Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 เด็กใหม่
ณ เขตปกครองพิเศษที่เก้า…เมืองซ่งเจียง…เอเชียเหนือ
ฉินอวี่ยืนอยู่ในสำนักงานตำรวจนครบาลเขตพื้นทมิฬ เขายิ้มให้นายตำรวจผู้หนึ่งพร้อมพูดว่า “ถึงคิวผมแล้วเหรอครับ?”
“อืม เข้ามาสิ” นายตำรวจพยักหน้าก่อนจะพาเขาไปยังห้องสำนักงาน
ฉินอวี่จัดระเบียบชุดและเดินตามไป
นายตำรวจผู้นั้นเดินไปยังโต๊ะทำงานพลันวางเอกสารลงสองชุดและกล่าวว่า “นายครับ คนสุดท้ายแล้วครับ”
“เขาตรวจร่างกายหรือยัง?” นายตำรวจยศผู้กำกับถามขณะหยิบเอกสาร
“ตรวจแล้วครับ”
“โอเค นายไปได้”
“ครับ”
หลังจากพูดจบ นายตำรวจผู้นั้นก็ออกจากห้องไป ฉินอวี่ยืนอย่างเงียบๆ ระหว่างรอผู้กำกับอ่านเอกสารของเขา
ผู้กำกับเริ่มอ่านออกเสียง “ฉินอวี่ อายุยี่สิบสองปี หนักเจ็ดสิบห้ากิโลกรัม สูงหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตร เกิดก่อนยุคภัยพิบัติล้างโลก มาจากเมืองเอช จังหวัดเจ…ไม่ไกลจากซ่งเจียงเท่าไหร่หนิ เคยอาศัยอยู่ในเขตพัฒนา พ่อแม่หายตัวไปและไม่มีญาติ…หืม? ทำไมหน้าประวัติแนะนำตัวถึงว่างล่ะ?”
“ผมไม่มีประวัติแนะนำตัวครับ” ฉินอวี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “การเอาตัวรอดในเขตพัฒนานั้นลำบากมาก ผมต้องทำทุกอย่างเพื่ออยู่รอดจึงไม่มีเวลาเขียนครับ”
“ฮ่าๆๆ ฟังดูมีเหตุผล” ผู้กำกับหัวเราะเบาๆ “แต่อย่างน้อยนายก็ควรเขียนประวัติแนะนำตัวสักสองสามบรรทัด มันดูไม่ดีเท่าไหร่หากมาทำงานโดยไม่มีประวัติ”
“โอเคครับ เดี๋ยวผมเขียนให้ทีหลัง” ฉินอวี่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ผู้กำกับอ่านเอกสารต่อก่อนจะถามว่า “ถ้านายไม่มีประวัติแนะนำตัว แสดงว่านายไม่เคยเข้ารับราชการทหารมาก่อน แล้วเคยยิงปืนไหม?”
ฉินอวี่ส่ายหน้าพร้อมตอบว่า “ไม่ครับ”
“เคยมีประวัติอาชญากรรมไหม?”
