Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 591
- Home
- Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์
- Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ - ตอนที่ 591
“ชู่มู่ รอถึงตอนที่ชิงบัลลังก์เจ้าฟ้าดินในครั้งหน้า ข้าจะเก็บบัลลังก์เจ้าไว้ ที่นั่งอสูรทั้งสี่จะให้เจ้า” เย้หวันเชิงยักไหล่ ยืนขึ้นแล้วพูดกับชู่มู่ที่ยืนอยู่บนเวทีเกียรติยศสีทองอร่าม
ชู่มู่มองเขม็งไปยังเย้หวันเชิง ยักคิ้วถามขึ้น “คำสั่งเสียอาจารย์ของเจ้าคืออะไรกันแน่ ที่ทำให้เจ้ากล้าพูดจาแบบนี้”
“แหะ แหะ ความลับ !” เย้หวันเชิงยิ้มอย่างลึกลับ เต็มไปด้วยความมั่นใจ
เย้หวันเชิงไม่บอก ชู่มู่ถามเย้ชิงจือก็ได้
“ที่นั่งทั้งสี่ปรากฏตัวแล้ว” ในตอนนี้เย้หวันเชิงพูดกับชู่มู่เสียงเบา
ชู่มู่มองไปยังชายทั้งสี่ที่สวมชุดหรูหราทันที
คนที่มีอายุมากที่สุดในที่นั่งทั้งสี่คือ ไห่ชิววังดวงวิญญาณ ปลายตามีรอยย่นเล็กน้อย รองลงมาคือเย้เทาวังมารนิรย ต่อมาคือ ผู้อาวุโสถิง คนที่อายุน้อยที่สุดคือ เทียนทิง
ทั้งสี่คนไม่ได้เดินเข้ามาทันที แต่กลับเดินไปยังฝูงผู้คนที่มีตำแหน่งสูงส่งเช่นกันอีกกลุ่ม
“ตำแหน่งของที่นั่งทั้งสี่สูงกว่าผู้ที่มีระดับสิบ คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างเป็นตัวแทนเจ้าโลกในเขตโลกต่าง ๆ ของการประลองเทียนเซี่ยหรือเป็นตัวแทน อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสิบของอำนาจทั้งสี่ พวกเขาแต่ละคนอยู่ในระดับราชันวิญญาณ อีกทั้งมีดวงวิญญาณระดับราชัน” เย้หวันเชิงยืนอยู่บนเวทีกลับไม่นิ่ง แต่พูดคุยกับชู่มู่ตลอด
แน่นอนว่า ระหว่างที่คุย เย้หวันเชิงยังคงเชิดหน้าไปยังลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้คนด้านล่างด้วย
ชู่มู่มองไปยังเหล่าราชันวิญญาณที่นั่งอยู่ในที่สูง นอกจากเจ้าโลกของเขตโลกต่าง ๆ แล้ว เจ้าตำหนักวิญญาณ เจ้าวังมารนิรย เจ้าวังดวงวิญญาณ ทุกคนอยู่ที่นั่นด้วย เห็นได้ชัดว่า คนเหล่านี้เป็นตัวแทนกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเทียนเซี่ยนี้แล้ว
ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมากว่า ทำไมคนเหล่านี้ถึงปรากฏตัวในพิธีเกียรติยศนี้หมด
การประลองฟ้าดินของรุ่นวัยหนุ่มแม้จะอลังการมาก แต่ไม่เป็นจำต้องรวมราชันวิญญาณพวกนี้ด้วย หรือว่าการประลองฟ้าดินยังมีจุดประสงค์อื่นอีกงั้นหรือ
ชู่มู่ย่อมไม่รู้ว่า ผู้แข็งแกร่งระดับราชันวิญญาณที่มารวมตัวที่นี่ ไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีกับความแข็งแกร่งที่สุดของรุ่นวัยหนุ่ม
ความจริงแล้ว คนด้านในต่างรู้ดี หลังจากจบการประลองฟ้าดินรุ่นวัยหนุ่มปีนี้ จะเป็นการเข้าชิงเสนอชื่อบัลลังก์เจ้าฟ้าดินสิบปีคนต่อ !
เย้หวันเชิงเองก็ไม่รู้ได้ข่าวมาจากที่ใด แต่นำเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับบัลลังก์ฟ้าดินบอกให้กับชู่มู่ ทำให้ชู่มู่เข้าใจทันที มิน่าผู้ที่อยู่ในระดับสิบทั้งหมดได้มาที่นี่แล้ว
บัลลังก์ฟ้าดิน นี่ถึงเป็นเกียรติสูงสุดของการประลองฟ้าดิน ส่วนเกียรติสูงสุดที่ชู่มู่ได้ในตอนนี้อยู่ในระดับวัยหนุ่มเท่านั้น !
