดเดิน แต่กลับเดินมุ่งหน้ามายังทั้งสี่คนต่อไป
“ผู้เฝ้าหินเหล่านี้อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นต่ำหมด ที่อยู่ใกล้แท่นบูชาจะเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง โดยปกติผู้เฝ้าหินเหล่านี้จะไม่เผยกลิ่นไอสิ่งมีชีวิตออกมา จะเหมือนเป็นรูปปั้น ทันทีที่มีคนเข้าใกล้พื้นที่ร้อยเมตร พวกมันจะฟื้นชีพ เท่ากับว่า ในเส้นทางนี้มีผู้เฝ้าหินทั้งหมดสิบห้าตัว มีเพียงกวาดล้างพวกมัน พวกเจ้าถึงจะไปยังแท่นบูชาอสูรเลือด และเปิดผนึกแท่นบูชาอสูรเลือดได้” ชายคนนี้พูดต่อ
ระหว่างที่พูด ชายคนนี้ไม่ได้หยุดเดิน เขามุ่งหน้าต่อไป เดินผ่านทั้งสี่คน มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่มีผู้เฝ้าหินสิบห้ารูปนั้น
“ซือเทียนองค์กรวิญญาณ” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดกับชู่มู่เสียงเบา
ก่อนหน้านี้ชู่มู่ก็จำคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่บุกเมืองอมตะนี้ลำพังได้แล้ว แต่ว่าที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมากคือ เจ้านี้แทบไม่มีความสนใจจะจัดการคู่แข่งขันก่อน แต่กลับบอกข้อมูลเกี่ยวกับผู้เฝ้าหินให้พวกเขาทั้งสี่คนรู้
ซือเทียนมุ่งหน้าต่อไป เข้าใกล้หนึ่งร้อยเมตรของรูปปั้นที่หนึ่งอย่างมากแล้ว…
และแล้ว สิ่งที่ทำให้ชู่มู่ทั้งสี่คนประหลาดใจคือ ผู้เฝ้าหินไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ !
ผู้เฝ้าหินไม่ได้ฟื้นชีพ ซือเทียนองค์กรวิญญาณเดินมุ่งหน้าต่อไป ต่อให้ผ่านรูปปั้นที่สอง ผู้เฝ้าหินก็ไม่ได้ตอบสนองใด ๆ
“ลืมบอก ข้ารู้ว่าทำอย่างไรไม่ให้พวกมันฟื้นขึ้นมา ดังนั้น ข้าไปก่อนละ” ซือเทียนหันกลับมาพูดพร้อมฉีกยิ้มออกมา
หลังจากพูดจบ ซือเทียนเดินไปยังแท่นบูชาอสูรเลือดต่อไป !
“คนโกหก ! ชั่วร้ายมาก ! ”เย้หวันเชิงด่าทันที
เย้หวันเชิงไม่เชื่อคำที่ซือเทียนบอก ขี่ปีศาจเสือลายพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
แต่ว่า ในตอนที่เย้หวันเชิงเข้าใกล้หนึ่งร้อย เมตร รูปปั้นที่หนึ่งสะดุ้ง ฝุ่นบนตัวนั้นกลับเริ่มหลุดออก !!!
ฟื้นขึ้นมาแล้ว !!!ผู้เฝ้าหินตัวนี้ฟื้นขึ้นมาจริง ๆ !!!