“ไม่ครับ”
ผู้กำกับครุ่นคิดก่อนจะวางเอกสารลงพลันมองไปยังฉินอวี่และกล่าวว่า “เขตพัฒนาเป็นเขตไร้กฎ… นั่นก็เพื่อให้ผู้คนสามารถหารายได้ มาซื้อสัญชาติในเขตปกครองพิเศษที่เก้า ดูเหมือนว่านายเองก็มีประสบการณ์ไม่น้อย”
“ผมโชคดีที่ได้เจอแต่คนดีๆ ครับ” ฉินอวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ผู้กับกำยกถ้วยชาขึ้นจิบขณะจ้องประเมินฉินอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมพยักหน้าอย่างมีเลศนัย “นายดูดีมาก”
ฉินอวี่ยิ้มโดยไม่ได้ตอบกลับอะไร
ผู้กำกับวางถ้วยชาพลันกอดอกและมองไปยังฉินอวี่ก่อนจะกล่าวว่า “สถานการณ์รอบๆ เขตปกครองพิเศษที่เก้านั้นไม่เหมือนที่อื่น แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลสหพันธรัฐ แต่ก็มีความเป็นอิสระสูง ทำให้แตกต่างจากเขตปกครองพิเศษอื่นๆ อีกแปดเขต มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ที่นี่ นอกจากชาวจีนแล้วยังมีชาวผิวขาว ชาวแอฟริกันอเมริกัน…สิ่งเหล่านี้ทำให้ที่นี่วุ่นวาย มีหลายสิ่งที่เราอยากจะจัดการแต่ยังไม่สามารถทำได้ ในฐานะตำรวจนายจะต้องเรียนรู้วิธีปรับตัวเข้ากับชุมชนให้ได้”
“เข้าใจแล้วครับ” ฉินอวี่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง
และฉันไม่สนว่านายเคยผ่านอะไรมาบ้าง แต่ตอนนี้ชีวิตนายอยู่ในกำมือฉัน ถ้าคิดทรยศเมื่อไหร่ ฉันจะจัดการนายทันที” ผู้กำกับเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ยินดีรับใช้ครับผู้กำกับหลี่” ฉินอวี่ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่า งั้นเหรอ?” ผู้กำกับหลี่หัวเราะเบาๆ
เขาก้มลงกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาใครสักคน
ไม่นานนัก เสียงชายคนหนึ่งดังออกมา “สวัสดีครับผู้กำกับหลี่ หน่วยสืบสวนอาชญากรรมที่หนึ่งครับ”
“หยวนเค่อล่ะ?” ผู้กำกับหลี่ถาม
ผู้หมวดหยวนเพิ่งจะออกไปครับ
“ฉันหาคนให้ผู้หมวดได้แล้ว มารับตัวเขาสิ”
“รับทราบครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
“รับทราบครับ ผู้กำกับหลี่” ฉินอวี่พยักหน้า
ฉินอวี่หยิบกระเป๋าใบสีดำเล็กๆ ออกมาและนำไปวางบนโต๊ะ “เสี่ยวฉีบอกผมว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะทำงานในสำนักงานตำรวจเขตปกครองพิเศษ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านผมคงไม่มีโอกาสนี้ ดังนั้นผมจึงอยากตอบแทนท่าน”
ผู้กำกับหลี่เปิดกระเป๋าและเห็นเพชรขนาดเท่าเม็ดถั่วอยู่ด้านใน เขาผงะเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “นายคงผ่านอะไรมาเยอะตอนที่อยู่เขตพัฒนา แต่เมื่อเข้ามาที่นี่แล้วนายจะถอยไม่ได้! โอ้โห ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้”
ฉินอวี่ยิ้มตอบ
ผู้กำกับหลี่เก็บกระเป๋าใส่ลิ้นชักพลันล็อคไว้ก่อนจะชี้หน้าฉินอวี่และพูดว่า “นายอาจจะยังเด็ก แต่ฉันเชื่อว่านายมีความสามารถ!”
“นี่คือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมพอจะตอบแทนท่านได้” ฉินอวี่เกาหัวอย่างขวยเขิน ชัดเจนว่า ผู้กำกับหลี่ไม่ได้ไล่ฉินอวี่ทันทีที่สัมภาษณ์เสร็จ แต่ใช้เวลาคุยกับเขานานขึ้นอีกหน่อย
ไม่นานนัก ชายหนุ่มร่างอวบอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉินอวี่ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกล่าวทักทายว่า “ผู้กำกับหลี่ กระผมนายตำรวจระดับสาม จากทีมหนึ่ง มาเพื่อรับเด็กใหม่ครับ”
ผู้กำกับหลี่ตบไหล่ฉินอวี่เบาๆและกล่าวว่า “ตั้งใจทำงานล่ะ ฉันรอดูวันที่นายได้รับเสนอชื่อเลื่อนขั้นอยู่”
“ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดครับ” ฉินอวี่พยักหน้า
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว”
ผู้กำกับหลี่หันมาหาฉีหลินและพูดว่า “บอกหยวนเค่อว่าฝากดูแลด้วย”
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพรชหนึ่งเม็ดกับการสนทนาเพียงสิบนาทีสามารถทำให้เขาเป็นที่โปรดปรานของผู้กำกับได้
…
ณ ทางเดินของสถานีตำรวจ
ฉีหลินถามฉินอวี่อย่างเป็นกันเองว่า “นายมาจากที่ไหน?”