“ชู่มู่ เจ้ารู้ขั้นตอนการได้มาของบัลลังก์ฟ้าดินไหม” เย้หวันเชิงถาม
ชู่มู่ส่ายหัว เขาจะรู้ได้อย่างไร
“เป็นแบบนี้ แค่มีดวงวิญญาณระดับราชันลักษณะสิบตัวหนึ่ง จะมีสิทธิ์เข้าชิงบัลลังก์ฟ้าดินได้…” ตอนที่เย้หวันเชิงพูด ได้มองไปยังชู่มู่ด้วยสายตาประหลาด
“เข้าชิง ไม่ได้แปลว่ามีสิทธิ์ แต่ได้รับอนุญาตเข้าชิงเท่านั้น ตรงนี้จะมีสิทธิ์เสนอชื่อหนึ่งสิทธิ์ สิทธิ์เสนอชื่อนี้จะแบ่งรายการเสนอชื่อโดยเจ้าในรุ่นก่อน รายการเสนอชื่อนี้จะไม่อยู่ในมือของทุกคน มันเป็นภารกิจอย่างหนึ่ง คนที่ทำภารกิจนี้สำเร็จถึงจะมีสิทธิ์เสนอชื่อขั้นแรกของบัลลังก์”
“หลังจากสิทธิ์เสนอชื่อขั้นแรกของบัลลังก์ ยังต้องผ่านวิธีคัดเลือกอีก อย่างแรกคือ ชื่อเสียง ถ้ามีชื่อเสียงต่ำไป หรือแย่ไป จะไม่มีสิทธิ์รับเสนอชื่อ ต่อมาเป็นพื้นที่ ปัญหาเรื่องพื้นที่มากไป จะไม่มีสิทธิ์เสนอชื่อเช่นกัน ต่อมาคือความสามารถ หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดแล้ว ถึงจะได้สิทธิ์เสนอชื่อ ผู้ที่ได้รับเสนอชื่อจะมีรูปปั้นปรากฏอยู่ใต้ขั้นบันไดตำหนักเจ้าบัลลังก์ เป็นตัวแทนของเกียรติยศอย่างหนึ่งที่ได้รับการเข้าคัดเลือกสิบปีครั้ง”
“อย่ามองว่าเป็นแค่การเสนอชื่อ เหล่าราชันวิญญาณหลายคนได้หาทุกวิธีทางสิบกว่าปี แต่กลับไม่มีสิทธิเข้าเสนอชื่อแท้จริง”
“หลังจากได้สิทธิเสนอชื่อ จะเข้าชิงที่นั่งทั้งสี่ได้ ที่นั่งทั้งสี่นี้ ต้องดูว่าค้อนใครมีแรงมากกว่ากัน ก็จะเป็นของคนนั้น”
“เจ้าจะเป็นคนเลือกที่นั่งทั้งสี่เอง แต่อาจมีจุดที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง” เย้หวันเชิงเน้นน้ำเสียง
ชู่มู่ย่อมมีความสนใจต่อบัลลังก์ฟ้าดินอย่างมาก ในตอนนี้จึงตั้งใจฟังมากขึ้น
“แม้เจ้าจะเลือกที่นั่งทั้งสี่ออกมา แต่ว่าถ้าความสามารถของสี่ที่นั่งไม่เป็นที่พอใจ ตำแหน่งบัลลังก์ก็จะว่างลงเช่นกัน เท่ากับว่า ไม่ใช่ว่าจะมีการเลือกคนหนึ่งเป็นราชาจากสี่ที่นั่ง แต่อาจเป็นในเวลาสิบปีนี้ ที่นั่งทั้งสี่จะถูกคัดออก ตามประวัติศาสตร์แล้ว เคยมีปรากฏการณ์บัลลังก์ว่างห้าสิบปี” เย้หวันเชิงบอก
ชู่มู่ไม่คิดว่า จะมีกฎแบบนี้อยู่ นี่ทำให้ชู่มู่นึกถึงสิ่งที่องค์หญิงจิ่งโหลวเคยบอก ที่นั่งทั้งสี่อาจมีความสามารถต่างจากเจ้ามาก
นอกจากนี้ เย้หวันเชิงได้บอกข่าวที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “สิ่งที่เจ้าได้ไม่ได้อยู่ที่เมืองเทียนเซี่ย แต่อยู่ที่เมืองว่านเซี่ยง” พูดถึงเมืองว่านเซี่ยง สติของชู่มู่เริ่มหลุด
บัลลังก์เจ้าฟ้าดิน ยังห่างอีกมาก อย่างน้อยตัวเองในตอนนี้จะได้รับอนุญาตเข้าไปแข่งขัน แต่คิดจะได้สิทธิ์เสนอชื่อแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้
…
บนที่นั่งสูง มีราชันวิญญาณหนึ่งร้อยกว่าคน คนเหล่านี้ต่างเป็นเจ้าของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