“เขตพัฒนา”
“นายมาจากที่นั่นเหรอ?” ฉีหลินผงะ “นายคงลำบากมาก”
“ฉันโชคดีต่างหาก” ฉินอวี่ยิ้ม
ฉีหลินพยักหน้าแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ ในยุคแห่งความขาดแคลนที่การเอาชีวิตรอดเป็นเรื่องยาก ทุกคนก็ต่างมีความลับที่ซ่อนไว้กันทั้งนั้น!
ทั้งสองเดินต่อไปขณะฉีหลินแนะนำสถานที่และเล่าสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักงานตำรวจแห่งนี้ให้ฉินอวี่ฟัง โดยพื้นฐานแล้วพวกเขามีหน้าที่จัดการกับอาชญากรรมและความมั่นคงของพื้นที่ภายในเขต แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำวีซ่า การจัดการที่อยู่อาศัย หรือการตรวจคนเข้าเมือง
การทำงานก็คล้ายกับช่วงก่อนยุคภัยพิบัติ แต่อาจไม่ได้เคร่งครัดเท่าเมื่อก่อน ฉินอวี่อยู่แผนกสืบสวนอาชญากรรมภายในภาคส่วน
ฉีหลินใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงในการแนะนำสถานที่ คลังอาวุธ ห้องสอบสวน พื้นที่ทำงานส่วนกลาง ห้องฝึกอบรม โรงอาหาร และสิ่งอำนายความสะดวกต่างๆ ให้กับฉินอวี่
จากการสนทนา ฉินอวี่รับรู้ได้ว่าฉีหลินเป็นมิตรและเข้ากับคนง่าย นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่มีความอดทนสูงเพราะเขาตอบคำถามของฉินอวี่อย่างสุภาพเสมอ
มองเพียงผิวเผินก็รู้ได้ว่าเขาเป็นคนใจดี
เวลาบ่ายสอง ฉีหลินพาฉินอวี่ไปยังแผนกสื่อสารและบอกให้เขาซื้อโทรศัพท์จากที่นี่ ในร้านแห่งนี้มีโทรศัพท์รุ่นเก่าเพียงอย่างเดียวและราคาก็ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“นี่รุ่นอะไร? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” ฉินอวี่เหลือบมองโทรศัพท์ก่อนจะหันไปหาฉีหลิน “ไม่เอาดีกว่า ที่นี่แพงเกินไป เดี๋ยวฉันออกไปซื้อข้างนอกเอง”
ฉีหลินยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขามองไปยังพนักงานเคาน์เตอร์ก่อนจะโน้มตัวกระซิบฉินอวี่ “ซื้อที่นี่จะดีกว่านะ”
“ทำไมล่ะ?” ฉินอวี่ถาม
“ไม่มีเหตุผลอะไรมากมาย เพียงแต่แผนกสื่อสารอยู่ภายใต้สำนักงานตำรวจ และร้านแห่งนี้ก็เป็นของเพื่อนผู้หมวดหยวน เพราะฉะนั้นเด็กใหม่ทุกคนต้องซื้อโทรศัพท์จากที่นี่” ฉีหลินกล่าว
“ทางที่ดีอย่าแข็งข้อเพราะนายเพิ่งมาใหม่ โทรศัพท์อาจใช้งานได้ไม่มากนัก แต่นายก็ไม่ต้องวุ่นวายกับการติดต่อฝ่ายสื่อสาร หลังจากข้อมูลของนายอยู่ในระบบแล้วเพียงแค่ป้อนชื่อและรหัสผ่านก็สามารถเข้าใช้งานได้ทันที”
ฉินอวี่อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาที่ไร้กฎหมายมานานหลายปี เขาจึงไม่เข้าใจว่าการทำงานภายใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างไร ทว่าหลังจากได้ยินเช่นนั้นเขาก็เชื่อฟังและปฏิบัติตาม
เขาหันไปหาพนักงานและกล่าวอย่างฝืนใจ “ผมซื้อหนึ่งเครื่องครับ”
ทำไมต้องคิดหนักขนาดนั้น?
ฉินอวี่เป็นคนมัธยัสถ์ หากไม่จำเป็น เขาจะไม่ยอมใช้จ่ายไปกับสิ่งใดเลย ด้วยนิสัยเช่นนี้จึงทำให้เขาสามารถเก็บได้มากพอที่จะซื้อสัญชาติในเขตปกครองพิเศษที่เก้า
หลังจากซื้อเสร็จ ฉีหลินนำเขาไปยังร้านสะดวกซื้อของสำนักงานซึ่งอยู่ตรงกันข้าม
ใกล้เข้าสู่เดือนที่แปดแล้ว แม้ท้องฟ้าจะแจ่มใสแต่ยังคงมีหิมะและอากาศหนาวเย็น
“ในเขตปกครองพิเศษมีหิมะด้วยเหรอ?” ฉินอวี่ถาม
“เพิ่งจะมีเมื่อสามปีที่แล้ว” ฉีหลินตอบ
“ให้ตายเถอะ มีเรื่องให้ต้องรับมืออีกแล้ว” ฉินอวี่พูดพร้อมส่ายหัว
ทั้งสองสนทนากันขณะเดินไปยังร้านสะดวกซื้อ
ฉินอวี่ปัดหิมะออกจากตัว ฉีหลินมองไปรอบๆ ร้านและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แปลกมาก ทำไมถึงไม่มีใครในร้านเลย”
“เลือกดูนะ อยากได้อะไรก็ซื้อ” ฉีหลินพูดพลันหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมา
ฉินอวี่พยักหน้าตอบและเดินสำรวจ ทว่ายิ่งเดินยิ่งเกิดความสงสัย สิบนาทีต่อมาเขาก็กลับมามือเปล่า
“นายจะไม่ซื้ออะไรจริงๆ เหรอ?” ฉีหลินเดินมายังเคาน์เตอร์และถาม
ฉินอวี่ขนวดคิ้วมองมายังเขาและกล่าวว่า “รายได้ของพวกนายส่วนใหญ่มาจากที่นี่เหรอ?”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?”
“เพราะราคาของที่นี่แพงกว่าข้างนอกตั้งสามสิบเปอร์เซ็นต์ และหลายๆ อย่างก็เป็นของเลียนแบบ ฉันลองบีบชุดเครื่องนอนดู…แข็งราวกับกดเหล็ก!”
“…คุณภาพสินค้าของที่นี่อาจไม่ดีนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรเด็กใหม่ก็ต้องซื้อของจากที่นี่”
“ทำไมล่ะ?” ฉินอวี่ถาม
“เพราะนี่คือร้านของญาติผู้หมวดหยวน” ฉีหลินกระซิบตอบ “นายจะเรียกร้านนี้ว่าสำนักจัดหาอย่างไม่เป็นทางการของสำนักงานก็ได้นะ”
ฉินอวี่ยืนนิ่งอยู่นานก่อนจะถามฉีหลินว่า “แล้วผู้กำกับหลี่ซื้อของจากที่นี่ด้วยหรือเปล่า?”
“ไร้สาระหน่า ต่อให้ผู้กำกับหลี่อยากซื้อผู้หมวดหยวนก็ไม่กล้าขายให้อยู่ดี” ฉีหลินอธิบายต่อ “ส่วนใหญ่แล้วคนที่ซื้อของจากที่นี่มีแค่เด็กใหม่ อดทนหน่อย อีกสองเดือนก็ไม่ต้องซื้อแล้ว”
“นายบอกให้ฉันอดทนทั้งๆ ที่รู้ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อเราราวกับคนโง่เนี่ยนะ” ฉินอวี่ตะคอก “ไปเถอะ พาฉันไปร้านอื่น”
ฉีหลินถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “นายใช้จ่ายไปเยอะกว่าจะได้มาที่นี่ นับประสาอะไรกับซื้อของแค่นี้ เชื่อฉันเถอะ ซื้อของจากที่นี่ไม่เช่นนั้นนายอาจเดือดร้อนได้”
“แค่ซื้อโทรศัพท์ห่วยๆ เครื่องนี้ก็ถือว่าฉันเชื่อฟังมากแล้วนะ ยังจะต้องซื้ออย่างอื่นอีกเหรอ?” ฉินอวี่กล่าวพลันเดินออกจากร้านไป
“เฮ้อ เชื่อฉันเถอะฉินอวี่…”
“นายทำแบบนี้เพราะได้ค่านายหน้าเหรอ?”