และด้านบนราชันวิญญาณร้อยกว่าคนนี้ คือที่นั่งทั้งสี่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของเมืองเทียนเซี่ย ในตอนนี้ที่นั่งทั้งสี่กำลังพูดบางอย่างกับราชันวิญญาณพวกนั้น เนื่องจากพวกเขาใช้ร่ายวิญญาณกันเสียงเอาไว้ ชู่มู่ที่ยืนอยู่บนเวทีแทบไม่ได้ยิน
หลังจากนั้นไม่นาน เหมือนจะแบ่งงานเสร็จแล้ว ราชันวิญญาณส่วนใหญ่ได้เดินจากไป มีบางส่วนที่อยู่ในตำแหน่งของตัวเอง รอให้การประลองฟ้าดินนี้ปิดฉากลงแล้วค่อยจากไป
“พวกเขามาแล้ว คาดว่าน่าจะพูดบางอย่างที่ให้กำลังใจและให้คำอวยพร” เย้หวันเชิงมองไปยังเหล่าราชันวิญญาณที่ยังอยู่ที่นี่ แล้วพูดกับชู่มู่เสียงเบา
และแล้ว ราชันวิญญาณสามสิบกว่าคนลุกขึ้นพร้อมกัน
“เจ้าวังมารนิรยขาว เจี่ยซุ่นติง กล่าวคำอวยพรให้วัยหนุ่มฟ้าดิน !” ตอนที่ราชันวิญญาณคนหนึ่งเดินมาช้า ๆ มีเสียงของฝ่ายจัดการประลองที่มาจากร่ายวิญญาณดังขึ้นทันที
“ท่านเจี่ยที่มีราชันมารนิรยขาวสองตัว !”
“ไม่เห็นเขาพักหนึ่งแล้ว ได้ข่าวว่า เขาเดินทางไปตะวันออก ความสามารถเพิ่มขึ้นมหาศาล ไม่รู้แข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้ว”
“เดิมหมวดของมารนิรยขาวก็แข็งแกร่งมากแล้ว จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้อยู่ในระดับราชันยากกว่าดวงวิญญาณอื่น แต่ถ้าเพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับราชัน พลังต่อสู้ของมันจะแข็งแกร่งอย่างมาก !”
เห็นได้ชัดมากว่า คนนับแสนเคยได้ยินชื่อของเจี่ยซุ่นติงมาก่อน อีกทั้งรู้ว่า ดวงวิญญาณอันมีชื่อเสียงของเขา จากสายตาของแสนคนนี้ได้เห็นความเคารพต่อผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ต่างจากความคลั่งไคล้ที่มีต่อวัยหนุ่มอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเสียงต่อท้าย ไม่มีการยกย่องที่ไร้เหตุผล ยิ่งไม่มีความคึกคะนองที่ปกปิดความอิจฉาเอาไว้ แต่เป็นความเคารพนับถือที่มีต่อผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง !
ชู่มู่ยืนอยู่ตรงนั้น มองไปยังเจี่ยซุ่นติงที่เดินมาทีละก้าว ชายคนนี้มองดูไม่แก่เท่าไร อีกทั้งยังทำให้ชู่มู่รู้สึกว่าเพิ่งพ้นจากรุ่นวัยหนุ่ม
เจี่ยซุ่นติงเดินเข้ามา มองไปยังชู่มู่ด้วยความเย่อหยิ่ง ใช้เสียงที่ได้ยินแค่สองคนพูดขึ้นว่า “วัยหนุ่มที่มีดวงวิญญาณระดับราชัน ตามธรรมเนียมแล้วจะไม่ได้รับการปกป้อง เท่ากับว่า เจ้าไม่นับว่าเป็นวัยหนุ่มแล้ว เตือนเจ้าไว้ก็ดี อย่าป่าวประกาศมากเกินไป”
หลังจากพูดจบ เจี่ยซุ่นติงจากไปทันที ไม่พูดอะไรอีก
คำพูดนี้ทำให้ชู่มู่ไม่เข้าใจอย่างมาก แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้คือ เจี่ยซุ่นติงไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ดวงตาเย่อหยิ่งนั้นไม่มีการปกปิดใด ๆ
คาดว่าเจี่ยซุ่นติงมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยที่พ่ายแพ้ให้กับตัวเอง
“เจ้าโลกฟ้า จ้าวฉิงเหอ…” เสียงดังขึ้นอีกครั้งจากประกาศราชันวิญญาณที่เดินมา
โลกฟ้าเป็นเขตโลกใหญ่ที่สุดของด่านฟ้าดินมาตลอด ส่วนตำแหน่งของเจ้าโลกฟ้านี้ก็สูงกว่าเจ้าโลกอื่นอย่างมาก !