“ทั้งหมดก็เพื่อผลดีต่อตัวนายเอง อย่างน้อยก็ซื้อ…”
“ซื้อบ้าอะไรล่ะ! พวกเขารีดเลือดกับปู! หากินกับคนที่ลำบากคือหนทางสินะ” ฉินอวี่กล่าวอย่างฉุนเฉียวและเดินออกจากร้านไป
…
เวลาสี่โมงเย็น…
ณ หอพักสำนักงานตำรวจ บริเวณทางเข้าห้องสองของหน่วยที่หนึ่งซึ่งมีชายเจ็ดคนนั่งเล่นไพ่อยู่ ฉีหลินตะโกนด้วยรอยยิ้ม “ลูกพี่ ผมพาเด็กใหม่มาให้ครับ”
หลังจากได้ยินเสียงของฉีหลิน หัวหน้ากลุ่มก็เหลือบมองฉินอวี่พร้อมพูดว่า “เข้ามาสิ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายทั้งสองก็เดินเข้าห้องไปในทันที
ฉินอวี่กวาดสายตาสำรวจและพบว่าห้องนี้มีขนาดไม่ถึงสามสิบเมตร ทว่ากลับมีเตียงสองชั้นกว่าหกเตียง นอกจากนี้ยังมีตู้โลหะอีกสองหลังพร้อมของใช้ส่วนตัวอยู่ด้านใน พื้นที่ในห้องแคบมาก แต่โดยรวมก็ยังดูสะอาด อย่างน้อยก็ไม่มีกลิ่นแปลกๆ
“ฉินอวี่ เดี๋ยวฉันจะแนะนำพวกเขาให้รู้จัก นี่คือพี่สาม…หัวหน้าหมู่หนึ่ง” ฉินอินพยักหน้าด้วยความเคารพ “พี่สามอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว…เขามีความสามารถยอดเยี่ยมจนได้เป็นผู้ช่วยของผู้หมวดหยวน พี่สามครับ…นี่คือฉินอวี่น้องใหม่ของเรา”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่สาม” ฉินอวี่ตอบพร้อมยื่นมือทักทายด้วยรอยยิ้ม
‘พี่สาม’ หรือที่รู้จักกันในนามหัวหน้าการสาม หันศีรษะเล็กน้อยมองไปยังฉินอวี่ก่อนจะพยักหน้าตอบพลันถามว่า “นายมาจากไหน?”
“เขตพัฒนาครับ” ฉินอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ผู้บังคับการผงะ “เขตพัฒนาเหรอ? นายทำงานอะไรที่นั่น?”
“ส่งของช่วยเจ้านายครับ พวกของใช้ทั่วไป”
“อ่า แสดงนายเป็นนักวิ่งเหรอ? ก็ไม่เลวนี่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมมีหน้าที่ขับรถส่งของเท่านั้น”
“โอ้ เป็นคนขับรถเหรอ?” หัวหน้าการสามประหลาดใจเล็กน้อย “แล้วนายมาทำงานในแผนกนี้ได้อย่างไร?”
“ผมมีเพื่อนช่วยติดต่อให้และจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเข้ามาอยู่ที่นี่ครับ”
“อ่า จ่ายเงินเข้ามางั้นเหรอ?” หัวหน้าการสามหันกลับไปมองไพ่ในมือของตน “โอเค งั้นก็รอให้ผู้หมวดหยวนกลับมามอบหมายงานให้แล้วกัน ฉีหลินพาเขาไปยังเตียงข้างหน้าต่าง”
“ครับ”
ฉีหลินหันมาหาฉินอวี่และกล่าวว่า “เตียงนายอยู่ตรงนั้น”
“โอเค” ฉินอวี่ถือกระเป๋าเดินทางและของใช้ที่ทิ้งไว้ข้างประตูไปยังเตียง
“เอ่อ เดี๋ยวก่อน” หัวหน้าการสามมองเห็นของใช้ของฉินอวี่และตะโกนออกมา
“มีอะไรหรือเปล่าครับหัวหน้าการสาม?” ฉินอวี่ถาม
หัวหน้าการสามมองไปยังกระเป๋าที่ฉินอวี่ถืออยู่ “นายซื้อของใช้พวกนี้มาจากไหน?”
“ร้านสะดวกซื้อข้างทาง แต่ผมจำชื่อไม่ได้ครับ” ฉินอวี่ตอบอย่างใจเย็น
หัวหน้าการสามถามส่งๆ ว่า “ฉีหลิน นายไม่ได้บอกเด็กใหม่เหรอว่าต้องไปซื้อของที่ไหน?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉีหลินก็ทำตัวไม่ถูกเพราะเขาบอกไปแล้วแต่ฉินอวี่ไม่ปฏิบัติตาม เขารู้สึกไม่ดีที่ต้องบังคับฉินอวี่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากถูกลงโทษ
หลังเงียบไปสักพัก ฉินอวี่พูดขึ้น “ฉีหลินบอกผมให้ไปซื้อที่ร้านฝั่งตรงข้าม แต่ผมมีเงินไม่พอเลยไปซื้อร้านข้างๆ ครับ”
“ตองสอง” หัวหน้าการสามเล่นไพ่ต่อและปล่อยให้ฉินอวี่ยืนรอก่อนจะกล่าวว่า “งั้นเหรอ? โอเค เอาของไปเก็บได้”
“ครับ” ฉินอวี่พยักหน้าและเริ่มจัดของ
ฉีหลินเดินไปช่วยฉินอวี่จัดของและกระซิบเขาว่า “เด็กใหม่มักจะได้เตียงริมหน้าต่างเพราะมีรูรั่วและลมโกรก ตอนกลางคืนจะค่อนข้างหนาว ห่มผ้าให้ดีล่ะ อดทนไว้หน่อยถ้ามีเด็กใหม่มาแทนนายเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง ลำบากกว่านี้ฉันก็เคยอยู่มาแล้ว” ฉินอวี่ตอบโดยไม่ได้คิดอะไร เขาเปิดกระเป๋าเดินทางพร้อมหยิบบุหรี่ชุนฮวาออกมาสองกล่องแล้วยัดใส่มือฉีหลิน
บุหรี่ชุนฮวาเป็นบุหรี่ยี่ห้อพรีเมียม…
“นี่มัน…” ฉีหลินตะลึง
“ก่อนหน้านี้ฉันเห็นนายดูดบุหรี่ไฟฟ้า” ฉินอวี่หัวเราะเบาๆ “นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยเพื่อตอบแทนที่นายพาฉันไปไหนมาไหนทั้งวัน”
การป้องกันอาหารเป็นเรื่องท้าทาย…บุหรี่ก็ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย…และไม่มีใครเคยเห็นหรือลิ้มลองสินค้าระดับพรีเมียมอย่างบุหรี่ชุนฮวาเลยนับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติ
ฉีหลินจับกล่องบุหรี่ไว้แน่นและพูดด้วยสีหน้าตกใจ “นายเอามาจากเขตพัฒนาเหรอ? บุหรี่ชุนฮวา! รู้ไหมว่าฉันไม่ได้เห็นมากี่ปีแล้ว”
“พื้นที่ชนบทก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ” ฉินอวี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันจัดเองได้ นายมีอะไรก็ไปทำเถอะ ไว้ฉันจะเลี้ยงข้าวนายเป็นการตอบแทนนะ”
“ฮ่าๆ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับอาหารนะไอ้น้อง!” ฉีหลินพูดพลันเก็บบุหรี่ใส่กระเป๋าในทันที
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ หัวหน้าการสามหันมาหาฉินอวี่พร้อมพูดว่า “ว้าว ยังมีอีกไหม?”