ชู่มู่จำได้ว่า จ้าวเฉิงเป็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่มาจากโลกฟ้า ส่วนเจ้าโลกฟ้านามสกุลจ้าวเหมือนกัน คาดว่าทั้งสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องแบบเครือญาติ
เจ้าโลกฟ้าเป็นมิตรกับชู่มู่อย่างมาก ตรงกันข้ามกับเจี่ยซุ่นติง ดวงตาคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อชู่มู่
“หลานชายของข้าเคยบอกว่า เจ้าเป็นหัวหน้าของเขา คึ คึ ต่อจากนี้มีเรื่องอะไร มาหาข้าจ้าวฉิงเหอได้ สำหรับเรื่องที่ไม่เข้าใจในวงการราชัน มาถามข้าได้ อาชีพรองของข้าเป็นถึงนักปราชญ์เชียว” เจ้าโลกฟ้าจ้าวฉิงเหอตบไหล่ของชู่มู่เบา ๆ
“นายท่าน เจ้าโลกฟ้านี่ไม่ธรรมดา อย่างน้อยดวงวิญญาณหลักทั้งห้าเป็นราชัน เจี่ยซุ่นติงเมื่อเทียบกับเขาก็เป็นแค่เศษขยะ” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้นช้า ๆ
ชู่มู่แอบประหลาดใจ ไม่คิดว่าความสามารถของเจ้าโลกฟ้าที่หน้าเหมือนพ่อค้าใจดีคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ จะไม่รับก็ไม่ได้ จึงพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ขอขอบคุณเจ้าโลกฟ้าล่วงหน้า”
เจ้าโลกฟ้ายิ้ม พยักหน้าเล็กน้อย แล้วจากไปช้า ๆ ให้คนอื่นขึ้นมาแสดงความยินดี
…
ผู้คนต่างมองออกได้ ผู้ได้เกียรติครั้งนี้จะได้รับการตอบแทนต่างจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง
ที่ผ่านมา จะมีราชันวิญญาณซึ่งเป็นตัวแทนเข้าไปให้คำอวยพร แต่ในครั้งนี้ กลับมีผู้แข็งแกร่งราชันวิญญาณหลายคนเข้าไปแสดงความยินดี !
ต่อให้ราชันวิญญาณแต่ละคนไม่มีตำแหน่ง ก็เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด ส่วนราชันวิญญาณที่มีตำแหน่งอยู่ แทบจะคุมอำนาจความเป็นความตายของคนนับพันล้านอยู่
ในตอนนี้มีราชันวิญญาณมากมายแสดงความเป็นมิตรต่อวัยหนุ่มคนหนึ่ง ไม่ต้องพูดใคร ๆ ก็รู้ว่า อนาคตของชู่เฉิงตำหนักวิญญาณไกลมาก เรียกได้ว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ได้รับเขาเข้าไปด้วยแล้ว !
“นายท่าน ราชันวิญญาณพวกนี้ไม่มองว่า เจ้าเป็นวัยหนุ่มแล้ว แต่เริ่มลากเข้าวงการราชันวิญญาณ รอให้หลังจากนี้เจ้าเข้าใจมากกว่านี้แล้ว จะรู้ว่าพวกวงการราชันจะมีกฎและการแข่งขันลับ ๆ มากมายอยู่” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่เองก็สัมผัสได้ ตอนอยู่ตำหนักวิญญาณ ชู่มู่ได้เจอบุคคลระดับนี้อยู่บ้าง ในตอนนั้น สายตาของพวกเขาเหมือนเป็นการชื่นชม ให้กำลังใจรุ่นหลัง พวกที่เยือกเย็นหน่อยก็จะยิ้มเล็กน้อย ไม่ใส่ใจเท่าไร
แต่ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า คนเหล่านี้กำลังลากและแสดงความเป็นมิตร ต่อให้เป็นคนที่เป็นมิตรอยู่แล้ว กลับมีท่าทีต่างจากก่อนหน้านี้ ขาดกำแพงพิเศษระหว่างรุ่นก่อนกับรุ่นหลัง แต่เป็นการแสดงความเป็นมิตรแบบพวกเดียวกัน