ฉินอวี่ไม่คิดว่าผู้บังคับการจะเห็น เขานิ่งไปสักครู่ก่อนจะตอบว่า “เพื่อนผมให้มาครับ”
“บุหรี่ชุนฮวาเป็นของดีทีเดียว เราไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย” หัวหน้าการสามหัวเราะ
ฉีหลินตะลึงไปพักหนึ่งก่อนจะหยิบบุหรี่ชุนฮวาออกมาและกล่าวว่า “เราทุกคนก็เหมือนพี่น้อง มีอะไรก็ควรแบ่งปันกัน…เอาไปเลยครับ”
ฉินอวี่แอบให้บุหรี่ฉีหลินเพื่อแทนคำขอบคุณที่เขาเป็นธุระให้ทั้งวัน ทว่าผู้บังคับการเห็นและพูดออกมาโดยไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้อาจทำให้เขาอึดอัดและยากต่อการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เขาจึงก้มลงหยิบกล่องบุหรี่ออกจากกระเป๋า
ผู้บังคับการปัดมือฉีหลินพลันกล่าวว่า “บุหรี่ของนายมันดีเกินไป ไม่เหมาะคนต่ำต้อยอย่างฉันหรอก”
“ฉันไม่ชินกับบุหรี่ชั้นดีสักเท่าไหร่”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ฉีหลินนิ่งเงียบ
ขณะเดียวกันฉินอวี่ก็สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเสียดสี เขาจึงยัดกล่องบุหรี่กลับเข้ากระเป๋าก่อนจะหันกลับไปจัดของต่อ
หัวหน้าการสามวางไพ่ลง หันมามองฉินอวี่และยิ้มเหยียด “เฮ้ ที่นี่มีกฎว่าเด็กใหม่จะต้องลาดตระเวนแทนเป็นเวลาสามวันคือวันนี้…พรุ่งนี้…และมะรืน นายไม่มีปัญหาใช่ไหม? ”
ได้ยินดังนั้น ฉินอวี่ก็มองมายังฉีหลินทันที เมื่อเห็นว่าเขาหลบสายตา ฉินอวี่ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงถามว่า “ต้องทำอะไรบ้างครับ?”
“อยู่สำนักงานตอนกลางวันและลาดตระเวนตอนกลางคืน” หัวหน้าการสามตอบอย่างใจเย็นพลันจิบน้ำ
“แสดงว่าต้องได้ค่าล่วงเวลาใช่ไหมครับ?”
“นี่เป็นกฎภายในหน่วยของเราเท่านั้น นายคิดว่าได้ไหมล่ะ?” หัวหน้าการสามตอบ
“ไปได้แล้วฉินอวี่ เดี๋ยวอีกสองวันจะหาคนมาเปลี่ยนให้”
ฉีหลินลังเลเล็กน้อย ทว่าเมื่อมองไปยังบุหรี่ชุนฮวาในมือ เขาก็รวบรวมความกล้าและกำลังจะพูด
“แกจะพูดอะไรไอ้ฉี?!” ชายที่นั่งข้างหัวหน้าการสามพูดแทรก
“เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน ก็ต้องดูแลซึ่งกันและกัน” ฉีหลินหัวเราะเบาๆ
ผู้บังคับการวางแก้วกาแฟลงก่อนจะหันมาหาฉีหลินและกล่าวว่า “หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ อธิบายกะงานให้เขาด้วย”
“ครับนาย” ฉีหลินพยักหน้าตอบ
“พี่สามกลัวผมจะไม่เข้ากะแทนขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ฉินอวี่ถามแทรกขึ้น
จากนั้นห้องก็เงียบลงในทันที…
หัวหน้าการสามเลียปากก่อนจะหันมาหาฉินอวี่ “นี่เป็นสิ่งที่เด็กใหม่ทุกคนต้องทำ นายวิเศษมาจากไหนถึงทำไม่ได้?”
“ผมเป็นโรคหัวใจ คงจะทำงานหนักติดต่อกันสามวันไม่ได้ครับ”
“ไม่มีปัญหา ฉันจะเตรียมยาวิเศษไว้ให้นายโดยเฉพาะ”
“ผมบอกว่าทำไม่ได้ครับ” ฉินอวี่ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้เวรเอ๊ย!” หลังจากถูกฉินอวี่ปฏิเสธถึงสองครั้งเขาก็เริ่มโกรธ “แกคิดว่าแกเป็นใคร? ทำไมถึงทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้?”
“พี่สามครับ เราก็เหมือนพี่น้องกัน อย่าถือสาเขาเลย ค่อยๆ คุยกันก็ได้…” ฉีหลินพยายามควบคุมสถานการณ์
พัวะ!
หัวหน้าการสามตบไหล่ฉีหลินและตะคอกว่า “แกคิดว่าแกเป็นใคร? ใครเป็นพี่แก? กล้าดียังไงมาสั่งฉัน?”
ฉีหลินก้มหัวยืนเงียบพร้อมกำบุหรี่ในมือไว้แน่น
หัวหน้าการสามพร้อมพวกอีกสี่คนเดินไปยังฉินอวี่และกล่าว “แกจะต้องเข้ากะแทนตลอดทั้งสัปดาห์ จะหยุดได้ก็ต่อเมื่อหัวใจวายเท่านั้น เข้าใจไหม?”
………………………………………………….